ปาฐกถาพิเศษ:::: “อรรถนิติ ดิษฐอำนาจ” เรื่อง “ศาลยุติธรรม ความคาดหวังของสังคมไทย” (1)
เมื่อวันที่ 21 เม.ย.ที่ผ่านมา นายอรรถนิติ ดิษฐอำนาจ องคมนตรี ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง 'ศาลยุติธรรม ความคาดหวังของสังคมไทย' ในวาระศาลยุติธรรมสถาปนาครบรอบ 128 ปี ณ ห้องประชุมชั้น 7 อาคารสถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม สำนักงานศาลยุติธรรม
นายอรรถนิติ กล่าวว่า มนุษย์เราเมื่ออยู่ร่วมกันเป็นสังคม ไม่ว่า จะเป็นระดับครอบครัว ระดับตำบล ระดับอำเภอ จนถึงระดับประเทศ การอยู่รวมกันต้องมีกฎระเบียบ ตามสุภาษิตลาตินที่กล่าวกันว่า ที่ใดมีมนุษย์ ที่นั่นมีสังคม ที่ใดมีสังคม ที่นั่นมีกฎหมาย ด้วยเหตุนี้ที่ใดมีมนุษย์ที่นั่นย่อมมีกฎหมาย ประเทศชาติเหมือนกันไม่ว่าประเทศใดในโลกปกครองด้วยระบอบใดก็ต้องมีกฎระเบียบหรือกฎหมายปกครองประเทศทั้งนั้น
การปกครองระบอบต่างๆ นั้น เป็นที่ยอมรับนานาอารยะประเทศ ส่วนใหญ่ว่า การปกครองระบอบประชาธิปไตยได้รับความนิยมสูงสุด มีข้อน่าสังเกตุว่า การปกครองระบอบประชาธิปไตย สิ่งสำคัญก็คือเป็นการปกครองในแบบที่เรียกว่านิติรัฐ แม้ทุกประเทศจะปกครองโดยกฎหมาย แต่คำว่านิติรัฐในการปกครองระบอบประชาธิปไตย ต่างกับการปกครองโดยกฎหมาย ของประเทศที่มิได้มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
การปกครองแบบ 'นิติรัฐในระบอบประชาธิปไตย'
ประเทศในระบอบเผด็จการ หรือสังคมนิยมหรือคอมมิวนิสต์ก็ใช้กฎหมายปกครองทั้งสิ้น แต่การปกครองแบบนิติรัฐในระบอบประชาธิปไตย แตกต่างจากการปกครองในระบอบอื่น ที่สำคัญดังนี้
ประการแรก คือ การปกครองแบบนิติรัฐนั้น เป็นการปกครองโดยกฎหมาย ออกโดยประชาชนหรือตัวแทนประชาชน การใช้อำนาจของรัฐต้องมีกฎหมายให้อำนาจ ถ้าไม่มีกฎหมายให้อำนาจแล้วก็จะทำไม่ได้ โดยเฉพาะในเรื่องที่จะเข้าไปก้าวก่ายสิทธิเสรีภาพของประชาชน เรื่องนี้เป็นหัวใจสำคัญที่จะต้องเข้าใจในการปกครองแบบนิติรัฐ ฉะนั้นหลักนิติรัฐเบื้องต้น คือ ไม่มีกฎหมาย ไม่มีอำนาจ
ประการที่สอง สิทธิเสรีภาพของประชาชน ต้องมีหลักประกัน การปกครองแบบนิติรัฐจะมีสิทธิเสรีภาพที่จะทำอะไรก็ได้เท่าที่ไม่มีกฎหมายจำกัด
ประการที่สาม การปกครองแบบนิติรัฐในระบอบประชาธิปไตยต่างกับการปกครองในรูปแบบอื่น คือ มีการแบ่งแยกอำนาจปกครอง เป็นอำนาจ บริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ทั้งนี้ เพื่อให้อำนาจทั้ง 3 ตรวจสอบและถ่วงดุลซึ่งกันและกัน
ประการที่สี่ ต้องมีผู้พิพากษาที่เป็นอิสระทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐเพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน และที่สำคัญ คือ การให้ความยุติธรรมแก่ประชาชนที่มีข้อพิพาท องค์ประกอบทั้ง 4 ประการ เป็นหัวใจสำคัญของนิติรัฐ
ขณะเดียวกันการปกครองแบบนิติรัฐ ยังไม่เพียงพอ การปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบนิติรัฐ จะมีความสมบูรณ์อย่างแท้จริงจะต้องประกอบด้วยหลักสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ หลักนิติธรรม ดังนั้นการบอกว่าการปกครองระบอบประชาธิปไตยมีที่มาจากประชาชนอย่างเดียว ยังไม่เพียงพอต้องเป็นการปกครองแบบนิติรัฐควบคู่ไปกับหลักนิติธรรม
นิติรัฐที่ต้องมี 'หลักยุติธรรม'
ปัจจุบันได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญด้วย เพราะในอดีตมักจะพูดกันเฉพาะกฎหมายแต่ไม่พูดถึงความถูกต้องชอบธรรม เรามักพูดว่าถูกกฎหมายแล้วแต่ไม่พิจารณาว่า ความรู้สึกแท้จริงสิ่งนั้นมีความชอบธรรมหรือไม่ นักกฎหมายมักให้ความสนใจกับตัวบทกฎหมายมากกว่า ปัจจุบันรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2550 ได้ให้ความสำคัญและนำมาอ้างอิง ไว้ในมาตรา 3 บัญญัติว่าการทำหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐ ต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม คือการปกครองโดยกฎหมายซึ่งเป็นธรรม
ประการแรก คือ กฎหมายที่ออกมาใช้บังคับต้องออกมาเพื่อประโยชน์ของประชาชน ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ส่วนตัว ประการที่สอง การบังคับใช้กฎหมายต้องมีความยุติธรรมและเป็นไปโดยเสมอภาค ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ให้สิทธิคนหนึ่งดีกว่าอีกคนหนึ่ง ในการวินิจฉัยว่าเป็นความยุติธรรมหรือไม่ ในแง่ของกฎหมาย นักกฎหมายจะพิจารณาจากคนในสังคมที่มีเหตุมีผลมีความรู้สึกผิดชอบ ซึ่งไม่มีส่วนได้เสียในเรื่องนั้นมาเป็นเกณฑ์ในการวินิจฉัยว่า สิ่งนั้นถูกต้องยุติธรรมหรือไม่ ความยุติธรรมจึงเป็นสาระสำคัญของกฎหมายและเป็นอุดมการณ์ของนักกฎหมาย เป็นความต้องการของมนุษย์และทุกสังคม
รัฐธรรมนูญปัจจุบัน บัญญัติในมาตรา 197 ว่า “การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีเป็นอำนาจของศาลซึ่งต้องดำเนินการไปโดยยุติธรรมตามรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมายและในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์” ซึ่งคำว่า 'ยุติธรรม' ที่ตราไว้ ไม่เคยมีในรัฐธรรมนูญฉบับก่อนๆ เพิ่งมาบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญปัจจุบัน แต่เพียงว่า “การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีเป็นอำนาจของศาลที่จะต้องดำเนินการไปตามรัฐธรรมนูญ กฎหมายและในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์”
คำว่า 'ยุติธรรม' บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ได้เพิ่มเข้าไปคือหลักของความยุติธรรม เพื่อให้ศาลนำมาใช้เพิ่มเติม นอกจากรัฐธรรมนูญและกฎหมาย
มักมีการโต้เถียงกันมาโดยตลอด ระหว่างกฎหมายกับความยุติธรรม ใครจะเหนือว่ากัน ในแง่นิติศาสตร์แล้วกฎหมายต้องมาก่อน แต่ถ้ากฎหมายและการบังคับใช้นั้นก่อให้เกิดความ อยุติธรรม ก็เป็นกรณีที่ศาลจะต้องนำหลักยุติธรรมมาใช้ให้เหนือกว่าหลักกฎหมายเพื่อจะสร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้น ในการนำหลักความยุติธรรมมาใช้ก็ต้องมาวินิจฉัยเป็นรายกรณี และเมื่อนำมาวินิจฉัยแล้ว ต้องเป็นที่ยอมรับสำหรับวิญญูชนทั่วไป
นักกฎหมายที่ยิ่งใหญ่ของอังกฤษ ในศตวรรษที่ 18 กล่าวไว้ว่า ถ้าหากบทบัญญัติใด มีวัตถุประสงค์ไปในทางที่ไม่ถูกไม่ควร ศาลย่อมมีเสรีภาพไม่ใช่กฎหมายนั้น ในกรณีต้องใช้อำนาจตุลาการ หรืออำนาจนิติบัญญัติซึ่งจะเป็นการปรับรูปแบบของการปกครองทั้งปวง เมื่อคำกว้างๆ ของบทบัญญัติอาจตีความไปในทางไม่สมเหตุสมผล ศาลต้องถือกรณีนั้นๆ เป็นกรณีนอกความคาดหมายของผู้บัญญัติกฎหมาย ศาลย่อมมีเสรีภาพอ้างหลักความยุติธรรม ไม่ตีความให้มีผลเช่นนั้น
หลักนิติธรรมจึงเป็นหลักของความยุติธรรมเข้ามาช่วยเหลือให้สังคมเกิดความยุติธรรมที่แท้จริง สามารถอ้างอิงบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ
ประการที่สาม การปกครองโดยหลักนิติธรรมนี้ ผู้บังคับใช้กฎหมายต้องมีความรู้และมีความยุติธรรม คือ ต้องเป็นผู้ที่มีความเก่งและความดี และประการที่สี่ การบังคับใช้กฎหมายต้องมีกระบวนการยุติธรรมตรวจสอบโดยองค์กรที่เป็นอิสระและเป็นกลาง
การปกครองในระบอบประชาธิปไตยรูปแบบนิติรัฐและโดยใช้หลักยุติธรรม มีสาระสำคัญที่จะต้องมีการควบคุมตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ การให้ความเป็นธรรมกับประชาชนโดยองค์กรที่เป็นอิสระและเป็นกลางที่เป็นที่ยอมรับกันในทางสากล ว่า การควบคุมตรวจสอบและการให้ความเป็นธรรมโดยองค์กรตุลาการหรือศาลยุติธรรม เป็นการควบคุมตรวจสอบ ให้ความเป็นธรรมที่ดีที่สุด และมีประสิทธิภาพมากที่สุด เพราะเป็นองค์กรที่สามารถตัดสินปัญหายุติข้อขัดแย้งรวมทั้งพิทักษ์และคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้ดีที่สุด และสามารถเยียวยาความเสียหายให้กับประชาชนผู้ถูกกระทบสิทธิเสรีภาพได้โดยตรง
'ผู้พิพากษา' ผู้ประสาทความยุติธรรม
การควบคุมตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐและการให้ความเป็นธรรมโดยองค์กรตุลาการหรือศาลยุติธรรม นับได้ว่าเป็นรูปแบบที่เก่าแก่ที่สุดรูปแบบหนึ่งที่ใช้กันแพร่หลายในทุกประเทศ และเป็นองค์กรที่ได้รับการยอมรับว่า เป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชน
โอลิเวอร์ เวนเดน โฮล์ม ผู้พิพากษาศาลสูงของสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า เราอยู่อย่างสงบเงียบ แต่เป็นความสงบเงียบของศูนย์กลางพายุ กล่าวคือ เป็นความสงบเงียบที่มีพลัง
ความสำคัญขององค์กรตุลาการ ในพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เมื่อครั้งที่ประธานศาลฎีกาได้นำผู้พิพากษาเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณในการเข้ารับหน้าที่ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต วันที่ 15 พฤษภาคม 2551 ทรงกล่าวไว้มีความตอนหนึ่งว่า
“...บ้านเมืองต้องมีผู้พิพากษา ต้องมีผู้รักษาความยุติธรรม ต้องมีศาลเพื่อรักษาความยุติธรรมนี้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ เพราะว่า ในบ้านเมืองถ้าไม่มีความยุติธรรม บ้านเมืองก็จะล่มจม...”
บทบาทภาระหน้าที่ขององค์กรตุลาการศาลยุติธรรมนั้น คือ การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน รวมทั้งให้ความยุติธรรมต่อประชาชนที่มีข้อพิพาท ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวศาลยุติธรรมจะต้องประกอบด้วย ผู้พิพากษาที่มีความเป็นอิสระ เที่ยงธรรม และมีความสามารถ บทบาทและหน้าที่ขององค์การตุลาการหรือศาลยุติธรรม ปรากฏชัดเจนอยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ซึ่งจะต้องดำเนินการให้เป็นไปโดยยุติธรรมตามรัฐธรรมนูญตามกฎหมาย และในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ เรื่องนี้ก็มีบัญญัติอยู่ในประมวลจริยธรรมของข้าราชการตุลาการ ในหมวด 1 ว่าด้วยอุดมการณ์ผู้พิพากษาที่กล่าวว่า
“หน้าที่สำคัญของผู้พิพากษาในวิชาชีพก็คือ การประสาทความยุติธรรมแก่ผู้มีอรรถคดี”
ในทางอรรถคดีความหมายของคำว่า 'ยุติธรรม' เป็นหัวใจของวิชาชีพตุลาการ และเป็นจริยธรรม อุดมการณ์ที่นักกฎหมายไม่ว่าจะประกอบวิชาชีพแขนงใดต้องยึดถือปฏิบัติ ความยุติธรรมเป็นความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ในสังคม เป็นหัวใจสำคัญขององค์กรตุลาการ เป็นความหวังของทุกคนในสังคม ไม่ว่าจะเป็นคนยากจน คนรวย คนดี หรือคนไม่ดี ต่างหวังความยุติธรรมจากองค์กรตุลาการหรือศาลยุติธรรม บุคคลที่ล่วงละเมิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นทางแพ่งหรืออาญา ต่างก็ต้องการความยุติธรรมว่า การละเมิดกฎหมายของเขานั้นควรได้รับผลที่เป็นธรรมตามความเป็นจริง
ความยุติธรรม คือ การยุติความขัดแข็งที่เป็นตาม 'ธรรมะ'
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัส เมื่อครั้งประธานศาลฎีกานำผู้พิพากษาเข้าเฝ้าฯ ที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2530
“...คำว่ายุติธรรมนั้น เป็นคำที่แปลว่าการตกลงพิจารณาในทางที่ถูกต้องตามธรรมะ และธรรมะนี้ก็หมายความว่า สิ่งที่ควรจะปฏิบัติให้นำความเจริญแก่มวลมนุษย์ ในการปฏิบัตินี้ก็จะต้องมีความเที่ยงตรงและปราศจากอคติ...”
นอกจากนี้พระองค์ยังคงมีพระราชดำรัสอีกตอนหนึ่งว่า
“...บ้านเมืองนี้ต้องมีความยุติธรรมเพราะถ้าไม่มีความยุติธรรมก็จะต้องมีความเดือดร้อน จะต้องมีความไม่สงบ ยุติธรรม ก็หมายความว่าธรรมะ คือสิ่งที่ถูกต้องและยุติก็ยุติ ก็หมายความว่า ดูได้ว่าอะไรเป็นธรรม อะไรไม่เป็นธรรม...”
พระราชดำรัสดังกล่าว ความยุติธรรม จึงเป็นการยุติในธรรมะ การยุติความขัดแย้งต่างๆ ต้องเป็นไปตามธรรมะ ซึ่งธรรมะเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์ต่างจากสัตว์ การยุติข้อขัดแย้งต่างๆให้เป็นไปตามธรรมะจึงเป็นวิถีการของมนุษย์และรักษาความเป็นมนุษย์ไว้ ความยุติธรรมมีอยู่ในมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นผู้ใช้อำนาจรัฐ หรือเป็นประชาชน และใช้ความยุติธรรมกับทุกคนทุกมติ ทั้งฝ่ายรัฐกับรัฐ รัฐกับประชาชน ประชาชนกับประชาชน
ธรรมะเป็นสิ่งที่รักษามนุษย์ให้เป็นมนุษย์ การยุติข้อขัดแย้งโดยใช้ธรรมะ จึงเป็นวิธีการของมนุษย์ การใช้ธรรมะยุติข้อขัดแย้ง นำไปสู้ความสงบสุขของ มนุษย์และสังคม เมื่อสังคมสงบสุข มนุษย์สามารถพัฒนาปัญญาไปสู่การเจริญก้าวหน้าด้านต่างๆได้ มนุษย์ที่เป็นคนดีและไม่ดีล้วนต้องการความสุข ความเจริญ ซึ่งต้องใช้ความยุติธรรม เพื่อไม่ให้เกิดข้อขัดแย้ง
การอำนวยความยุติธรรมขององค์กรตุลาการและผู้พิพากษานั้นสิ่งสำคัญ คือ สังคมต้องเชื่อถือศรัทธาในองค์กรตุลาการและผู้พิพากษาที่ทำหน้าที่ในการอำนวยความยุติธรรม การที่จะทำให้สมาชิกในสังคมเชื่อถือและศรัทธาในองค์กรตุลาการว่าจะทำหน้าที่อำนวยความยุติธรรมให้กับสมาชิกในสังคมได้นั้น ผู้พิพากษาจะต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความบริสุทธิ์ ยุติธรรม ซื่อสัตย์สุจริต เที่ยงธรรม ถูกต้องตามกฎหมาย ต้องยึดมั่นในความเป็นอิสระและเทิดทูนไว้ซึ่งเกียรติศักดิ์แห่งสถาบันตุลาการ และที่สำคัญจะต้องแสดงให้เป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชนด้วยว่าตนได้ปฏิบัติเช่นนี้อย่างเคร่งครัดครบถ้วน ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานที่สำคัญของระบบศาลยุติธรรม
สถาบันตุลาการ อันเป็นอิสระและทรงเกียรติ เป็นสิ่งที่จะขาดไม่ได้ สำหรับความยุติธรรมในสังคม ความนับถือในพิพากษาของศาล ขึ้นอยู่กับความเชื่อถือ ศรัทธาในเกียรติศักดิ์ และความเป็นอิสระของผู้พิพากษา และขึ้นอยู่กับการปฏิบัติหน้าที่ โดยปราศจากความกลัว ความชอบ ความรัก หรือความโกรธ ความไว้วางใจของประชาชน ที่มีต่อสถาบันตุลาการ จะค่อยๆ หมดไป เพราะความประพฤติที่ขาดความรับผิดชอบ ไม่เหมาะสม
ผู้พิพากษาจะต้องละเว้นจากความประพฤติอันไม่สมควร ไม่เหมาะสม ต้องเตรียมพร้อมการตกเป็นเป้าสายตาของและการเฝ้ามองของสาธารณชน ถึงความประพฤติของตน ต้องยอมรับข้อจำกัดในความประพฤติของตน บุคคลธรรมดาอาจมองเป็นภาระ ผู้พิพากษาต้องยอมรับข้อจำกัดนี้โดยสมัครใจ ดังนั้น สาระสำคัญในการดำเนินความยุติธรรมของผู้พิพากษา ตุลาการ อยู่ที่การดำรงตน ทั้งในการปฏิบัติหน้าที่ และในด้านส่วนตัว ยึดมั่นในหลักธรรม จริยธรรม เพื่อสร้างความเชื่อถือศรัทธาแก่ประชาชนให้ยอมรับในการอำนวยความยุติธรรม เป็นสิ่งที่สังคมคาดหวัง.... (ต่อตอนจบ)