“บรรเจิด สิงคะเนติ” ชี้ความยุติธรรมทางสังคมเสียศูนย์
แก้ไม่ได้ในระบบราชการปกติ ปลดล็อกอำนาจรัฐก็เป็นไปได้ยาก คณบดีคณะนิติศาสตร์ นิด้า ระบุผลกระทบจากโครงการขนาดใหญ่เป็นประเด็นสิทธิชุมชน ระบุในรธน. ดังนั้นต้องมีกม.ลูกออกมารองรับ
วันที่ 25 กุมภาพันธ์ ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สำนักงานปฏิรูปเพื่อสังคมที่เป็นธรรม(สปร.) ร่วมกับ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) จัดเสวนา “ทางออกของการพัฒนาจากโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ: กรณีการพัฒนาที่มีผลกระทบต่อชุมชน” โดย ดร.สักรินทร์ แซ่ภู่ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม กล่าวถึงโครงการรถไฟรางคู่ที่ครอบคลุมพื้นที่ 46 จังหวัดกว่า 500 ชุมชน 90,000 ครัวเรือนจะได้รับผลกระทบ โดยจะได้รับผลกระทบแน่นอนจากรถไฟฟ้าสายสีแดง2,000 ครัวเรือน
นางมะลิอร คงแก่นท้าว ตัวแทนชุมชน กล่าวถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากโครงการรถไฟรางคู่ ไม่ใช่เรื่องธรรมดา แต่ผู้บริหารประเทศยังมองแค่รถไฟฟ้า-ถนน เป็นตัวชี้วัดว่าเศรษฐกิจดี ทั้งที่การพัฒนาต้องอยู่บนพื้นฐานที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตประชาชน รวมทั้งมีความยุติธรรมและมีการเยียวยาผลกระทบที่เกิดขึ้น
นายจำรูญ สวยดี ผู้แทนเครือชุมชนข่ายภาคตะวันออก กล่าวว่า ภาคตะวันออกได้รับผลกระทบจากการพัฒนา ชุมชนเดือดร้อนมากว่าชุมชน 30 ปี รัฐอนุญาตแบบไม่ได้ลืมหูลืมตาว่าจะทำให้เกษตรกรรายย่อยต้องขายที่ดินให้ต่างชาติ หน่วยงานสำคัญที่เกี่ยวข้องคือคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) ซึ่งควรย้อนถามตนเองว่าส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมเกินขีดความพอดีหรือไม่ ถัดมาคือกรมโยธาธิการและผังเมืองควรเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนกำหนดผังเมือง สุดท้ายคือคำถามว่า การปิโตรเลียมจะพัฒนาอย่างไรไม่ให้ภาคตะวันออกบอบช้ำแบบนี้
“ที่ผ่านมาเสียงเรียกร้องของชาวบ้านไม่ดัง ชุมชนจึงควรรวมตัวกันเพื่อสร้างคานงัดสังคม และน่าจะมีการตั้งคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมภาคประชาชนขึ้นเพื่อคิดแผนพัฒนาในมุมกลับบ้าง”นายจำรูญ กล่าว และว่า ชาวบ้านเสียสละเพื่อข้ออ้างสวยหรูว่า ทำเพื่อชาติ สังคมกำลังบีบให้เขาทิ้งรากเหง้าวัฒนธรรม ความรู้สึกของคน 8 จังหวัดตะวันออกคิด คือ ถ้าปล่อยให้ผูกขาดแบบนี้ต่อไปลำบากแน่
ด้านผศ.ดร.ดวงมณี เลาวกุล คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ไม่ได้ก่อให้เกิดการกระจายรายได้ที่เป็นธรรม แต่ก็ต้องยอมรับว่า สร้างผลผลิตมวลรวมประชาชาติ (จีดีพี) ที่ทำให้ประเทศเติบโต ดังนั้นสิ่งที่ที่ต้องพิจารณาคือเพิ่มมาตรการดูแลผลกระทบให้มากขึ้น ไม่ใช่ให้กลุ่มใดต้องแบกภาระความเสี่ยงจากการพัฒนา รัฐหรือเอกชนต้องชดเชยให้คนที่ได้รับผลกระทบ ไม่ว่าจะเป็นในรูปของภาษีหรืออื่นๆ
ส่วนรศ.ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ คณบดีคณะนิติศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวว่า ความยุติธรรมทางสังคมเสียศูนย์มาก ไม่สามารถแก้ได้ในระบบราชการปกติ สังคมมักรวบปัญหาทั้งหมดมาจบที่ตัวกฎหมายซึ่งเป็นเรื่องทางเทคนิคที่แก้ปัญหาไม่ได้ แต่เชิงระบบ คือ การปลดล็อกอำนาจรัฐเป็นไปได้ยาก ภาคส่วนต่างๆต้องช่วยกันนำบทเรียนมาสร้างแรงกระเพื่อมขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
“แม้ว่าผลกระทบจากโครงการขนาดใหญ่เป็นประเด็นสิทธิชุมชน ซึ่งถูกระบุในรัฐธรรมนูญ และเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ แต่หากไม่มีกฎหมายลูกที่ออกโดยฝ่ายการเมืองมารองรับ ก็ไม่เกิดผลอะไร”
ขณะที่ ผศ.กัลยาณี กุลชัย คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กล่าวว่า สิ่งที่เป็นปัญหามากของโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ คือ กระบวนการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม(อีไอเอ) ที่ควรจะเป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมให้ชาวบ้าน แต่กลับไม่มีการมีส่วนร่วมของประชาชน ทั้งนี้ตัวอย่างในสหรัฐอเมริกาจะมีการตั้งหน่วยงานกลางที่ไม่ใช่รัฐมาดูแลตรงนี้ มีการทำงานร่วมกับชุมชนตลอดกระบวนการ และสุดท้ายยังมีการประชาพิจารณ์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่มีในเมืองไทย
สุดท้ายดร.ชัยยนต์ ประดิษฐ์ศิลปะ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา กล่าวว่า เบื้องหลังโครงการพัฒนาขนาดใหญ่คือการสะสมทุนทางเศรษฐกิจของคนกลุ่มน้อยทั้งระดับชาติ ข้ามชาติ และทุนท้องถิ่น พร้อมเสนอให้เริ่มแก้จากกรณีปัญหามาบตาพุด ซึ่งถือเป็นโมเดลผลกระทบชุมชนจากโครงการพัฒนา หากแก้ที่นี่ไม่ได้ ที่อื่นก็ไม่มีทางเป็นไปได้
“ต้นทางปัญหาคือชาวบ้านไม่มีส่วนร่วม โดนหลอกตั้งแต่แรกไปถึงกรรมการสี่ฝ่ายที่ไม่มีชาวบ้าน แต่นักวิชาการกับชนชั้นกลาง ขณะที่โรงงานก็คือเพลย์บอยฟันแล้วทิ้ง บอกจะชดเชย ทำเป็นพิธีแล้วก็หลอกชาวบ้าน” ดร.ชัยยนต์ กล่าว