"นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล" "ไม่มีรัฐบาลไหนที่จะตั้งโจทย์และตอบโจทย์ปชช.เท่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์"
นับจากวันแรกที่แถลงนโยบายรัฐบาล เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม2554 ก็เป็นเวลาร่วม 9 เดือนแล้วที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย เป็นผู้นำในการกำหนดทิศทางบริหารจัดการประเทศ แต่ผลงานของรัฐบาลโดยเฉพาะ "ครม.ปู2" ถูกวิจารณ์หลายประเด็น ทั้งก่อนหน้านี้ผลสำรวจความคิดเห็นของ เอแบคโพล ประชาชนให้คะแนนรัฐมนตรีสอบตกกราวรูด เนื่องจากจำนวนรัฐมนตรี 36 คน มีผ่านครึ่งอยู่แค่ 4 รายคือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง นายชุมพล ศิลปอาชา และพล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา เท่านั้น
ที่สำคัญช่วงนี้ประเทศตกอยู่ในสภาวะ “ข้าวยากหมากแพง” ซึ่งแน่นอนว่าเป็นปัญหาอันดับ 1 ที่กระทบประชาชน หนักเข้าก็อาจส่งผลสะเทือนต่ออายุรัฐบาลก็เป็นได้ ปฏิทินของรัฐบาลจากนี้อีกไม่นานจะแถลงผลงานในรอบปี โดยนายกรัฐมนตรีก็ได้มอบหมายให้ “นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี” เก็บรวบรวมผลงาน เพื่อแถลงผลงานรัฐบาลในช่วงสิ้นปี
นิวัฒน์ธำรง ได้พูดคุยกับ กับทีมงาน “สำนักข่าวอิศรา” ถึงกระบวนการรวบรวมและขมวดปมผลงานของรัฐบาลในรอบ 1 ปี ตอนหนึ่ง ว่า “ไม่เคยมีรัฐบาลไหนที่จะตั้งโจทย์และรีบทำโจทย์ให้ประชาชน ผมให้คุณไปย้อนหลังดูเลย ถ้านอกจากรัฐบาลนายกฯทักษิณ แล้วก็มีแค่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ นี่แหละ ผมรู้สึกภูมิใจ”
การแถลงผลงานจะมีอะไรที่เป็นรูปธรรมบ้าง
ธรรมเนียมปฏิบัติที่ทุก 1 ปี จะมีการแถลงนโยบายรายงานต่อรัฐสภาว่ารัฐบาลได้ทำอะไรไปแล้วบ้าง ซึ่งเป็นรายงานที่เป็นมาตรฐานที่ถูกตั้งไว้นานมาแล้ว ที่รัฐบาลจะตอบโจทย์ที่ตั้งไว้ให้ได้ และขณะนี้เราจะต้องรวบรวมผลงานให้แล้วเสร็จก่อนเดือนสิงหาคมเพราะเราจะต้องเตรียมความพร้อมไว้เสมอ ถ้าสภาเรียกเมื่อไรก็เมื่อนั้น อย่างไรก็ตามผลงานรัฐบาลอาจยังมีบางอย่างบางชิ้นช่วงที่ทำเสร็จแล้วหรือใกล้เสร็จ ที่เราอาจจะนำไปประชาสัมพันธ์ผลงานก่อนได้ แต่อาจจะไม่ครบทั้งหมดตามรายงาน และอาจถือโอกาสแถลงผลงานรัฐบาล แต่ขณะนี้ก็ยังไม่มีกำหนดว่าจะเมื่อไร และเรายังไม่ตัดสินใจว่าจะทำหรือไม่ แต่ถ้าจะทำก็ทำได้เพราะเป็นเรื่องที่ต้องรายงานกับประชาชนอยู่แล้ว
หลักเกณฑ์การรวบรวมผลงานรัฐบาลเป็นอย่างไร
การจัดทำรายงานแสดงผลการดำเนินงานของคณะรัฐมนตรี เป็นเรื่องที่ถูกกำหนดไว้ด้วยขั้นตอนแล้วตามระเบียบราชการอยู่แล้ว ซึ่งระหว่างที่เก็บข้อมูลรวบรวมผลงานนั้น เราจะเชิญ ตัวแทนแต่ละหน่วยงานเข้าร่วม ทั้งศาล อัยการ สภาผู้แทนราษฎร โดยให้แต่ละหน่วยงาน แต่ละกระทรวง ส่งรายงานผลงานให้กับสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นผู้รวบรวมข้อมูล โดยต้องแล้วเสร็จในวันที่ 20 ก.ค. ซึ่งรัฐบาล จะทำงานครบ 1 ปี ในวันที่ 22 ส.ค. ก็จะได้เห็นผลการดำเนินงานของแต่ละกระทรวง ซึ่งกระบวนการจัดทำการบ้านแบบนี้จะเป็นการส่งผลดีดับตัวรัฐมนตรีเอง
ตอนนี้นโยบายหลายโครงการก็เสร็จไปเยอะ เช่น นโยบายเร่งด่วน 16 เรื่องเสร็จไปแล้ว เช่น ยาเสพติด เสร็จเป็นอันดับแรก ที่ทำกันมามายตั้งแต่ต้น เรื่องสร้างรายได้ ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท หรือเงินเดือนระดับปริญญาตรี 15,000 บาท เรื่องเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ , บ้านหลังแรก, รถคันแรก, พักหนี้เกษตรกร และผู้มีรายได้น้อย, โครงการจำนำข้าว,ช่วยเหลือราคาพืชผลผลิตทางการเกษตรแก่เกษตรกร ทั้งข้าว อ้อย มันสำปะหลัง สับปะรด ยางพารา, ลดภาษีนิติส่วนบุคคล, กองทุนหมู่บ้าน, กองทุนพัฒนาสตรี และกองทุนอื่นๆอีกมากที่จำทำกันอยู่ขณะนี้, สุขภาพ 30 บาทรักษาทุกโรค ถ้าเรานับดูแล้วเรื่องที่รัฐบาลทำเสร็จก็ 10 เรื่องไปแล้ว นี่ที่ผมพูดมาคือนโยบายที่ผมนึกขึ้นได้เองยังไม่ได้รวบรวมเป็นทางการ
ต้องขอพูดอย่างตรงไปตรงมาว่ารัฐบาลนี้ 4 เดือนแรกยุ่งกับน้ำท่วม คือเราไม่ได้ทำอะไรเลย ดังนั้นจริงๆแล้วเวลาที่รัฐบาลทำงานมานี้เป็นเดือนที่9 ก็จริง แต่ระยะเวลาทำงานจริงๆ มีเพียง 5 เดือนเท่านั้นเอง แต่ถ้าจะถามว่าเป็นเพราะวิกฤตหรือเปล่าผมว่าไม่ใช่ แต่เป็นเรื่องความตั้งใจของรัฐบาล คือเราตั้งใจเข้ามาทำงานก่อนที่เราเข้ามาเราเขียนไว้แล้วว่าเราจะทำอะไรบ้าง ซึ่งผมบอกไว้ก่อนว่าไม่ค่อยมีรัฐบาลใดทำ ไม่เคยมีรัฐบาลไหนที่จะตั้งโจทย์และรีบทำโจทย์ให้ประชาชน ผมให้คุณไปย้อนหลังดูเลย ถ้านอกจากรัฐบาลนายกฯทักษิณ แล้วก็มีแค่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ นี่แหละ
การที่รัฐบาลพยายามทำโจทย์ตอบสนองนโยบายที่แถลงให้ไว้กับประชาน แต่ผลลัพธ์ที่ออกมายังบางนโยบายยังไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่รัฐบาลตั้งเป้าหมายไว้ตั้งแต่แรก โดยเฉพาะเรื่องนโยบายประชานิยม
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่าประชาชนมีมาก บางกลุ่มเรียบร้อย ไม่เดือดร้อนและบางกลุ่มก็เดือดร้อน เป็นอะไรที่รัฐบาลต้องช่วยตลอดไป ไม่จบรับรองได้ว่าไม่จบแน่ แต่ถ้าถามว่าประเทศไทยเลวร้ายไหม ก็ไม่ได้เลวร้าย ประเทศที่ยากจนยังมีอีกเยอะ แต่ที่ประเทศไทยไม่จบเพราะภายในประเทศมีคนที่มีรายได้น้อย ที่เราต้องคอยช่วยเหลือมีมาก เช่นการช่วยเหลือ ในนโยบายเรื่องสาธารณสุข ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก ไม่ว่าคุณจะอยู่ในฐานะอะไรก็ตามคุณจะต้องมีสิทธิที่จะได้รับการรักษาพยาบาลอย่างเท่าเทียม ถ้าคุณนอนเจ็บจะตายอยู่แล้วจะให้มานั่งรอไม่ได้ จะต้องเข้าไปรับการรักษา แล้วค่อยมาดูว่าคุณเข้าไปเพราะใช้สิทธิบัตรทอง หรือประกันสุขภาพ ข้าราชการ เพราะฉะนั้นคนไทยทุกคนต้องสามารถมาโรงพยาบาลได้เลย โดยที่จะมีการรักษาที่รองรับ
แต่นโยบายการใช้สิทธิ์บัตรทอง 30 บาทที่ผ่านมายังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่มีมาตรฐานพอในการรักษา
ไม่จริงหรอกครับ เพราะผมก็ไปใช้สิทธิ์บัตรทองมาเหมือนกันไม่นานมานี้ที่โรงพยาบาลนพรัตน์ ต้องเข้าใจว่าคนเราแต่ละคนต่างกันบางคนมีฐานะหน่อยก็ไปโรงพยาบาลเอกชน ฐานะปานกลางก็ไปโรงพยาบาลหลวงดีๆหน่อย นี่คือความหลากหลาย แต่สมัยก่อนโบราณคนบางกลุ่มไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าโรงพยาบาลเลย แต่วันนี้ยังมีสิทธ์เข้าไป ส่วนตัวยาเองก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร แต่ก็คงไม่ดีเลิศ แต่ก็สามารถรักษาโรคได้ ซึ่งดีกว่าสมัยก่อนๆเพราะอย่างน้อยก็ทำให้ประชาชนทุกคนได้รับโอกาสในการรักษา ไม่เช่นนั้นคงนอนตายแหงแก๋ ยาสักเม็ดก็ไม่มี ซึ่งแผนนโยบายนี้เป็นสิ่งที่ชาวบ้านชอบมาก ได้ตั้งแต่สมัยรัฐบาลทักษิณ เพราะประชาชนได้มีโอกาส เพราะบางคนจะตายด้วยโรคไส้ติ่ง การผ่าตัดหัวใจบ้าง แต่เดี๋ยวนี้คนจะไม่ตายเพาะได้เข้าโรงพยาบาลคนจึงชอบ
ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา มีอะไรที่เป็นปัญหาอุปสรรคต่อการบริหารประเทศ
ผมคิดว่าตอนนี้ยังไม่เจอแต่ถ้าพูดถึงสิ่งที่ต้องทำในประเทศไทยมีอีกมาก แต่เราไม่สามารถที่จะทำได้รวดเร็วอย่างที่เราอยากทำด้วยหลายสาเหตุ เช่น เรื่องของงบประมาณ เราไม่ได้มีเงินพอที่จะทุ่มทำทุกเรื่อง เพราะฉะนั้นเราก็ต้องทำไปเท่าที่จะทำได้ ยกเว้นเสียแต่ว่าเกิดปัญหาอะไรที่ใหญ่มากขึ้นมาเราจำเป็นต้องทำ เช่น ปัญหาของน้ำท่วม แต่ถ้าถามว่าเราจะบริหารประเทศไปได้ไหม เราทำได้ ก็ค่อยๆไปกันอย่างนี้ เช่นโครงการประชานิยม เราสามารถที่จะจัดสรรงบประมาณเข้าไปช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน และ นี่คือหน้าที่ของรัฐบาลไม่ใช่ว่าเราไม่มีเงินเลย เรามีพอที่จะทำตามนโยบายที่วางไว้ก่อน แต่จะไปทำทุกอย่างให้พร้อมเป็นไปไม่ได้ เราจะมีถนนเร็ว มีรถไฟใต้ดินทั่วเมือง ซึ่งเรื่องแบบนี้ต้องใช้เวลาระยะยาวในข้อจำกัดต่างๆ แต่ถ้าเรายังมีโอกาสบริหารเชื่อว่าจะไปได้อีกเยอะ เพราะเราจะสามารถไปจัดหา ไปดึงงบประมาณที่จำเป็นน้อยมาใช้ในเรื่องที่จำเป็นมากก่อนได้ หรือด้วยวิธีการต่างๆ
อุปสรรคที่นอกเหนือจากงบประมาณแล้วยังอุปสรรครอบข้างอะไรอีกหรือไม่
ผมคิดว่าเรื่องงบประมาณใหญ่สุด อย่างอื่นถือว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา เช่น ปัญหาคน เพราะอยู่ที่ไหนก็มี บริษัทยังมีเลย เพราะฉะนั้นเรื่องอื่นๆเป็นเรื่องย่อย แต่เรื่องงบประมาณแผ่นดินสำคัญที่สุด และไม่มีวันที่เราจะมีเงินมีงบประมาณล้นฟ้า แต่เราจะต้องมีวิธีการบริหารจัดการ ต้องคัดเลือกโครงการที่สำคัญจริงต่อประเทศ คือการพัฒนาประเทศ การส่งเสริมการค้า เรื่องนี้สำคัญ เพราะถ้าเราไม่สามารถที่จะส่งเสริมการค้าการลงทุน การท่องเที่ยว ได้คนก็จะไม่มีงาน เงินเดือนน้อย จะส่งผลเป็นปัญหาลูกโซ่ ดังนั้นนโยบายที่สำคัญคือ เศรษฐกิจที่เป็นตัวนำ เพราะจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น แต่แน่นอนเราจะไม่เว่อร์ ไม่ฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อ ปั่นฟองสบู่ ถ้าทำอย่างนั้นก็ผิดเพราะเรามีบทเรียนมาแล้ว เพราะฉะนั้นเราต้องพัฒนาให้ได้แก่นออกมา
การบริหารประเทศกับปัจจัยการปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรี จะช่วยเสริมให้การบริหารประเทศดีขึ้นได้หรือไม่
จริงๆ แล้วนโยบายมีไว้อยู่แล้ว และมีนายกฯเป็นหัวหน้าทีม ถ้านโยบายง่ายๆเราก็ช่วยกันผลิตอยู่แล้ว ทุกเรื่องเราผูกยึดด้วยตัวหัวหน้าทีม อย่าลืมการที่ว่านายกฯไปนั่งตรงนั้น เท่ากับเอาหน้าไปตากไว้ ถ้าบริหารดีเขาก็ชม แต่ถ้าไม่ดีก็จะถูกบี้ ดังนั้นการทำงานต้องยึดตามนโยบาย และการเปลี่ยนครม.ในแต่ละครั้งเราไม่ได้เปลี่ยนทั้งหมด เราเปลี่ยนแค่บางส่วน เพราะฉะนั้นคนทำงานส่วนใหญ่ก็ไปด้วยกัน และส่วนมากคนที่ถูกเลือกเข้ามาก็จะต้องรับรู้รับทราบเรื่องราวการทำงานต่างๆ แล้วก็จะเดินไปพร้อมกัน ไม่ใช่ว่าเข้ามาแล้วทำงานกันไปคนละทางสองทางก็ไม่ได้
การทำงานของรัฐมนตรีบางคนยังเป็นมือใหม่ การทำงานจึงยังไม่เข้ารูปสักเท่าไร สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นอีกปัจจัยหนึ่งหรือไม่ที่ทำให้การแก้ไขปัญหาต่างๆยังไม่เดินหน้าไปเท่าที่ควร
ผมเชื่อมั่นว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ ดีวันดีคืน ตั้งแต่ต้นมาดีขึ้นทุกวัน เพราะพวกเราที่เพิ่งเริ่มเข้ามาจริงอยู่ว่าใหม่ด้วยกันก็มีเยอะ และทุกคนในรัฐบาลเข้มแข็งขึ้น สำหรับปัญหาที่เราเจอส่วนใหญ่เป็นปัญหารอบข้างมากกว่าปัญหาหาตัวจริง เช่น ปัญหาน้ำท่วม ซึ่งไม่ใช่เหตุการณ์ปัญหาที่เราได้วางแผนไว้ว่าเราต้องมาเจอ ส่วนปัญหาอื่นเป็นปัญหาปกติทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้าน ปัญหาความทุกข์ยากของประชาชน
หากเรามองการแสดงภาวะความเป็นผู้นำของ นายกฯยิ่งลักษณ์ กับระยะเวลา 9 เดือนที่ผ่านมามีมากน้อยแค่ไหน
การแสดงภาวะความเป็นผู้นำของนายกฯยิ่งได้ถูกแสดงออกมาได้อย่างดียิ่ง เช่น ในช่วงสถานการณ์น้ำท่วม เป็นช่วงที่ประชาชนได้เห็นว่าท่านนายกฯมีสติปัญญา ความอดทนและความอุตสาหะ ความตั้งใจมาก และแสดงความเป็นผู้นำออกมาอย่างมาก คณะรัฐมนตรีทั้งทีมก็สามารถทำงานให้ไปด้วยกันได้ดี
สำหรับคนใกล้ชิดอย่างท่านมองเห็นเสน่ห์ในตัวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่โดดเด่น ออกมามากที่สุดคืออะไร
คือการทำงานอย่างเดียว ลุยเรื่องงาน ไม่ทะเลาะใคร แต่การที่ไม่ทะเลาะใครก็ต้องไปด้วยงานด้วย เพราะถ้าไม่มีงานก็อาจจะถูกต่อว่าได้ นายกฯยิ่งลักษณ์เป็นคนมีความสามารถ แต่ในช่วงแรกที่คนออกมาสบประมาท วิพากษ์วิจารณ์อาจจะเป็นเพราะคนไม่เห็นไม่รู้เท่านั้นเอง ท่านนายกฯมีอะไรดีของเขาอยู่แล้วผมรู้ดี เพราะผมทำงานด้วยกันมานาน ผมรู้ว่าท่านมีความสามารถ แต่คนอื่นๆไม่รู้แล้วไปดูถูก อย่าลืมว่านายกฯเคยทำงานในฐานะซีอีโอมาก่อน บริหารธุรกิจเป็นหมื่นล้าน ทำงานมาหลายด้าน เขามีความเชี่ยวชาญของการบริหารและรู้เรื่องโลก ซึ่งเรื่องโลกถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่จะต้องรู้ ไม่ใช่ว่าเป็นผู้บริหารประเทศแล้วไม่รู้เรื่องโลกตายแน่ ท่านนายกฯเรื่องการค้า การลงทุน การเงินท่านรู้ คิดเป็นบริหารคนเป็นพันคนมาแล้ว นี่คือการสั่งผมประสบการณ์ความสามารถอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าในช่วงแรกๆ คนไม่เห็น
มีจุดไหนบ้างที่นายกฯยิ่งลักษณ์จะต้องเสริมเสน่ห์ของตัวเองขึ้นมาให้มากขึ้นกว่าเดิมเพื่อลบคำสบประมาท
ผมว่าเขาดีของเขาอยู่แล้ว และส่วนจุดไหนที่จะต้องเสริมขึ้นมา ท่านนายกฯอาจจะรู้ตัวของท่านเอง
ด้วยความสามารถของนายกฯยิ่งลักษณ์ ที่ประชาชน หรือสังคมยังไม่เห็นอยู่น้อย เป็นเพราะบทบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณที่เคยทำไว้ก่อนในช่วงที่เป็นรัฐบาล และคนรอบข้างคณะทำงาน สังคมก็ให้ความสำคัญไปที่ พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่
ผมว่าดูๆไปแล้วเขาก็สูสีกันแล้วนะ และตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าใครแซงใครกันไปแล้ว ถ้าเราพูดถึงความเร็วของนายกฯยิ่งลักษณ์ ถือว่าเร็ว ความฉลาดก็มี และการวางตัวก็เป็นที่น่ารัก ด้วยความเป็นผู้หญิงมักจะได้เปรียบ ถ้าวางตัวดีคนก็รักก็ชอบ โดยเฉพาะสังคมไทย แต่ถ้าเป็นประเทศอื่นไม่รู้แต่ถ้าเป็นประเทศไทยได้เปรียบ ถ้าเราเอาผู้ชายเข้ามาผมว่าเหนื่อย แต่จะอยู่นานไม่นาน ก็อยู่ที่ประชาชนเพราะเขาเป็นคนเลือกเข้ามา
ถ้ารัฐบาลต้องการความแข็งแรง การที่มีสมาชิกบ้าน 111 เข้ามาช่วยบริหารประเทศ คิดว่าคนเหล่านี้จะช่วยได้มากน้อยแค่ไหน
เรื่องการปรับครม. ว่าจะนำใครเข้ามาช่วยบริหารประเทศก็อยู่ที่ท่านนายกฯ ที่ต้องไปดูว่าวันนี้เขามีความต้องการปรับ ครม.หรือไม่ ถ้ามีความต้องการก็อาจจะปรับและจะต้องเลือกคนที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นจาก สมาชิกบ้าน 111 หรือคนที่ไหนก็ตาม เขาจะต้องเลือกคนที่ดีที่สุดเข้ามา เพราะอย่าลืมว่าหนังหน้าไฟอยู่ที่นายกฯ ดังนั้นคงไม่มีข้อจำกัดว่าจะต้องมาจากไหนแต่ต้องดีที่สุด และบุคลิกของแต่ละคนก็จะเหมาะในแต่ละตำแหน่ง เพราะคนเหล่านั้นไม่ใช่ยาสามัญประจำบ้านที่จะสามารถรักษาได้ทุกชนิด ที่จะกินก็ได้ ทาก็ได้ แต่ต้องยอมรับว่าคนในบ้าน 111 ก็มีคนเก่งเยอะแยะ
บทบาทของสมาชิกบ้าน111 ในอนาคตทั้งที่มีตำแหน่งและไม่มีตำแหน่ง จะสามารถช่วยอุดจุดอ่อน สร้างจุดแข็งให้รัฐบาลได้มากน้อยแค่ไหน
สมาชิกบ้าน 111 จะช่วยเหลือเราได้เยอะ ได้มาก ไม่ว่าจะอยู่ตำแหน่ง มีตำแหน่งหรือไม่มีตำแหน่ง และหลายคนเท่าที่ได้คุยบ้างเขาก็ไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่ง เขาสามารถช่วยได้อยู่แล้ว และในข้อเท็จจริงทางราชการเราสามารถตั้งที่ปรึกษาในตำแหน่งต่างๆ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่จะต้องเข้ามานั่งในตำแหน่งรัฐมนตรี และเขาเองก็ไม่เรียกร้องอะไรเรา ที่เราอยู่มาด้วยกันก็อยู่ด้วยใจกันทั้งนั้น อย่างที่เรียกว่าเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุข กันมา คนเหล่านี้ผ่านอะไรมาเยอะไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งรัฐมนตรีก็ตาม ดังนั้นไม่ใช่ว่าเมื่อคนเหล่านี้ถูกปลดล็อคทางการเมืองแล้วได้ออกมาแล้วฉันต้องมีตำแหน่งอะไร
ด้วยความเป็นมืออาชีพที่เชี่ยวชาญการเมืองและการบริหารประเทศของ สมาชิก 111 จะทำให้บทบาทรัศมีนายกฯยิ่งลักษณ์ถูกลดทอนลงไปหรือไม่
ไม่จริง เพราะรัศมี อยู่ที่ความสามารถ ดูแล้วไม่มี ถ้าใครสามารถที่จะมาลดทอนรัศมีนายกฯยิ่งลักษณ์ได้ แสดงว่าต้องเฉียบมาก ซึ่งผมว่ายังไม่ใช่
สำหรับอำนาจในการปรับ ครม. ยืนยันได้หรือไม่ว่า อำนาจอยู่ที่นายกฯยิ่งลักษณ์
อำนาจสุดท้ายอยู่ที่นายกฯยิ่งลักษณ์ โดยแท้จริง เพราะใครจะเสนออะไรก็ได้เสนอได้ทุกคนแต่สุดท้ายต้องอยู่ที่ท่านนายกฯ เพราะท่านเป็นหนังหน้าไฟ ไม่ดีเขาก็จะรับไปคนเดียว
นายกฯมีความแข็งแกร่งในอำนาจมากพอหรือไม่ ที่จะเลือกครม.มาช่วยบริหารประเทศ
แข็งแกร่งหรือไม่ ดูเอาเพราะผ่านมาเยอะ 2 ครั้งที่ผ่านมาก็พิสูจน์ได้ ไม่ว่าใครจะวิ่งอะไรยังไงก็วิ่งไปเถอะ แต่สุดท้ายแล้วผมบอกได้เลยว่าอยู่ที่ท่านนายกฯยิ่งลักษณ์ คนเดียว ส่วนจะเป็นช่วงเวลาไหนเหมาะสมสุดต้องถามนายกฯเอง และเราเองก็เป็นที่จะอยู่หรือไม่ เราเองยังไม่รู้ (หัวเราะอย่างอารมณ์ดี) แต่ถ้าเราจะถูกโยกย้ายเราไม่สนใจ เพราะเราเป็นคนทำงาน มีหน้าที่ทำงานก็ทำไป ถ้าไม่ก็ทำงานอย่างอื่นที่เขาให้ทำ แต่ถ้าไม่มีงานจริงๆ ก็กลับไปเลี้ยงหลาน ดังนั้น ชีวิตนี้ผมยังมีงานอีกเยอะ เราอายุก็ปูนนี้แล้ว 64 ปีแล้ว จะถูกโยกย้ายหรือไม่ก็ไม่ได้เดือดร้อน ยินดีช่วยเหลือเต็มที่ ผมทำงาน 100 เปอร์เซ็นต์ ถูกโยกย้ายก็ไม่มีโวยวายอยู่แล้ว
สำหรับผลโพลที่ออกมา พบว่ารัฐมนตรีที่ประชาชนไม่รู้จัก มีอยู่ประมาณ 5 คนและหนึ่งในนั้นก็มีชื่อท่านด้วย รู้สึกอย่างไร
ผมว่าบางทีเราได้ไม่ทำการประชาสัมพันธ์งานเท่าไร เพราะหลายคนที่ประชาชนบอกว่าไม่รู้จักก็ทำงานเยอะ แต่ไม่ได้ออกมาสัมภาษณ์อะไร และเชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบต่อการปรับครม. เพราะท่านนายกฯยิ่งลักษณ์ ท่านดูที่ผลงานเป็นหลักไม่ได้ดูว่าหน้าใครออกสื่อบ่อยหรือไม่ แต่ขอให้ทำงาน
สำหรับเรื่อง พ.ร.บ.ปรองดอง ที่ นายนพดล ปัทมะ ออกมาระบุว่าจะให้ พรรคเล็กเป็นผู้เสนอ และรัฐบาลจะเป็นผู้สนับสนุน
ผมไม่ได้ติดตามเรื่องนี้เลย เรายังเรื่องอื่นอีกเยอะ ผมทำงานอย่างเดียว เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ งาน ทั้งหมดทั้งมวลรัฐบาลคือต้องทำงาน นี่คือสาระแก่นจริงๆ จะอยู่สั้นอยู่ยาวประชาชนจะจำเราได้หรือไม่ได้อยู่ที่งาน มากกว่าเรื่องอื่นๆ
ผลงานรัฐบาล 1 ปี จะพิสูจน์ให้ประชาชนไว้ใจและได้อยู่ครบเทอมหรือไม่
ผมเชื่อว่าประชาชนเห็นผลงานรัฐบาลนี้ แต่เรื่องครบเทอมหรือไม่ประชาชนคงเดาไม่ถูกเหมือนกัน แต่ถ้าผมเป็นประชาชนผมให้อยู่ครบเทอม และต่อเทอมด้วย เพราะดูที่ผลงาน ผมว่าประชาชนมองผลงานที่ออกมา และในช่วงปีใหม่ หรือเราอาจจะมีของใหม่เติมเข้ามาแน่นอน เรากำลังคิดกันอยู่
ถ้าเรื่องงานสำหรับผมสามารถถามได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องการเมืองเราไม่ไปอยู่ในวงนั้นจึงไม่รู้ เราไม่มีเวลาพอ เราต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าเอาทั้งสองอย่างเวลาการทำงานแต่ละวันคงต้องยืดทำงานกันถึงตี 4 เพราะแค่นี้ก็อยู่กันเป็นทุ่มแล้ว และท่านนายกฯเองก็ทำงานเหมือน เพราะเรามาเพื่อต้องการทำงาน ส่วนเรื่องสภา เรื่องการเมืองก็ปล่อยเขาไป ให้ทางพรรคเขาว่ากันไป ไม่เช่นนั้นเอาทุกอย่างปนมาอยู่ในหมวดเดียวกันจะไม่ได้งาน สุดท้ายจะไม่ได้อะไรเลย ต้องแยกกันทำงาน การเมืองก็ว่าไป ส่วนเราก็ทำงานอย่างเดียว ถ้าทำกันแบบนี้ถึงจะไปได้ไกล