อำนาจรวมศูนย์ เหตุเกิดรัฐประหารง่าย นพ.ประเวศ หนุนกระชับพื้นที่ภาค ปชช.
‘หมอประเวศ’ ชี้ไทยตกในวังวนรวมศูนย์อำนาจมากว่าร้อยปี ต้นเหตุการเมืองไร้คุณภาพ ใช้คนไม่กี่พันก็รัฐประหารได้ หนุนสร้างพลัง ปชช. กระชับพื้นที่จากล่างขึ้นบน
วันที่ 2 มีนาคม คณะกรรมการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนแห่งชาติ คณะกรรมการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อการปฏิรูป สมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย สมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย สมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพ (สสส.) จัดการประชุมวิชาการฟื้นพลังชุมชนท้องถิ่นสู่การภิวัฒน์ประเทศไทย ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุม ไบเทค บางนา กรุงเทพฯ เป็นวันที่ 2 โดยมี ศ.นพ.ประเวศ วะสี ประธานคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป (คสป.) กล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “เทศาภิวัฒน์ : ปฏิรูปการบริหารประเทศ”
นพ.ประเวศ กล่าวตอนหนึ่งถึงการปฏิรูปประเทศไทยที่สำคัญที่สุดคือการปฏิรูปบริหารประเทศ จากการเอา 'กรม' เป็นตัวตั้งเป็นเอา 'พื้นที่' เป็นตัวตั้ง หรือเทศาภิวัฒน์ ซึ่งประเทศไทยตกอยู่ในวงเวียนของความชั่วร้ายแห่งการรวมศูนย์อำนาจมากกว่า 100 ปี ทำให้เกิดความอ่อนแอและมีผลร้ายแรงต่อประเทศชาติ(คุรุกรรมประเทศ) อย่างน้อย 7 ประการ คือ 1.ชุมชนอ่อนแอจนไม่สามารถจัดการตนเองได้ 2.เกิดความขัดแย้งระหว่างอำนาจรวมศูนย์กับวัฒนธรรมท้องถิ่น อย่างเช่น 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เกิดความรุนแรงอย่างหนัก หากไม่เริ่มแก้ไขที่จุดนี้จะไม่สามารถหยุดปัญหาได้ 3.ระบบการศึกษาที่ล้มเหลว เยาวชนท่องหนังสือกันทั้งประเทศ แต่ไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงในชีวิต เนื่องจากไม่มีการส่งเสริมความรู้เรื่องความเข้มแข็งของชุมชน
“4.ระบบราชการที่อ่อนแอทางปัญญา เพราะชินชากับระบอบอำนาจสั่งการ ส่งผลให้เกิดระบบรัฐที่ล้มเหลว ทำอะไรไม่เป็น แก้ปัญหาไม่ได้ 5.ปัญหาทุจริตทวีความรุนแรง เพราะอำนาจรวมศูนย์เท่ากับว่างบประมาณกระจุกตัว 6.การเมืองไร้ประสิทธิภาพ เมื่อระบบอำนาจอยู่ที่จุดเดียว นักการเมืองก็ยอมลงทุนให้ชนะการเลือกตั้ง เรียกได้ว่ากินรวบหมดกระดาน ทำให้เกิดการเมืองอย่างธนาธิปไตยที่ลงทุนเพื่อเอาอำนาจ 7.สามารถรัฐประหารได้ง่าย ใช้คนเพียงไม่กี่พันคนก็สามารถยึดอำนาจได้ทั้งหมด ในทางกลับกันหากกระจายอำนาจลงสู่ท้องถิ่นทั้งหมด การปฏิวัติรัฐประหารจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้ยาก”
ประธาน คสป. กล่าวอีกว่า เมื่อประชาชนทั้งหมดมีความเข้มแข็ง เคารพศักดิ์ศรีซึ่งกันและกัน มีสัมมาชีพเต็มพื้นที่ จะสามารถลดเหตุการณ์ความรุนแรงดังเช่นตูนิเซียหรืออิยิปต์ได้ เนื่องจากประเทศเหล่านั้นล้วนมีเหตุปัจจัยเกิดจากเศรษฐกิจตกต่ำ อาหารแพง ไร้งานทำ จึงทำให้เกิดจลาจลในที่สุด
“ในประเทศจีนหรือสหรัฐอเมริกา มีประธานาธิบดีที่เติบโตมาจากการเป็นผู้ว่าในระดับท้องถิ่น ได้พิสูจน์ให้ประชาชนเห็นว่าคนเหล่านั้นมีความสามารถ ซื่อสัตย์สุจริต ขณะเดียวกันประเทศไทยมีผู้นำเป็นรัฐมนตรีที่ไม่รู้มีรากเหง้ามาจากไหน เป็นใครก็ไม่ทราบ ไม่รู้ว่ารู้จักแผ่นดินไทยหรือไม่ รู้เพียงแต่ว่าเป็นคนรวยมีทรัพย์สินจึงได้เข้ามาบริหารประเทศ” ศ.นพ.ประเวศ กล่าว และว่า ชุมชน 80,000 หมู่บ้านที่มีประชากรกว่า 4 ล้านคน ต้องร่วมกันก่อตั้งสภาผู้นำชุมชน สภาประชาชน จะทำให้เกิดประชาธิปไตยโดยตรง ที่ประกอบด้วยคนเก่ง คนดีเข้ามาทำงานบริหารประเทศ ท้ายที่สุดจะทำให้เกิดเป็น “สภาการปกครองท้องถิ่นแห่งชาติ” อันมีชุมชนเป็นฐานอำนาจ
ศ.นพ.ประเวศ กล่าวต่อไปว่า ชุมชนต้องลุกขึ้นมากระชับพื้นที่จากข้างล่าง สร้างความเข้มแข็งให้กับตนเอง ร่วมกัน “ปฏิวัติภาคประชาชน” ในรูปแบบสันติวิธี ติดอาวุธด้วยปัญญา เพื่อเป็นพลังในการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย โดยอาศัยแนวทาง 8 ข้อดังนี้ 1.เปลี่ยนดีเอ็นเอประเทศไทย กระจายการสื่อสารให้ทั่วถึงทุกพื้นที่ เพื่อให้ทราบข้อมูลถึงการเปลี่ยนแปลงเอาท้องถิ่นเป็นที่ตั้ง 2.ปรับบทบาทข้าราชการให้ระดับกรมสนับสนุนท้องถิ่นทั้งในภาควิชาการ และเชิงนโยบาย 3.จัดตั้ง 1 มหาวิทยาลัยหรือสถาบันวิจัยต่อ 1 จังหวัด ให้รัฐบาลเสนอภาคนโยบาย และลงไปทำงานร่วมกับท้องถิ่น สร้างความเข้มแข็งทางองค์ความรู้ให้แก่ชุมชน 3.ปรับระบบคิดทางการศึกษาให้ชุมชนท้องถิ่นทำโดยชุมชน เป็นของชุมชน และเพื่อชุมชนเป็นหลัก 4.ภาคธุรกิจในระดับท้องถิ่นต้องเชื่อมโยงให้เป็นระดับมหาภาค ก่อให้เกิดพลังของเศรษฐกิจชุมชน ซึ่งจะไม่ทำให้ผันผวนตามต่างชาติ โดยอาศัยวัฒนธรรมประเพณีระดับพื้นที่เป็นหลัก
“5.ปรับระบบภาษีซึ่งจากเดิมชุมชนได้รับอย่างกระเบียดกระเสียนจากภาครัฐ ให้ท้องถิ่นเป็นผู้บริหารจัดการ และทำหน้าที่คัดสรรแจกจ่ายงบประมาณให้แค่ฝ่ายบริหารแทน ซึ่งจะทำให้โครงสร้างด้านบนเล็กลง 6.จัดการโครงสร้างเชิงสถาบันให้แก่ชุมชน อย่างเช่น “ธนาคารชุมชน” ซึ่งจะช่วยทำให้เกิดการเชื่อมโยงทางการเงินระหว่างชุมชน ส่งผลให้เกิดความเข้มแข็งระดับพื้นที่ในที่สุด 7.ออกกฏหมายปลดพันธนาการ (ปลดตราสังประเทศไทย) แก้กฎหมายซึ่งมีกว่า 100 ฉบับ ที่ตรึงอำนาจไว้ที่ส่วนกลางเพียงอย่างเดียว 8.เพิ่มงบประมาณในระดับท้องถิ่นอย่างเร่งด่วน”
ศ.นพ.ประเวศ กล่าวตอนท้ายว่า หากประชาชนรวมตัวกันทั้งแผ่นดิน โลกธาตุจะสั่นสะเทือนให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ความเป็นจริงประการหนึ่งคือประเทศไทยมีทรัพยากรมากกว่าประเทศชั้นนำทั่วโลก แต่ที่เกิดปัญหาดังเช่นปัจจุบันเป็นเพราะระบบการบริหารประเทศไม่ถูกต้อง ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่จะต้องเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ปฏิรูปการจัดการจากกรมเป็นตัวตั้งไปสู่พื้นที่ชุมชนเป็นตัวตั้ง ด้วยการสร้างฐานประเทศที่ใหญ่และมั่นคง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันเดียวกัน ศูนย์วิจัยความสุขชุมชน (เอแบคโพลล์) มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ร่วมกับสมัชชาองค์กรท้องถิ่นเพื่อการปฏิรูปประเทศไทยได้นำเสนอสรุปผลการวิจัยความคิดเห็นต่อการปฏิรูปการปกครองท้องถิ่น (อทป.) : กรณีศึกษาประชาชนอายุ 18-60 ปี ในพื้นที่ 13 จังหวัดทั่วประเทศ โดย นายเทวินทร์ อินทร์จำนง สถาบันวิจัย เอแบคโพลล์ กล่าวในฐานะผู้ทำวิจัย ว่า ความคิดเห็นเกี่ยวกับการกระจายอำนาจให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น ประชาชนร้อยละ 39.2 เห็นด้วย ในขณะที่มีผู้ไม่มีความเห็นถึงร้อยละ 49.2
ด้านความคิดเห็นเกี่ยวกับความพร้อมของ อปท. ในการบริหารจัดการท้องถิ่นให้มีประสิทธิภาพ ประชาชนร้อยละ 39.9 เห็นด้วยว่ามีความพร้อม และร้อยละ 39.5 เห็นว่ายังไม่พร้อม ในขณะที่ร้อยละ 20.6 ไม่มีความคิดเห็น
“กล่าวโดยสรุปประชาชนโดยรวมมีความรักในท้องถิ่นของตน ซึ่งต้องการแก้ปัญหาในพื้นที่ต้องการมีส่วนร่วมในการจัดสรรทรัพยากร สิทธิการมีส่วนร่วม ในขณะเดียวกันยังมีข้อโต้แย้ง หากจะการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น เพราะยังมีความกังกวลในเรื่องของการทุจริตของตัวแทนท้องถิ่น และการใช้อำนาจอิทธิพลเกินขอบเขต โดยเสนอทางให้จัดการเลือกตั้ง ด้วยวิธีการสรรหาตัวแทนที่เป็นธรรม และปรับปรุงกระบวนการทางกฏหมายในการปฏิรูปการปกครองท้องถิ่นให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น”