"แม่สะอิ้ง ไถวสินธุ์" รากหญ้าเล่นการเมือง อย่ามองคนอีสานเป็นแค่แม่บ้าน
การแก้ปัญหาความยากจนยังคงเป็นแคมเปญหลักในการหาเสียง แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าแม่สะอิ้ง แกนนำคาราวานคนจน ผู้คลุกคลีกับชาวบ้านในอีสานและจบการศึกษาแค่ป.4 จะได้รับการผลักดันให้เป็นผู้สมัครปาร์ตี้ลิสต์ในพรรคการเมือแถวหน้า ที่ต้องการฐานเสียงในภาคอีสาน
ไม่บ่อยครั้งนักที่พรรคการเมืองใหญ่ๆ จะเปิดโอกาสให้คนจน ชาวบ้านที่ไร้การศึกษาประกาศนียบัตร แต่เปี่ยมด้วยประสบการณ์ชีวิต ขึ้นมาเป็นผู้สมัครในบัญชีรายชื่อแถวหน้า
มาเที่ยวนี้พรรคภูมิใจไทย ซึ่งมุ่งมั่นปักธงน้ำเงินในแดนอีสาน ประกาศให้แม่สะอิ้ง หรือชื่อจริงนามสกุลจริง “ศุภาธินันท์ ไถวสินธุ์” แกนนำคาราวานคนจน จบการศึกษาแค่ชั้นประถมปีที่สี่ จากโรงเรียนคำพะอุงประชาราษฎร์ จังหวัดร้อยเอ็ด เข้ามาเป็นผู้สมัครปาร์ตี้ลิสต์ลำดับที่ 15
จากอดีตเกษตรกร ชาวนา ชาวไร่มันสำปะหลัง สู่สังเวียนการเมืองภาคประชาชน จนมาสู่การเลือกตั้งระดับประเทศ ชื่อของแม่สะอิ้ง จึงถูกจับตามอง ไม่ใช่ในฐานะอดีตแกนนำเสื้อแดงและอดีตผู้นำม็อบที่เคยมีเรื่องมีราวปิดอาคารเนชั่นทาวเวอร์ แต่จุดสำคัญก็คือเนื้อหาสาระที่แม่สะอิ้งจะป่าวร้อง หากได้รับเลือกตั้งเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรมากกว่า
แม่สะอิ้ง เล่าว่า เป็นคนมีภูมิลำเนาที่จังหวัดร้อยเอ็ด ปัจจุบันมีนา 38 ไร่ แบ่งให้วัดป่า 9 ไร่ ที่เหลือส่วนใหญ่ปลูกข้าว ทำไร่ จึงทราบปัญหาความยากจนของคนอีสาน ว่าต้องเป็นหนี้เป็นสินจากการเพาะปลูก หลายคนถูกไล่ที่ ทั้งที่อยู่มานาน เมื่อทางพรรคภูมิใจไทยให้โอกาสจึงเข้ามาร่วมสมัครเป็นส.ส. แต่ไม่ว่าจะอยู่พรรคไหน เสื้อสีอะไร ก็ยังคงเป็นคนจนเหมือนเดิม เพียงแต่ว่าปัญหาของเราจะได้ถ่ายทอดออกไปให้คนได้รับรู้มากขึ้น
โดยเฉพาะปัญหาความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวย กับคนจน เป็นอย่างนี้มานานแล้ว มันรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องทุนกับคน คนจนก็อยู่มุมหนึ่ง คนรวยก็รวยไม่รู้เรื่อง เชื่อมต่อกันไม่ติด พอเห็นคนจนก็ทำเมินๆ ขณะที่คนจนพอมองหน้าก็ไม่กล้า กลัวเขาคิดว่าเราจะมาขอเงิน สุดท้ายเลยอยู่มุมใครมุมมัน
“อยากให้เข้าใจคนจนว่าก็เป็นคนเหมือนกัน เราก็เหมือนตัวแทนคนจน ไม่ใช่มาเป็นแค่ตัวแทนพรรคการเมืองหรือมาขอเงินเค้าแค่นั้น” แม่สะอิ้งระบายความในใจ
ด้วยความที่เป็นคนพื้นเพในภาคอีสาน และเป็นที่รู้จักของชาวบ้านจากการทำกิจกรรมหลายอย่าง ทำให้พรรคภูมิใจไทยผลักดันให้แม่สะอิ้งเป็นหนึ่งในหัวหอกรณรงค์ประชาชนให้เลือกผู้สมัครทั้งระบบเขตและบัญชีรายชื่อ ด้วยการเดินเท้าเปล่าเป็นสัญลักษณ์ที่บอกว่าผู้สมัครปาร์ตี้ลิสต์คนนี้ติดดิน และเข้าใจหัวอกคนจน
โดยแม่สะอิ้ง บอกว่า ล่าสุดคาราวานคนจนเดินทางไปแล้ว 16 จังหวัดแล้ว เหลือที่กำลังจะไป 3-4 จังหวัด อย่างจังหวัด เลย นครพนม ชัยภูมิ มุกดาหาร จะไปลากเกวียนประกาศให้คนรู้เข้าใจ เราคือพี่น้องกัน มาช่วยพรรคของพี่น้องดีกว่า เพราะตอนนี้คนที่ถือดาบอาญาสิทธิ์ก็คือคนจน ก็ป่าวประกาศให้เขารู้
ในส่วนของพื้นที่กรุงเทพมหานครนั้น ก็อาจมีการเดินเท้าเปล่ารณรงค์เช่นเดียวกัน อาจจะไปแถวสยามสแควร์หรือสยามพารากอน แต่คงไม่ลากเกวียนเหมือนในอีสาน เพราะมันยุ่งยาก พื้นที่การจราจรไม่เอื้ออำนวย
เราจะเดินเพื่อบอกให้รู้ว่า ยังมีคนจนในหมู่คนรวยนะ มาช่วยแบ่งพื้นที่ให้เราอยู่ซักซีกหนึ่ง ขอเราใช้ถนนหนทางด้วย ไม่ใช่ให้คนอีสานเป็นแต่แม่บ้าน หรือมาอยู่โรงงานแล้วก็หลอกให้เปิดบัญชี เป็นแค่นอมินีทางการเงิน หรือขับแท็กซี่ ซึ่งก็คนอีสานทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นยโสธร กาฬสินธุ์ หรือคนวังสะพุงจังหวัดเลย ส่วนใหญ่ก็มาขี่จักรยานขายลอตเตอรี่
“อยากให้มองพรรคอื่นด้วยไม่ใช่แค่พรรคใหญ่สองพรรคเท่านั้น แต่ส่วนตัวเชื่อว่าทุกพรรคก็หวังดีกับประชาชนทั้งนั้น เพราะเป้าหมายของทุกพรรคก็คือให้ประชาชนพัฒนาอย่างยั่งยืน อยู่ดีกินดี เพียงแต่ยุทธการหาเสียงจะใช้คนละวิธีกัน” ปาร์ติ้ลิสต์เบอร์ 15 พรรคภูมิใจไทยระบุ
แม่สะอิ้ง เล่าว่า เวลาไปคาราวาน ก็จะมีคนถามว่าหัวหน้าทำไมมาอยู่พรรคภูมิใจไทย เพราะเมื่อปี 2548-51 เคยอยู่อีกพรรคนึง เราก็บอกว่า อยากเป็นส.ส.พรรคเพื่อไทยเหมือนกัน แต่เขาเอาแต่ดาราหนัง คนดัง นายทุน ไม่เอาคนจบป.4 ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร บางพรรคก็มาคุยกัน แล้วบอกว่าให้ตำแหน่งได้เป็นแค่ที่ปรึกษา แต่พรรคภูมิใจไทยให้เราเป็นปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 15 ก็ไม่รู้คะแนนจะถึงหรือไม่ แต่ก็ถือว่าเราโชคดีที่ได้มาอยู่ตรงนี้แล้ว ถือว่าพรรคให้โอกาสคนจบป.4
ทั้งนี้ หากได้เข้าไปเป็นส.ส.และรัฐบาล ก็พร้อมจะผลักดัน 3 นโยบายของพรรคภูมิใจไทย คือการทำให้ชาวนาขายข้าวได้ตันละ 2 หมื่นบาททั่วประเทศ โดยรัฐบาลจะเดินหน้าออกพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จัดตั้งกองทุนขึ้นมาเพื่อประกันราคา ให้ชาวนามั่นใจว่าข้าวที่จะออกมาหรือไม่ก็ตามได้ราคาที่ 2 หมื่นบาทแน่ และไม่ว่านาล่ม นาแล้ง น้ำท่วม ก็จะยังได้รับเงินมีรายได้แน่นอน ลดภาระให้ชาวนา
“แรกๆชาวนายังไม่ค่อยเข้าใจการประกันรายได้ ประกันราคา เพราะเกิดความขัดแย้งเรื่องพรรคการเมือง อะไรที่เป็นของพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ยอมรับ ไม่ยอมเข้าร่วมโครงการเลย แต่เราก็บอกว่าการเมืองไม่มีมิตรแท้ ศัตรูถาวร และเมื่อเริ่มเห็นชาวบ้านคนอื่นๆเข้าโครงการแล้วเกิดผลดี ตอนหลังๆคนที่เคยคิดอย่างนั้นก็เริ่มเข้ามารับฟัง เริ่มมานั่งใกล้ๆ และเข้าร่วมโครงการ เริ่มถามว่ามันต่างกันอย่างไร บางคนยกมือถามเราเลยว่า ถ้าเป็นส.ส.แล้วนโยบายนี้(ประกันราคา 2 หมื่นบาท) จะทำได้จริงหรือไม่ เราก็จะบอกว่าข้าวคือนโยบายที่จะต้องทำก่อนอันดับแรก” แม่สะอิ้งระบุ
ไม่เพียงเท่านั้น นโยบายต่อมาของพรรคภูมิใจไทย ยังมีเรื่องการเอาน้ำเข้านา ซึ่งชาวบ้านเค้าก็คิดว่าเราจะทำไม่ได้ ทั้งที่ประเทศไทยมีน้ำมากที่สุด มีลำห้วยมากมาย แต่เอาน้ำมาไม่ได้ เราก็อธิบายว่าเรามีนโยบายเหมือนถังพักน้ำ โดยใช้วิธีสร้างเสาพักน้ำทำแบบมีเทคโนโลยีดูดน้ำขึ้นไปแล้วกระจายออกไปสู่ไร่นา
นโยบายที่สาม คือเรื่องของสิทธิทำกินในที่ดิน ทั้งที่ชาวบ้านอีสานอยู่ตรงนั้นแต่ไม่เคยมีสิทธิ ไม่เคยได้รับรอง ทั้งที่อยู่มาก่อนแต่ภายหลังราชการบอกเป็นพื้นที่ป่าสงวน เราจะทำอย่างไรให้ชาวบ้านได้สิทธิถาวร จากปัจจุบันเขามีสิทธิในฐานะที่ทำกินชั่วคราว อยู่ได้ 5 ปีก็โดนไล่ ก็เขาเคยอยู่ตรงนั้นจะไล่ไปไหน ชาวบ้านเขาก็ไม่มีที่ไป
เราจะใช้นโยบายที่ออกเอกสารสิทธิให้ โดยกรมป่าไม้ , สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และกรมที่ดิน ต้องมานั่งคุยกัน โดยมีกระทรวงมหาดไทยเป็นตัวกลาง คิดว่าถ้าทำอย่างนี้ได้ คนอีสานก็ไม่จำเป็นต้องมาทำงานในกทม. เพราะตอนนี้คนเดือดร้อนจากเรื่องนี้มีนับ 10 ล้านครอบครัว
จริงๆแล้วหากย้อนไปดูที่ผ่านมา มติครม.เมื่อปี 2542 ที่สั่งให้กระทรวงมหาดไทยยกเลิกการเพิกถอนสิทธิคนที่อยู่มาก่อนหรืออยู่อาศัยเดิม แต่ผู้ปฏิบัติคือข้าราชการไม่ได้ทำอย่างนั้น จึงคิดว่าเราต้องเข้าไปแก้เอง จะไปประสานเชื่อมโยงให้ทุกคนเข้าใจถึงความเดือดร้อนของชาวบ้านให้ได้
แกนนำคาราวานคนจน ยอมรับว่า ในการออกคาราวานในภาคอีสานนั้น จะมีคำถามตลอดว่า ทำไมไม่อยู่กับพรรคเสื้อแดง มีคนโทรศัพท์มาหาอย่างนี้ตลอด เราก็บอกว่ากับเสื้อแดงนั้น ก็ไม่ได้ขัดแย้งกับใคร และไม่ได้เกลียดกัน แม้จะเป็นเสื้อสีไหน เสื้อน้ำเงินก็เช่นกัน เราก็ยังรักทุกคนเหมือนเดิม แต่คือมันแค่ต่างกรรม ต่างวาระ อย่างคนนอนมุ้งเดียวกัน ยังฝันต่างกันคนละเรื่องเลย
แม่สะอิ้ง ยอมรับว่า ที่ผ่านมามีป้ายแดงในหมู่บ้าน ในครอบครัว ตอนหลังๆก็เอาป้ายลง เริ่มเปิดใจรับคนอื่นมากขึ้น บางหมู่บ้านเป็นเขตของเค้า เป็นหมู่บ้านเสื้อแดง ไม่ยอมให้คนอื่นเข้าใกล้ ทั้งๆที่จริงๆแล้วในหมู่บ้านมีคนหลากหลาย การขึ้นป้ายเสื้อแดงจึงเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง หลายคนก็เอาป้ายลง เพราะในหมู่บ้านเดียวกันบางคนเขาก็ไม่เห็นด้วย ว่าทำไมต้องเอาป้ายมาขึ้นบ้านเขา
“เมื่อปี 2553 ตอนที่มีชุมนุมที่ราชประสงค์เรื่องเหล่านี้แรงมาก แต่พอหลังๆมีการยุบสภาก็ค่อยๆน้อยลงแล้ว คนหันมาฟังเรามากขึ้น เพราะคิดว่าเราสามารถพูดคุยกันได้ สามารถเปลี่ยนแปลงได้หลายหมู่บ้านแล้ว”แม่สะอิ้งบอก
วิธีการสร้างหมู่บ้านแดงนั้น เรียกว่าเป็นกลยุทธ์หาเสียงก็ได้ เป็นสิ่งที่แกนนำได้ฟังมา แล้วก็มาถ่ายทอดต่อ พอมีคนต่อต้าน ก็เปลี่ยนมาเป็นเรื่องของการจะนำพ.ต.ท.ทักษิณ กลับมา จะอย่างงั้นอย่างงี้ แต่ต้องยอมรับว่าคนศรัทธาพ.ต.ท.ทักษิณ มีมากอยู่ เพราะคนอีสานเชื่อมั่นพ.ต.ท.ทักษิณ ในเรื่องกองทุนหมู่บ้าน แต่เราก็บอกเขาว่า กองทุนหมู่บ้านก็คือหนี้อย่างหนึ่ง หลายคนกู้แล้วไม่มีปัญญาใช้คืน ก็ต้องไปกู้นอกระบบมาคืนกองทุนหมู่บ้าน ซึ่งมันไม่ยั่งยืน ขณะที่พรรคภูมิใจไทยมีนโยบายชัดเจนในการแก้หนี้
“จริงๆต้องบอกว่า บ้านเมืองก็ไม่ใช่ของเค้าคนเดียว เราทำให้เขาเข้าใจว่าเรามาเสนอนโยบายดีๆซึ่งหลายคนก็เปิดใจรับฟัง”แม่สะอิ้งบอก
สำหรับเหตุการณ์ที่แยกราชประสงค์นั้น ผู้สมัครปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 15 พรรคภูมิใจไทย บอกว่า ไม่เห็นด้วยกับทั้งสองฝ่าย ไม่อยากให้มีคนตาย จริงๆแล้วม็อบน่าจะลงได้ก่อนหน้านี้ และการทำม็อบไม่ควรทำอย่างนี้ เพราะทำให้คนอื่นแทรกแซงได้ สุดท้ายก็ห้ามกันไม่ฟัง เสื้อแดงก็เดินไปเดินมา ส่วนตัวแกนนำก็ดื้อดึง ขณะที่บางคนอยากกลับก็กลับไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่ความผิด สุดท้ายก็เสียหายทั้งสองฝ่าย
โดยในสายตาของแกนนำคนจนคนนี้ มองว่า เสื้อทุกสีน่าจะมาคุยกัน รวมกันเป็นพี่เป็นน้อง ไม่แยกเป็นเสื้อน้ำเงิน แดง เหลือง รวมถึงเสนาบดี หรือข้างบนก็ควรมีคนมาคุยด้วย ถ้าปล่อยอย่างนี้ต่อไปคิดว่าไม่รอด จะเกิดความเสื่อมโทรมทางจิตใจ เพราะไม่ว่าจะสีอะไรคุณก็เป็นคนเหมือนกัน แต่การจะให้คนเหล่านี้เข้ามาร่วมกันได้ต้องมีเทคนิค
แม่สะอิ้ง ยืนยันว่า ถ้าได้รับเลือกเป็นส.ส.เข้าสู่สภา ก็จะไม่เปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ ยังคงแต่งตัวเหมือนเดิม ไม่มีปรุงแต่ง เพราะแต่งยังไงก็ไม่สวย เคยไปเป็นวิทยากรก็ใส่แบบนี้ พอลงเวทียังมีคนมาขอลายเซ็นเลย ส่วนรองเท้าไม่น่าเป็นปัญหา เพราะไม่เคยใส่มาตั้งแต่เล็กๆแล้ว
“มีคนบอกว่าแต่งตัวอย่างนี้เหมือนไม่ให้เกียรติ เราก็บอกว่าเกียรติไม่ได้อยู่ตรงนี้ แต่เกียรติอยู่ที่ใจ” แม่สะอิ้งทิ้งท้าย