สัมภาษณ์ ::: ภาณุ อิงคะวัต “ปลุกพลังบวกเปลี่ยนประเทศให้น่าอยู่เริ่มได้จากตัวเรา”
“ผมเชื่อว่า สังคมวันนี้ยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่พร้อมจะหยิบไม้วิ่งไล่ตีกันได้ในเดือน ก.ย.นี้ ผมเชื่อว่า พร้อม ถ้ามีใครคนหนึ่งกระดิกนิ้วให้ เพราะฉะนั้นก่อนที่เขาจะหยิบ เราต้องทำให้เขาหยุด ได้คิดอย่างมีสติ”
วินาทีนี้น้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก สปอตโฆษณาชุด "ขอโทษประเทศไทย" และน้อยคนนักที่จะไม่รู้จักชื่อ "เครือข่ายพลังบวก" ผู้สร้างโฆษณาชุดที่ว่านี้ จะมีคนไทยสักกี่คนที่เข้าใจเจตนารมณ์ของกลุ่มพลังบวก รู้จักตัวตนของหัวขบวน
วันนี้ศูนย์ข้อมูลข่าวสารปฏิรูปประเทศไทยจะพาไปทำความรู้จัก "ภาณุ อิงคะวัต" นักสร้างสรรค์งานโฆษณาชื่อดัง อดีตผู้บริหารบริษัทเอเจนซี่โฆษณาระดับโลก ลีโอเบอเน็ต (Leo Burnett) (ประจำประเทศไทย) นักการตลาดรุ่นเก๋า เจ้าของธุรกิจแฟชั่นเครื่องแต่งกายแบรนด์เกรย์ฮาวด์ (GreyHound) กับบทบาทใหม่ในฐานะ "ประธานกลุ่มเครือข่ายพลังบวก" หรือที่เรียกกันเล่นๆ ในหมู่เพื่อนฝูงว่า "กลุ่มปลวกพลังบุก"
@ ที่ไปที่มากับบทบาทประธานเครือข่ายพลังบวก ได้ใครชักชวน
จริงๆ เริ่มมาจากกลุ่มเพื่อนๆ โฆษณา ครีเอทีฟ สร้างสรรค์ มารวมตัวกันโดยบังเอิญ เพราะเราก็คนไทยคนหนึ่ง พอย้อนกลับไปช่วงเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา ช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่คนไทยทุกคนเครียดกับสถานการณ์ คนไทยและพวกเราหลายคนก็คุยทางเมล์บ้าง ฟอร์เวิร์ดเมล์กันไปต่างๆ นานา ซึ่งในฐานะคนไทยตอนนั้นเราทำอะไรได้บ้างที่จะช่วยปรับเปลี่ยนสถานการณ์ให้ดีขึ้น หรือว่าช่วยทำให้สังคมมันดีขึ้น ไม่เครียด หรือแย่ไปมากกว่านี้
พวกเราก็เลยมานั่งคุยกัน 3-4 คน ชวนกันมาคุยทั้งเพื่อน ทั้งลูกน้องเก่าผมจากลีโอเบอเน็ต (บริษัทเอเจนซี่โฆษณาอันดับหนึ่งของโลก) ทั้งคุณจูดี้ จุรีพร ไทยดำรงค์ จากบริษัท เจ้ ยูไนเต็ด (บริษัทเอเจนซี่โฆษณาอันดับต้นๆ ของเมืองไทย) และคนอื่นๆ ก็ชวนกันมาคุยกันมาจะทำอะไรช่วยกันได้บ้าง ซึ่งคุณจูดี้ก็เคยทำงานกับสสส. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) ก็เลยทำโครงการสสส.ก็ช่วยสนับสนุนทุนบ้าง แต่ไม่ได้มายุ่งเกี่ยวอะไร เพราะพวกเราทำกันในมุมมองของประชาชนชาวไทยจริงๆ และ พวกเราก็บอกสสส.ตั้งแต่ต้นว่าเราขอทำงานแบบไม่เกี่ยวข้องกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เราก็เห็นว่าสสส.ก็เป็นองค์กรกลางที่จะต้องดูแลความสุขของคนในประเทศด้วย
@ เหตุผลที่ตอบตกลงสวมหมวกใบนี้
ในฐานะที่เราก็เป็นผู้ทำงานสร้างสรรค์ด้านสื่อมาก่อน ก็คิดว่าเออตรงนี้เป็นอะไรที่เราทำได้ ก็เลยเริ่มชวนคนอื่นๆ เข้ามา ทั้งโซเชียลเน็ตเวิร์ก ชวนสมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย สมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทยเข้ามา ตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะทำกันเล่นๆ แต่พอชวนกันเข้ามาก็คิดกันว่าต้องจัดตั้งเป็นเครือข่าย หรือเป็นกลุ่มอะไรขึ้นมาสักอย่าง ทุกคนก็หันมาหาผม คงเป็นด้วยว่าอายุที่สูงสุด (หัวเราะ)
@ ระหว่าง “พลังบวก” กับ “จิตสำนึกใหม่” ในความหมายของ “ภาณุ อิงคะวัต” ต่างกันอย่างไร
(คิด) ผมว่า “จิตสำนึกใหม่” ก็เป็นส่วนหนึ่งของ “พลังบวก” อยู่แล้ว เพราะพลังบวกนั้นเป็นไปได้หลายๆ อย่าง ได้ในหลายรูปแบบ จิตสำนึก คือ ทำให้เราตระหนัก แต่ว่าพลังบวกนั้นรวมไปถึงการกระทำหรือแอคชั่นที่จะสานต่อไปให้มันเป็นจริงได้ด้วย
มี 4-5 อย่างที่เราสามารถทำผ่านพลังบวกได้ ไม่ว่าการ ฟัง พูด คิด และการกระทำ ซึ่ง 4 อย่างนี้ถ้าเราทำได้ก็จะทำให้ทุกอย่างในสังคมเปลี่ยนแปลงไป
@ แสดงว่า “จิตสำนึกใหม่” ก็สร้างง่ายกว่า “พลังบวก” เพราะแค่ทำให้ตระหนัก ?
ไม่ง่ายนะครับ (ตอบสวนทันที) ไม่มีอะไรง่ายในสถานการณ์แบบนี้ เพราะว่ามันเป็นเรื่องของการ “หยุด” ก่อน หยุดที่เราจะปิดกั้นตัวเราเอง หยุดที่เราจะสร้างกำแพงในแต่ละกลุ่มๆ ที่เป็นอยู่ในสถานการณ์ปัจจุบันนี้
ยิ่งแต่ละวันเรายิ่งมีกำแพงที่ยิ่งหนาขึ้นๆ แล้วเราก็อยู่ในโลกของเรามากขึ้น อยู่ในกลุ่มของเรามากขึ้น จนกระทั่งบางทีเราไม่สามารถข้ามไปดูความคิดของคนอื่น หรือกระทั่งหยุดฟังสิ่งที่คนอื่นเขาคิด เขาทำ ว่าเขามีความตั้งใจอะไรอยู่จริงๆ ซึ่งมันก็ทำให้เราได้ยินแต่สิ่งที่เราพูดกันเองในกลุ่มของเราเท่านั้น
@ โจทย์ปลุก “พลังบวก” นี้ยากใช่หรือไม่ ?
โจทย์พลังบวกนี้ยากครับ (เน้นเสียง) ยากมาก เพราะมันต้องมากกว่าตระหนักรู้ในปัญหาแต่ต้องไปถึงการกระทำ
@ พลังบวกเกิดขึ้นเพราะความห่วงใยในบ้านเมืองร่วมกัน
พลังบวกเกิดขึ้นเพราะจากความห่วงใยในสถานการณ์บ้านเมืองที่เราห่วงใยร่วมกัน ห่วงในอนาคตของสังคม ซึ่งพูดกันตามจริง พวกเราก็เป็นคนไทยคนหนึ่งที่ทำมาหากิน ที่ไม่เคยคิด ไม่เคยตระหนักในบทบาทของคนไทยคนหนึ่งในสังคมเท่าใด ก็อยู่กันไปอย่างมีความสุขในประเทศไทยไป จนกระทั่งสถานการณ์เป็นมาอย่างนี้ เราก็กลับมาดูว่าเราจะช่วยอะไรกันได้บ้าง ก็คิดว่าเราในฐานะที่มาจากทางด้านสื่อ ซึ่งสิ่งหนึ่งที่เราถนัดที่สุด คือ สร้างแรงบันดาลใจโดยผ่านการสื่อสารออกไป ชี้ให้คนเห็น ชี้ให้ผู้คนตระหนักถึงปัญหาที่มันเกิดขึ้นจริงๆ แล้วขั้นต่อไปก็จะชี้ให้เห็นว่าบทบาทของเราทุกคนในการที่จะเข้ามาแก้ปัญหาหรือช่วยกันปรับเปลี่ยนสังคมจะทำอย่างไรได้บ้าง
ฉะนั้นหน้าที่หลักของเราที่สามารถทำได้ง่ายที่สุดเลยตอนนี้ คือ สื่อสาร สร้างแคมเปญสื่อสารที่ไปช่วยสร้างแรงบันดาลใจ หรือชี้ให้คนเห็นถึงโอกาสและปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้มากที่สุด เรา (เน้นเสียง) ไม่ได้เป็นนักวิชาการ เราไม่ได้เป็นผู้รู้ทางด้านการเมือง อะไรมากมายนัก เพราะฉะนั้นจริงๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่มากสำหรับพวกเรา แต่ (เน้นเสียงขึ้นอีก) พยายามทำตัวเหมือนเราเป็นประชาชนคนหนึ่ง แล้วเราก็ถูกกระทบเหมือนกัน แล้วเราก็เหมือนกับอยู่ในสังคมที่มันพังทลายแบบตอนนี้อยู่ เพราะฉะนั้นเราก็เอาตัวเองเป็นเหมือนกับอยู่ในกลุ่มเป้าหมายเลย ว่าเราสามารถจะทำอะไรให้กับคนอย่างเราได้บ้าง
@ ตอนนี้เป็นจังหวะเหมาะสมแล้วหรือที่จะปลุกคนไทยร่วมเปลี่ยนแปลง คนในสังคมได้สติจากภาวะช็อคแล้วหรือ ?
(ร้องอ๋อ) คิดว่าไม่ใช่มันได้จังหวะหรืออย่างไร จริงๆ มันเลยเวลาที่เหมาะสมมานานแล้ว เราคิดว่ามันต้องทำอย่างจริงจัง
ตลอดเวลามันมีฟอร์เวิร์ดเมล์เข้ามาตลอด ซึ่งทั้งหมดนั้นก็พยายามทำหน้าที่เตือนกันเอง เตือนกันไปมา เพียงแต่ว่าหลายครั้งที่มันเป็นการซ้ำเติมทับถม มันก็เลยทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่ลง เข้าใจกันไม่ถูกต้องจริงๆ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราทำ ก็คือ ใช่ มันอาจจะเข้าเขย่า กระตุ้น บอกว่า อย่าให้สถานการณ์พาเราไป ใช้สติในการที่จะวิเคราะห์ วิจารณ์ พิจารณา สิ่งที่มันเกิดขึ้นจริงๆ ก่อน
@ ชัดเจนหรือไม่ว่า “เครือข่ายกลุ่มพลังบวก” ไม่เกี่ยวการเมือง
ใช่ครับ ไม่เกี่ยวการเมือง
@ อะไรคือแผนงานที่เครือข่ายพลังบวกวางไว้ ?
เมื่อสิ่งหลักที่พวกเราชำนาญที่สุด คือ การสื่อสาร ดังนั้นขั้นแรกที่จะทำ คือ สร้างแรงบันดาลใจ ในทุกคนตระหนักถึงปัญหา สถานการณ์ อย่างมีสติ ซึ่งเป็นสิ่งต้นที่เราทำไปแล้วในโฆษณาชิ้นแรก (สปอตโฆษณาขอโทษประเทศไทย) โดยให้ทุกคนได้รับทราบว่า การที่เราจะแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ที่ตรงราชประสงค์ ที่ตรงการชุมนุมระหว่างคนเสื้อเหลือง คนเสื้อแดง หรือเสื้อหลากสี หรือกลุ่มรัฐบาลเองก็ตามนั่น อาจจะเป็นปลายเหตุของปัญหา ฉะนั้นเราอยากให้ไปดูที่ต้นเหตุของปัญหาสังคมจริงๆ ว่ามาจากหลายมุมของปัญหามากๆ เป็นหน้าที่หลักของเราที่กระตุกให้คิด ตระหนักถึงปัญหาก่อน แล้วเราก็พูดให้ฟังว่า จริงๆ แล้วเราทุกคนก็มีพลังบวกซ่อนอยู่ในตัวเราทุกคน ถ้าเราจะพลิกจากความเครียด ความแค้น ความโกรธ ที่มันเป็นลบนี้ เปลี่ยนให้เป็นพลังบวกเสียแทน มันอาจจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น นี่คือหนังเรื่องแรกที่ออกมา
ส่วนหนังโฆษณาเรื่องที่ 2 จะต้องสร้างแรงบันดาลใจต่อ งานเวทีอิกไนท์ก็ต้องทำให้เราเปลี่ยนโหมดจากลบให้เป็นบวก ตั้งแต่การพูด การคิด การฟัง การทำ เราเริ่มต้นได้ด้วยที่ตัวเราเอง ถ้าเรายังไม่อยากไปเปลี่ยนใคร เราก็เปลี่ยนที่ตัวเราเองก่อน คือ เราหยุดตัวเราเองใช้สติในการฟัง การคิด การพูด การทำ ถ้าทุกคนเป็นอย่างนี้มันก็จะทำให้สถานการณ์ทุกอย่างดีขึ้น เริ่มง่ายๆ ที่ตรงนี้
จากนั้นสิ่งต่อไปที่เราจะทำตามมา คือ How to ? จะต้องบอกว่าถ้าเราจะทำ จะทำได้อย่างไร ซึ่งนี่คือสิ่งที่ทุกคนถามหลังจากดูหนังเรื่องแรกจบ
นี่คือ แคมเปญที่เรากำลังคิดและพัฒนากันอยู่ จะพูดถึงสิ่งต่างๆ ที่เราสามารถร่วมกันทำได้ ซึ่งมันมีวิธีเยอะมาก แต่เราอาจจะไม่รู้ว่าเราคนตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะทำอะไรได้บ้างกับสถานการณ์นี้ ทั้งที่จริงๆ ถ้าเราหันไปดูพลังเรา ถ้าเราเป็นหนึ่ง แล้วบวกกับ 2 บวกกับ 5 บวกกับล้าน มันก็กลายเป็นพลังที่รวมตัวกันได้ ถ้าทุกคนจะหันมาคิดบวก
ตรงนี้ก็เป็นขั้นที่ 2 ที่เครือข่ายพลังบวกจะสร้างไปสู่ตรงนั้น ให้คนเข้าใจว่า 1 เสียงเล็กๆ นี่แหละสำคัญ และเป็นเสียงที่ทำอะไรได้มาก
หนึ่ง) เปลี่ยนที่ตัวเราเอง สอง) เริ่มในสังคมใกล้ๆ ตัว ในครอบครัวคุณเปลี่ยนได้ไหม ในฐานะสมาชิกครอบครัวคุณทำอะไรได้บ้าง ในฐานะคนร่วมซอย คนร่วมองค์กร คนร่วมชุมชน ซึ่งมันสามารถขยายตัวไปถึงระดับจังหวัด และระดับประเทศ ถ้าเราร่วมกัน เพราะฉะนั้นเหล่านี้คือสิ่งที่เราพยายามจะทำให้มันเกิดขึ้น ผ่านเฟซบุคก็ดี ผ่านสื่อเคเบิ้ลชุมชนก็ดี
ขั้นที่ 3 เครือข่ายพลังบวกจะจับมือกับเครือข่ายอื่นๆ ที่เราคิดว่าสอดคล้องมีจุดมุ่งประสงค์เดียวกันกับเรา เช่น ถ้ามีโพล์ประชาชนที่เขามีกันอยู่ก็จะไปจับมือกับเขา ถ้ามันเป็นผลบวกให้กับสังคม เราจะไปช่วยสื่อสารให้คนรู้ว่าหน้าที่ของโพล์มีเพื่ออะไร ทำอะไรและส่งผลต่อประเทศอย่างไรได้บ้าง เข้ามามีส่วนร่วมได้อย่างไรบ้าง จะเข้าไปช่วยกระจายข่าวโพล์ ช่วยสื่อสารแคมเปญปูทางให้กับการทำโพล์ให้ประชาชนเข้าใจ
ตอนนี้กลุ่มโพล์ก็กำลังเริ่มทำกันแล้ว 80% เป็นกลุ่มสำนักโพล์ในกรุงเทพ ขณะนี้จับมือคุยกันแล้วก็หวังว่าโพล์นี้จะเป็นเสียงสะท้อนจากประชาชนที่สำคัญ เมื่อพัฒนาไปถึงจุดหนึ่งก็เป็นสมบัติของประชาชนอย่างจริงจังได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เครือข่ายพลังบวกเห็นด้วยอย่างมากจึงเข้ามาร่วมสนับสนุน หรือกลุ่มธนาคารต้นไม้ เป็นต้น
นี่ คือ 3 ขั้นตอนงานหลักของเครือข่ายพลังบวก คือ สร้างแรงบันดาลใจ แสดงให้ทุกคนเห็นว่าเราสามารถทำอะไรได้บ้าง และจับมือกับเครือข่ายอื่นๆ สอดประสานสัมพันธ์กันไปกับเครือข่ายที่สอดคล้องมีความคิดแบบเดียวกับเรา
@ วางกรอบระยะเวลาทั้ง 3 ขั้นตอนงานไว้อย่างไรบ้าง
จริงๆ เราก็ทำกันอยู่ตลอด ขั้นแรกก็คงต้องใช้เวลาเยอะมากในการเข้าไปซึมซับคนในสังคมที่ตอนนี้มีเกราะหนามาก ผมคงไม่คิดว่า ภายในเดือนหนึ่งจะเสร็จ หรือภายในเดือนไหน เพราะมันคงไม่เร็วขนาดนั้น ไม่อย่างนั้นคนในสังคมคงมีความสุขมาก ต่อให้ทลายเกราะของคนในสังคมลงได้ก็ต้องทำการสร้างแรงบันดาลใจต่อไปด้วยแน่นอน
ถ้าเราย้อนไปดูปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น มันต้องใช้เวลาแก้ในระยะยาว ไม่ใช่แก้ในวันสองวัน หรือจะพลิกกันได้เลยทันที ในความคิดของผม ผมว่าปัญหาเป็นเรื่องของการศึกษา ระเบียบวินัย เป็นเรื่องของความเข้าใจถูกผิด เรื่องของความเชื่อ มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ทุกอย่างจึงต้องใช้เวลา ซึ่งมันเกิดมานานมาก และทุกคนก็รับซึมซับมันมาแบบยาวนาน ถ้าเราจะเปลี่ยน ก็เหมือนกับเปลี่ยนความเชื่อ เปลี่ยนวิถีชีวิต ต้องใช้เวลา
ส่วนขั้นที่ 2 เวทีอิกไนท์ครั้งที่ 2 นี้จะเกิดขึ้นที่กรุงเทพอีกครั้ง ก็กำลังจะเกิดขึ้นสิ้นเดือนส.ค. ที่สวนลุมพินี ก็จะมีการกำหนดประเด็นในการพูดสร้างแรงบันดาลใจบ้าง และกำลังจะเชิญผู้นำทางความคิดในสังคมมาร่วมขึ้นเวทีพูดด้วย เช่น คุณสุทธิชัย หยุ่น คุณนิธิ เอียวศรีวงศ์ เป็นต้น
ส่วนเวทีต่อไปก็จะเป็นจ.เชียงใหม่ และอ.หาดใหญ่ จ.สงขลา กำลังคุยกันอยู่ ซึ่งพวกเราเชื่อว่า เวทีอิกไนท์จะต้องเกิดโดยคนในพื้นที่ร่วมกันจัดขึ้นเอง เพราะคนในพื้นที่ย่อมเข้าใจพื้นที่ ความคิด ปัญหาในพื้นที่ดีที่สุด ต้องเกิดจากชุมชน สังคมของเขาเอง ที่จะต้องเลือกคนมาพูดเพื่อสร้างแรงบันดาลใจของเขาเอง ไม่ใช่ให้คนกรุงเทพฯ ไปยัดใส่คนพื้นที่ และให้สามารถสานต่อเป็นชุมชนพลังบวกของเขาต่อไปได้อีก สำหรับ เรื่องของโพล์ประชาชนนั้นคาดว่าอีก 2 เดือน (ต.ค.นี้ )จะได้เห็น เพราะเขาเริ่มทำกันแล้ว ทราบว่าจะสำรวจทั้งประเทศ เจาะลึกลงไปทุกระดับ ทุกชุมชน
@ “ปลุกพลังบวก” ไม่ใช่แค่จุดพลุเปิดตัวแล้วจบ ต้องทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้วย
ก็ต้องทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้ง การฟัง การคิด การพูด การทำ อย่างมีสติ ถ้าทำได้แบบนี้ก็สวรรค์แล้ว (ยิ้ม).... ในครอบครัว ในบริษัท ในชุมชน เท่านี้....ก็สวรรค์แล้ว
จริงๆ ตอนนี้ก็เห็นหลายคนทำเรื่องแบบนี้อยู่ เช่น พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี ก็ทำอยู่ ซึ่งเป็นเหมือนกับสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นในสังคมไทย (Happening) ใน ขณะที่เหมือนกับเราผ่านปัญหาสังคมที่มันสุดๆ แล้ว ทุกคนก็รู้สึกว่าแย่แล้ว สังคมไม่ไหวแล้วที่จะให้สังคมไทยเป็นแบบนี้ต่อไป หลายๆ กลุ่มก็เริ่มหันมาทำตรงนี้ ซึ่งดีมากๆ
เครือข่ายพลังบวกก็เป็นเพียงแค่กลุ่มหนึ่งที่เข้ามาร่วมทำตรงนี้ด้วย ก็แค่อยากเข้ามาช่วยให้มากที่สุดเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่า เราจะเป็นผู้มีความสามารถ ที่จะเข้ามาเปลี่ยนสังคม ว่ามาเป็นพระเอกของสังคมเพื่อเปลี่ยน มันไม่ใช่อะไรแบบนั้น เราเป็นแค่หนึ่งในกลไกของสังคม และเราเองก็ทำเท่าที่เราจะทำได้ ทำเท่าที่เราถนัดทำ
@ งานนี้เล่นกับความเชื่อและศรัทธา อารมณ์ร่วมของคนในสังคม ท่ามกลางเกราะและกำแพงที่หนามาก แล้ววิธีการที่จะนำ “เครือข่ายพลังบวก” เข้าไปอยู่ในใจคน
(นิ่ง.... คิดก่อนตอบ) ก็อย่างที่ผมบอก หนึ่ง) เราพยายามจะสร้างแรงบันดาลใจ เพราะฉะนั้นการสื่อสารก็ต้องยกตัวอย่างเยอะๆ ก็อาจจะช่วย อย่างน้อยก็ช่วยคนในเมือง หรือคนที่มีอิทธิพลทางสังคม (Influencer) รู้สึก ทุกอย่างมันต้องมีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนก่อน คือ เป็นไปไม่ได้ที่เราจะทำหนังโฆษณาหนึ่งเรื่องที่พูดกับคนทั้งโลก (ย้ำด้วยน้ำเสียงดัง) แล้วทุกคนจะชอบเรื่องนี้หมด มันเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นจากประสบการณ์ที่ทำงานการตลาดมาด้วยก็ต้องทำกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจนก่อน
ถ้าสิ่งแรกที่เราจะพูดด้วยได้ จะเปลี่ยนได้ ก็คือ คนที่มีการศึกษาหน่อย เป็นคนที่มีอิทธิพลต่อสังคมหน่อย หรือในชุมชน เช่น ปราชญ์ชาวบ้าน ผู้นำชุมชน ถ้าเราสามารถสื่อสารผ่านคนเหล่านี้เข้าไป เขาก็จะไปช่วยสร้าง ขยายกระแสเหล่านี้ให้ลงไปในอีกระดับหนึ่งได้
ถามว่า สิ่งที่เราทำหรือหนังเรื่องแรกนั้นอาจจะเหมือนพูดกันเอง แต่ว่าสำหรับผม ก็เราถนัดแบบนี้ เราก็ทำแบบนี้ คือ ถ้าเราต้องฟังทุกเสียงโดยที่ไม่กล้าทำอะไรเลย มันก็จะไม่เกิดอะไรขึ้นเลย เราจึงทำในสิ่งที่เราถนัดดีกว่าที่เราไม่ทำ ฉะนั้นกลุ่มเป้าหมาย จึงเข้าไปที่กลุ่มคนที่มีความรู้ เป็นผู้ที่สามารถที่จะขยายผลให้พลังบวกได้ ซึ่งเราก็จะทำแบบนี้สร้างแรงบันดาลใจผ่านลงไป
สอง) เราพยายามจะให้ข้อมูลแก่ทุกคนว่า เราทุกคนสามารถจะทำอะไรได้บ้าง ตอนนี้เราก็มีเครือข่ายกลุ่มแพทย์ด้านสุขภาพจิตมาร่วมช่วยสร้างการฟังอย่าง มีสติ ว่าจะฟังอย่างไรได้บ้าง มีวิธีการอย่างไร เราก็พยายามนำมาจัดทำคู่มือ โปสเตอร์ หนังโฆษณาแล้วก็แจกกระจายออกไป นี่ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่พยายามจะเข้าไปนั่งในใจคน
@ หลังจากเปิดตัว “เครือข่ายพลังบวก” ไปแบบพลุแตก ขณะนี้เครือข่ายมีสมาชิกกลุ่มพลังบวกเท่าใดแล้ว
ตอนนี้หลักๆ ที่มาแบบเป็นเรื่องเป็นราวเลย ก็มีสมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย สมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย กลุ่มเคเบิ้ลทีวี ทรูคอรปอเรชั่น กลุ่มแพทย์สุขภาพจิต กลุ่มโพล์ที่เราคุยกัน ทั้งหมดนี้เรามาร่วมใจร่วมมือกันสร้างเครือข่าย ไม่ใช่ถึงขั้นเซ็นสัญญาข้อตกลงร่วมใดๆ เป็นในลักษณะช่วยเหลือเกื้อกูลกัน มีอะไรก็ช่วยกัน นอกจากนี้ก็มีกลุ่มที่สนใจร่วมกันทางเฟซบุค
@ ขณะนี้มีคนหลายกลุ่มคนที่จัดเวที ตั้งวง โหมโรงหาทางออกประเทศ ปรองดอง ปฏิรูปประเทศ แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นเพียง “กำลัง” แต่ยังไม่เกิด “พลัง” แล้วอะไรคือพลังจริงๆ ของเครือข่ายพลังบวกในการปลุกพลังบวกคนไทย
(คิด) สำหรับผมของแบบนี้มันมักจะเริ่มจากกลุ่มคนเล็กๆ ย่อยๆ หลายๆ กลุ่มทำกันไป มันเหมือนมดงาน มีคนเคยพูดกันเล่นๆ ในกลุ่มเราว่า ปลุกพลังบวกจริงๆ แล้ว คือ ปลวกพลังบุก (ยิ้ม) พลังปลวกนี้พลังมหาศาลนะครับ พลังมดนั้นพลังมหาศาล แม้จะตัวเล็กๆ นิดเดียว
เพราะฉะนั้นสำหรับผมมองว่า เมื่อสังคมเคยถูกครอบงำโดยอิทธิพล โดยผู้มีอิทธิพลที่อาจจะพาสังคมไปในทางที่ผิดๆ มานาน มันจำเป็นที่ต้องการพลังประชาชนที่เป็นพื้นฐานของสังคมจริงๆ ซึ่งคนเหล่านี้เป็นพลังหนึ่งเท่านั้น (เน้นเสียง) เป็นพลังเดี่ยว เป็นพลังเอกเทศ แล้วในสถานการณ์แบบนี้มันต้องการและจำเป็นที่จะต้องมีพลังเอกเทศนี้ โดยค่อยๆ สร้างจากแต่ละมุมของสังคม แล้วมันจะค่อยๆ กินกลับเข้ามาเป็นพลังปลวก เป็นพลังมดที่จะค่อยๆ กินกลับเข้ามา ให้สังคมมันฟื้นขึ้นมา มันเป็นวิธีเดียว ที่ผ่านมาทุกยุคทุกสมัย หากย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์เราก็จะพบแบบนี้
@ แสดงว่ากลยุทธ์หลักที่จะสร้างพลัง คือ การรวมเครือข่ายกลับคืนมา ?
ใช่ครับ ต้องเป็นพันธมิตรกับหลายเครือข่ายที่เห็นร่วมกับเรา เหมือนกับที่บอกตอนแรก คงไม่ถึงขั้นนักกิจกรรม (Activism) ในการเปลี่ยน เพราะเราไม่ใช่ เรายังคงเป็นคนหนึ่งที่ทำมาหากินอยู่ เราก็จะทำเท่าที่เราจะทำได้ เดี๋ยวมันก็จะขยายเห็นเป็นเครือข่ายที่ชัดเจนขึ้น
@ ขณะที่คนในสังคมยังฟังความข้างเดียวอยู่ จะเปิดใจพวกเขาอย่างไร ให้ฟังคนอื่นบ้าง
(โชว์ ข้อความในสื่อโฆษณาชิ้นต่อไปหลังจากชุดขอโทษประเทศไทย) สามารถทำได้แบบนี้เลยครับ ... นี่คือสิ่งที่เราทุกคนสามารถทำได้หมด จะเป็นการปลุกกระแสใหม่ขึ้นมา
ผมเชื่อว่าสังคมวันนี้ยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่พร้อมจะหยิบไม้วิ่งไล่ตีกันได้ใน เดือนก.ย.นี้ได้อีก ผมเชื่อว่าพร้อมถ้ามีใครคนหนึ่งกระดิกนิ้วให้ เพราะฉะนั้นก่อนที่เขาจะหยิบ เราต้องทำให้เขาหยุด ให้ได้คิดอย่างมีสติ ว่า เขากระดิกนิ้วมานั้น เขาให้เราไปทำอะไร แล้วทำไปจะส่งผลอย่างไรต่อสังคม นั่นคือสิ่งที่เราอยากให้เขามีสติคิดสักนิดหนึ่งก่อน ซึ่งมันเริ่มได้ที่ตัวเราเองต้องหลายอย่าง
ถ้าเราเริ่มที่ตัวเราเองจริงๆ หันกลับมาถามตัวเองว่า เราทำอะไรได้บ้าง เราปรับเปลี่ยนอะไรได้บ้าง นี่คือสิ่งที่เราพยายามสื่อสารออกไป ซึ่งเครือข่ายพลังบวกก็จะทำเท่าที่เราทำได้ เครือข่ายพลังบวกไม่ได้ขึ้นมาเพื่อเป็นอีกกลุ่มหนึ่งในประเทศไทยอีกแล้วว่า ต้องเชื่อแบบนี้นะ ไม่เช่นนั้นผิด อย่างนี้ไม่ใช่หน้าที่เรา เราจะสร้างพลัง กระจาย (เน้น) พลังบวกออกไปเท่าที่เราจะทำได้ จะเข้าไปนั่งอยู่ในใจคนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เท่าที่เราจะทำได้ (ย้ำ)
@ ตัวอย่างการใช้พลังบวกในชีวิต “ภาณุ อิงคะวัต”
การเปิดใจฟังและรับรู้ทำความเข้าใจในสิ่งดีๆ จากคนอื่น เช่น การมีโอกาสได้ฟังเวทีอิกไนท์ครั้งแรกที่สวนลุมพินีนั้นทำให้ผมรู้สึกประทับ ใจมาก เพราะมีคนอีกหลายคนที่ได้ทำสิ่งดีๆ อยู่ในสังคมไทยโดยไม่ต้องการจะเป็นข่าว มีคนพยายามจะสอนว่ายน้ำให้เด็กที่เป็นใบ้ เพราะเขาช่วยตัวเองและร้องให้ใครช่วยไม่ได้ มีเด็กนักเรียนที่มีจิตอาสาช่วยสังคม ซึ่งทำให้เห็นว่า ตัวเราสามารถทำอะไรดีๆ ได้หลายอย่าง
หรือเมื่อครั้งที่ผมไปเมืองโอซากา ประเทศญี่ปุ่นก็เห็นพนักงานออฟฟิศใส่เนคไทกวาดถนน เก็บขยะหน้าออฟฟิศตอนแปดโมงเช้า ตอนแรกผมก็นึกว่าทำไมพนักงานกวาดถนนแต่งตัวดีขนาดนั้น ปรากฏว่าเป็นกิจกรรมประจำสัปดาห์ที่เขาทำกันของออฟฟิศนั้นซึ่งเป็นออฟฟิศของ พวกเขาเอง คือ เห็นแล้วอึ้งว่าเราช่างให้เวลากับส่วนรวมนี้น้อยมากในแต่ละวันที่เราใช้ชีวิตอยู่
@ ในฐานะคนธรรมดาตัวเล็กๆ คนหนึ่งในสังคม เราจะเริ่มปลุกพลังบวกร่วมเปลี่ยนเปลงประเทศไทยอย่างไรได้บ้าง
ผมจะเริ่มในซอยบ้านผม พยายามจะทำ ชักชวนคนร่วมซอยมาทำให้ซอยเราเป็นซอยที่น่าอยู่ที่สุดในกรุงเทพ ส่วนตัวผมเองจะเริ่มจากในบ้านเริ่มปลูกต้นไม้ ตัดกิ่งไม้ ผมจะเริ่มกวาดซอยของผมให้เป็นประจำ แล้วก็จะเริ่มในออฟฟิศเกรย์ฮาวน์ ในฐานะที่เป็นผู้นำ
ผมจะเริ่มเอาพลังบวกเข้ามาที่นี่ผมตั้งใจแล้ว จะเริ่มมีกิจกรรมบวก จะซื้อโต๊ะปิงปองเข้ามาเริ่มเล่นกับลูกน้องผม จากที่เราไม่ค่อยได้เจอกันบ่อยๆในแต่ละแผนก จะเริ่มมีที่ให้คนในออฟฟิศเรามารวมกันมากขึ้น นี่ก็เป็นสิ่งง่ายๆ ที่เราเริ่มทำได้.
"ภาณุ อิงคะวัต" มองสังคมไทยในปัจจุบัน
Q : ปัญหาสังคมทุกวันนี้คืออะไร และมีสาเหตุจากอะไร
A : ปัญหาสังคมทุกวันนี้มันหมกหมม ซ่อนอยู่ใต้เสื่อ ใต้พรมมานาน ไม่ใช่เฉพาะตัวเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น มันอยู่ทั้งในความเชื่องมงาย นำไปสู่การคอรัปชั่น จากสิ่งเล็กๆ การติดสินบน เช่น การที่เราเดินเข้าไปไหว้พระแล้วขอให้ท่านช่วยให้เราสอบได้ที่หนึ่งแล้วเราจะ เอาไข่ต้ม 500 ใบมาไหว้ อันนี้มันเป็นความเชื่องมงายในสังคมไทย (เน้น) นำไปสู่การนำเงินไปยัดให้ตำรวจได้เพื่อให้ฉันได้สิ่งนี้มา ซึ่งมันนำไปสู่สิ่งเหล่านี้จริงๆ
ฉะนั้น เมื่อความงมงายเชื่อเหล่านี้มันฝังรากลึกลงในสังคม ถึงได้นำไปสู่การทะลุหรือวิถีทางที่ไม่ถูกต้อง นำไปสู่ประเด็นปัญหาสังคมที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ส่วนอีกมุมหนึ่งสื่อของสังคมก็งมงายน้ำเน่า ไม่สร้างสรรค์พอเทียบกับสื่อของประเทศที่เจริญแล้วต่างๆ พลังบวกนั้นมันมากกว่าความคิดสร้างสรรค์ มากกว่าจิตสำนึก แต่มันเป็นการกระทำด้วย
Q : มองการ “ปรองดอง” “สมานฉันท์” “ปฏิรูป” ในการช่วยสังคมไทยขณะนี้อย่างไรบ้าง
A : (คิด) ผมว่าแต่ละคน แต่ละกลุ่ม ก็คิดหน้าที่ของเขากันไป อย่างรัฐบาลอยากจะปรองดองผมก็เข้าใจ เพราะเป็นหน้าที่ที่เขาจะต้องทำ ผมว่าถ้าเราคิดในทางบวก แต่ละคนทำหน้าที่ของตัวเองไปให้ดีที่สุดแล้วนั้น เดี๋ยวมันก็จะออกไปสู่ทางออกได้ แต่อาจจะออกมาในรูปแบบใดเราก็ไม่รู้ แต่มันจะผลักดันไปสู่ทางออกกันได้
ส่วนการปฏิรูปนั้น สำหรับผมเห็นด้วย (ตอบทันที) ว่าสังคมตอนนี้ต้องมีการปฏิรูป สังคมจำเป็นต้องมีการพลิกฟื้น จำเป็นต้องคืนอะไรหลายๆ อย่างที่เคยเป็นสิ่งดีๆ ร่วมกันในสังคมให้กลับมา เพราะมันได้ถูกลืม ถูกบิดเบือน ถูกเพิกเฉยกันไปเยอะมาก ดังนั้นต้องพลิกฟื้นให้กลับมาทั้งความเชื่อ ระเบียบวินัย กฎเกณฑ์ของสังคมที่ดีๆ ทั้งหลายที่เราเคยมีร่วมกัน หรือในด้านมนุษยชน จริยธรรม จรรยาบรรณ เป็นสิ่งที่จะต้องกลับมา
ณ วันนั้น (ช่วงเหตุการณ์ความไม่สงบที่ผ่านมา) ความเชื่อของเราแตกสลาย เราเคยมีจุดร่วมเดียวกันในการชีวิตอยู่ในสังคมไทย แต่มันถูกทำลายไปโดยสิ้นเชิง สิ่งที่เคยบอกว่า มันถูกต้องร่วมกันทั้งประเทศ ร่วมกันทั้งสังคม กลายเป็นคนนี้บอกว่า ถูก แต่อีกคนบอกว่า สิ่งที่คุณบอกว่า ถูก นั้น ผิด มันสามารถแตกแยกกันได้ถึงขนาดนั้น เป็นเรื่องน่าเศร้ามาก
Q : แล้ว “ประเทศไทยที่น่าอยู่” ในแบบฉบับของ “ภาณุ อิงคะวัต" ต้องเป็นแบบใด
A : (ยิ้ม และคิด) ประเทศที่น่าอยู่ คือ หนึ่ง) มีความเป็นไทย มีความเป็นเอกลักษณ์ไทยของเราอย่างชัดเจน มี คนไทยซึ่งมีเอกลักษณ์ไทยมาตลอด มีความเมตตา กรุณา มีน้ำใจ มีความโอบอ้อมอารี ซึ่งนี่คือสัญลักษณ์ของคนไทยมาตลอด ยิ้มง่าย เป็นมิตร เป็นสิ่งหนึ่งที่มันควรจะกลับมาแน่ๆ จากที่วันนี้สิ่งเหล่านี้มันหายไปเยอะมากในสังคมไทยของเรา กลายเป็นคนไทยที่เคียดแค้น เอาชนะกันอย่างเดียว กลายเป็นคนไทยที่ไม่มีมิตรกะจิตมิตรกะใจกันอีกแล้ว นี่คือ สิ่งที่หายไป ฉะนั้นเหล่านี้ขอเป็นสิ่งแรกเลยให้กลับมา
สอง) เปลี่ยน สังคมให้มีความเป็นระเบียบวินัย มีการอยู่ร่วมกัน เคารพสิทธิซึ่งกันและกัน ก็เป็นอีกสิ่งที่อยากจะเปลี่ยนสังคม ให้แต่ละคนรู้จักหน้าที่ของตนเองอย่างมากๆ คือ ถ้าฝั่งที่ดูแล รักษา ควบคุมกฎหมายก็ต้องรักษากฎหมายอย่างเต็มที่ ทำหน้าที่ของเขาอย่างถูกต้อง เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่ามีกฎหมายแต่ใครจะทำอะไรก็ได้ ไม่ทำอะไรก็ได้ เพราะฉะนั้นมันก็ไม่เกิดระเบียบวินัย หรือการติดตามผลอย่างต่อเนื่องในสิ่งที่พวกเราจัดตั้งขึ้น ก็ไม่มีประโยชน์ คนก็เห็นว่าไม่จำเป็นที่จะต้องทำก็ไม่ทำ สิ่งที่ตั้งมาเป็นกฎระเบียบก็หายไป คือ การที่เราไม่ได้เคารพสิทธิ กฎเกณฑ์ของสังคมอย่างถูกต้อง เป็นอีกส่วนหนึ่งที่อยากให้สังคมกลับมาดีขึ้น แล้วมันก็จะไม่เกิดการก่อสร้างสิ่งก่อสร้างที่ผิดๆ หรือจะไม่มีการล้ำเขตซึ่งกันและกันในการอยู่ร่วมกันของชุมชน
ถ้า เราทำหน้าที่ของเราให้ถูกต้อง สังคม บ้านเมือง ก็จะดีขึ้น มีต้นไม้ ดอกไม้ที่สวยงาม มีการทาสีบ้านเรือนกันทุกปีสวยงาม เหมือนกับที่บ้านเมืองอื่นที่เขาเจริญกันแล้วเขามีกัน สังคมก็จะสะอาด สว่าง สดใส จะมีการให้ปิ่นโตเพื่อนข้างบ้านกันเหมือนกับที่เราเคยมีให้กันสมัยคุณตา คุณยาย ซึ่งวันนี้มันหายไปแล้ว
Q : จากประสบการณ์ส่วนตัวที่เคยใช้ชีวิตบวชเรียนมา มอง “หลักธรรม” กับ “พลังบวก” นั้นสัมพันธ์กันอย่างไร
A : ก็เป็นส่วนสำคัญมากๆ ที่พระพุทธเจ้าพยายามสอน และพระก็พยายามถ่ายทอดสิ่งเหล่านี้มาสู่คนในสังคม เป็นสัจธรรมของโลก ถ้าเราพยายามไปหยิบคำสอนเหล่านั้นมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ก็บวกสุดๆ แล้วครับ ทุกเรื่องธรรมนั้นเป็นพลังบวกหมดครับ
Q : สำหรับคำว่า “ปลุกพลังบวกเปลี่ยนประเทศไทยให้น่าอยู่เริ่มที่ตัวเรา” นั้น เวลานี้ต้องเริ่มจากจุดใดก่อน
A : ผมเชื่อในส่วนตัวว่า ถ้าเราทำในสิ่งที่เราไม่เชื่อ หรือไม่ Believe in มัน ก็จะออกมาได้ไม่ดีเพราะฉะนั้นไม่ว่าอะไรก็ตามที่เราจะทำ อย่างน้อยเราต้องมีความเชื่อในสิ่งนั้นพอสมควร หรือศึกษาต่อ เจาะลึกลงไป เพื่อที่จะให้ได้มาในสิ่งที่เราเชื่อจริงๆ ต่อให้เราโฆษณาสินค้าชิ้นหนึ่งแล้ว เราต้องเชื่อด้วยว่าสิ่งที่เราพูดออกไปนั้น เป็นความจริง และเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเราจึงหยิบนำมาพูด ไม่ใช่ว่าเป็นสิ่งที่ลูกค้าสั่งให้เราพูด ก็ต้องเชื่อในสิ่งที่ทำและทำในสิ่งที่เชื่อ
แน่นอนว่า ปลุกพลังบวกเราก็ต้องเชื่อในสิ่งนี้ ถ้าคุณไม่เชื่อว่าสิ่งที่คุณทำ จะเป็นบวกก็อย่าทำ เพราะทำไปจะยิ่งไขว้เขว หรือสับสนไปกันใหญ่
แต่ว่าถ้าคุณเชื่อจริงๆ ว่าสิ่งที่ทำเป็นสิ่งที่บวก ก็นำธรรมะมาผสมดูนิดหนึ่งว่า ใช่ แน่ไหม ตรวจทาน กับ เพื่อนข้างๆ ตัวหน่อยว่า สิ่งที่ทำนั้นบวกไหม ถ้าบวกก็ทำเถอะครับ ต้องมีสตินิดหนึ่งครับ (เน้นย้ำ) ว่าสิ่งที่เราทำนั้นเป็นพลังบวกต่อสังคมหรือไม่ ต้องฟัง ใช้สติ คิด วิเคราะห์ให้ดีก่อนที่เราจะทำอะไรต่อไป จึงต้องมีสติ “ฟังด้วยบวก คิดด้วยบวก ทำด้วยบวก และพูดด้วยบวก” เหล่านี้คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าล้วนสอนมาแล้วทั้งสิ้น .