“วิทยากร” ชี้อำนาจกระจุก ศธ.-บริหารแนวดิ่ง ฉุดศึกษาย่ำแย่
คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต แนะพัฒนาศักยภาพมนุษย์ ยกระดับชาวนา ผู้จัดการฟาร์ม ช่างฝีมือให้เก่ง-ดี พร้อมสนับสนุนทุนนิยมแบบสหกรณ์ ผอ.รร.รุ่งอรุณ เร่งสนธิกำลัง จัดการเรียนรู้ตอบโจทย์ชุมชนท้องถิ่น
วันที่ 2 มีนาคม คณะกรรมการเสริมสร้างความเข็มแข็งของชุมชนแห่งชาติ คณะกรรมการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อการปฏิรูป สมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย สมาคมสันติบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย และสมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยสำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน (สน.3) จัดการประชุมวิชาการ “ฟื้นพลังชุมชนท้องถิ่นสู่การอภิวัฒน์ประเทศไทย” ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุม ไบเทค กรุงเทพฯ วันที่ 2
รศ.วิทยากร เชียงกูล คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวในการอภิปราย หัวข้อ “การศึกษาและเรียนรู้ตลอดชีวิตโดยชุมชนท้องถิ่น” ว่า ประเทศไทยลงทุนงบประมาณด้านการศึกษาเป็นจำนวนมาก แต่การบริหารจัดการไม่ดีพอ อีกทั้งการกระจายการศึกษายังไม่ทั่วถึง ซึ่งข้อเท็จจริงพบว่า เด็กจำนวนมากออกเรียนกลางคัน ไม่จบมัธยมศึกษา อีกทั้งแรงงานเกินกว่าครึ่งจบการศึกษาระดับประถมศึกษาและต่ำกว่านั้น ฉะนั้น ในภาพรวมการศึกษาไทยจึงแย่ ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ
“ปัญหาการศึกษา เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ประเทศไม่สามารถพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมได้ อีกทั้งการรวมศูนย์อำนาจไว้ที่กระทรวงศึกษาธิการ ยึดติดกับวิถีคิดแบบราชการ แบบทหารที่มีนายเพียงคนเดียวคอยสั่งการจากขั้นสูงลงสู่ขั้นต่ำ ในลักษณะการบริหารจัดการแบบแนวดิ่ง ซึ่งเป็นการบริหารจัดการที่ล่าสมัย ไม่สอดคล้องกับสภาพสังคมที่สลับซับซ้อน และเน้นการมีส่วนรวมของประชาชนเช่นในปัจจุบัน”
รศ.วิทยากร กล่าวต่อว่า วิธีคิดแบบแนวดิ่ง ทำให้กระทรวงศึกษาธิการดึงอำนาจไว้ที่ตนเอง ไม่กระจายให้ท้องถิ่น ขณะเดียวกัน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นก็อยากได้อำนาจมาบริหารจัดการด้วยตนเอง แต่เมื่อท้องถิ่นไม่ได้อำนาจดังกล่าว ก็มักไม่ให้ความร่วมมือ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะอันที่จริงหน่วยงานทั้ง 2ควรจะร่วมมือกัน
“การศึกษาแบบท้องถิ่น ไม่จำเป็นต้องคิดแบบกระทรวงศึกษาธิการ แพ้คัดออก หรือมุ่งเน้นคัดคนเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย แต่ต้องส่งเสริมให้คนเป็นชาวนา ผู้จัดการฟาร์ม ช่างฝีมือที่เก่งที่ดี ทั้งนี้พบว่า ผู้ที่เรียนจบมหาวิทยาลัยจำนวนมาก ไม่มีคุณภาพ ไม่มีงานทำ สุดท้ายก็หยิบโหย่ง เพราะจะหันกลับไปยึดอาชีพทำนา ก็ทำไม่เป็น ไม่อยากทำ ในที่สุดก็ส่งผลให้ชุมชนและประเทศเสียหาย” รศ.วิทยากร กล่าว และว่า การศึกษาจะต้องมีการทบทวนใหม่อย่างจริงจัง มุ่งเน้นพัฒนาศักยภาพมนุษย์ ประการสำคัญ ต้องเปลี่ยนความคิดและส่งเสริมให้เกษตรกรไทยได้ค่าตอบแทนที่สูงขึ้น มีอำนาจต่อรอง เช่นเดียวกับเกษตรกรยุโรปและญี่ปุ่น นอกจากนี้ต้องสนับสนุนให้ชุมชนเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต ที่ดิน ธนาคาร ฯ ในลักษณะทุนนิยมที่มีประชาชนเป็นเจ้าของ หรือที่เรียกว่า ‘ทุนนิยมแบบสหกรณ์’
รศ.วิทยากร กล่าวด้วยว่า การเรียนรู้ตลอดชีวิต ไม่ได้จำกัดอยู่แค่โรงเรียน แต่สิ่งเหล่านี้กลับไม่ได้รับความสนใจจากสังคมไทยมากนัก เนื่องจากมุ่งเน้นแต่ปริญญาบัตร ฉะนั้น การศึกษาและเรียนรู้ต้องสอนให้คนรู้จักตนเอง เข้าใจผู้อื่น เห็นแก่ส่วนรวม และรักในวัฒนธรรมของชุมชน
ขณะที่รศ.ประภาภัทร นิยม ผู้อำนวยการโรงเรียนรุ่งอรุณ กล่าวถึงคนกลุ่มหนึ่งที่เริ่มหนีจากกรอบการศึกษาที่ครอบงำความคิด และมีลักษณะเป็นมายาคติ จากการบริหารจัดการโดยผู้มีอำนาจ อีกทั้งคนจำนวนหนึ่งต้องใช้เวลาชีวิตอย่างน้อย 12 ปีในสถานศึกษา แต่กลับลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่เรียน ต่างจากการเรียนรู้นอกโรงเรียน ที่มีความเป็นอิสระจะการเรียนที่ไหน เวลาใด หรืออย่างไรก็ได้ ซึ่งแนวคิดเช่นนี้นำไปสู่การสร้างนวัตกรรมทางการศึกษาใหม่
ผู้อำนวยการโรงเรียนรุ่งอรุณ กล่าวด้วยว่า ชุมชนท้องถิ่นจะต้องเป็นสร้างพลังทางปัญญา เพื่อจัดการเรียนรู้ โดยไม่ต้องพึ่งกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมยกตัวอย่างชาวปากาเกอญอที่ลุกขึ้นมาจัดโรงเรียนด้วยตนเอง เนื่องจากโรงเรียนจะถูกยุบ ดังนั้นการศึกษาธิการและการเรียนรู้ของท้องถิ่นจะต้องครอบคลุมทั้งวัฒนธรรม วิถีชีวิต ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นจุดหักเหที่สำคัญ โดยต้องมีการระดมกำลัง สนธิกำลัง เพื่อจัดการเรียนรู้ที่ตอบโจทย์ของชุมชนท้องถิ่น ขณะเดียวกันการจัดการศึกษาและเรียนรู้ของชุมชนท้องถิ่นก็ต้องมีมาตรฐาน เป็นทางการ ไม่ใช่เป็นไปตามยถากรรม