สัมภาษณ์::::รศ.ดร.วิลาสินี อดุลยานนท์ ว่าด้วยเรื่อง สื่อสร้างสรรค์ ใช้วิธีบำบัด เอาน้ำดีมาไล่น้ำเสีย ค่อยแทรกซึมทีละนิด
“สื่อมีหน้าที่สร้างสังคม เปรียบเสมือนกระจกที่มีหน้าที่สะท้อนความจริง และยังเปรียบได้กับตะเกียงที่มีหน้าที่ส่องทางให้คนเดิน”
ท่ามกลางวิกฤตการเมืองร้ายแรง สังคมไทยกำลังเดินเข้ามาใกล้ล้ปากเหวแห่งสงครามกลางเมืองรอมร่อ ปฏิเสธไม่ได้ว่า ส่วนหนึ่งของสถานการณ์มี "สื่อ" เข้าไปเกี่ยวข้อง มีทั้งสื่อนำเสนอแบบเลือกข้าง บ้างก็ทำหน้าที่เหมือนท่อประปาที่คอยส่งน้ำทั้งดีและเสีย โดยปราศจากเครื่องกรอง น้ำที่ส่งไปจึงมีเชื้อโรคอยู่เต็มไปหมด ขณะเดียวกันประชาชนก็บริโภคสื่อแบบผูกขาด เสพเฉพาะสื่อที่ตนเองสังกัด โดยไม่เปิดรับเสียงรอบข้าง
วันนี้หลายฝ่ายจึงอยากเห็น การสื่อสารที่ทำให้เกิด “ปัญญา” ขึ้นในสังคมไทย
รศ.ดร.วิลาสินี อดุลยานนท์ ผู้อำนวยการสำนักรณรงค์และสื่อสารสาธารณะเพื่อสังคม สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันและขับเคลื่อนให้เกิด “สื่อดี สื่อสร้างสรรค์ เพื่อสังคม” เปิดโอกาสให้ ทีมข่าวศูนย์ข้อมูลข่าวสารปฎิรูปประเทศไทย สัมภาษณ์พิเศษ เพื่อให้เห็นมุมมอง สื่อสร้างสรรค์ จะนำไปสู่สังคมที่ใช้ปัญญา ได้อย่างไร
@ ขอคำนิยาม คำว่า “สื่อดี สื่อสร้างสรรค์”
รศ.ดร.วิลาสินี: สื่อสร้างสรรค์ คือ สื่อที่ต้องมอง 2 ด้าน ด้านแรก ต้องไม่ส่งผลกระทบในเชิงลบต่อการใช้ชีวิตของประชาชนทุกระดับ ตั้งแต่เด็ก เยาวชน และระดับผู้ใหญ่ สถาบันครอบครัว ต้องไม่ทำให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อของสื่อด้วยความไม่รู้เท่าทัน และไม่ถูกชักจูงให้มีการดำเนินชีวิตที่เป็นอันตราย การเกิดความรู้สึกเกลียดชังแตกแยก จากการได้รับรู้ข้อมูลที่ผิดพลาดหรือบิดเบือนจากความจริง
ด้านที่สอง ต้องส่งเสริมการใช้ชีวิตให้เป็นไปตามวิถีแบบสุขภาวะ แบบ Healthy (สุขภาวะที่ดี) ในทุกเรื่อง ตั้งแต่การรวบรวมข้อมูลที่ถูกต้อง ที่เหมาะสมกับการตัดสินใจที่เป็นทุนต่อการใช้ชีวิต ไปจนถึงการเป็นสื่อที่ส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับช่วงวัยต่างๆ ตั้งแต่วัยเด็กเล็ก วัยรุ่น และวัยโต ที่จะใช้ส่งเสริมให้มีจิตสำนึกสาธารณะ จิตสำนึกที่เป็นพลเมืองของสังคม จิตสำนึกประชาธิปไตย
จากความหมาย ทั้ง 2 ด้านของสื่อที่ดี จะเห็นว่า สื่อบ้านเรา หากเทียบกับสื่อต่างประเทศยังจะขาดส่วนที่สร้างจิตสำนึก ส่วนใหญ่สื่อทำให้เราตกอยู่ในโลกมายา ของการเป็นส่วนตัว ความบันเทิง และไม่เคยได้ถูกหล่อหลอมให้สร้างจิตสำนึกเพื่อสาธารณะ และการมีส่วนร่วมกับสังคม
@ ช่วยอธิบายความหมาย คำว่า หน้าที่ ของ สื่อสร้างสรรค์
รศ.ดร.วิลาสินี: สื่อต้องทำหน้าที่ จรรโลงและหาทางออก ให้ความรู้แก่สังคมให้มาก กระตุ้นให้เกิดจินตนาการ ส่งเสริมให้คนมีพัฒนาการทุกๆด้าน สร้างการมีส่วนร่วม ให้คนมีความรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งในการอยู่กับระบบสังคมที่เป็นเรื่องใหญ่ มากกว่าการอยู่กับตัวเอง ‘ให้มองเห็นว่าตัวเขาเป็นพลัง ไม่ใช่สื่อเป็นพลัง’ ให้เข้าใจว่ากำลังทำอะไรและการกระทำนั้นจะส่งผลกระทบต่อโลก ต่อสังคมตลอดเวลา ให้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งในการจรรโลงสังคม
ส่วนเรื่องสำคัญอีกอย่าง คือ สื่อสร้างสรรค์ จะต้องนำไปสู่สังคมที่ใช้ปัญญา มากกว่าสังคมที่ใช้ความเห็นและอารมณ์ให้มาก ต้องทำให้สื่อแสดงออกว่า ทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของโลกนี้ ของสังคม
@ กลไกการขับเคลื่อนพัฒนาสื่อในอนาคต เพื่อให้เกิดสื่อสร้างสรรค์ มีอะไรบ้าง
รศ.ดร.วิลาสินี:สื่อในอนาคต จะมีกองทุนสื่อสร้างสรรค์เกิดขึ้น ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ 1.ความเป็นสื่อสาธารณะ 2.โอกาส การเข้าถึง การมีส่วนร่วมต้องเป็นธรรม เพื่อเกิดระบบสื่อที่พึงปรารถนา 3.โครงสร้างสื่อ โดยระบบที่มองเห็น สิ่งแรกที่ต้องทำ คือ ต้องมีองค์กรที่ต้องเกิดขึ้นมารองรับ ในการทำหน้าที่กำกับดูแลโครงสร้าง เพราะเรื่องของโครงสร้างที่ยังไม่เกิด ทำให้กฎหมายเกิดขึ้นไม่ได้ และจะนำไปสู่การดูแลโครงสร้างชัดเจนอย่างเป็นระบบ
กฎหมายเดิม ควบคุมดูแลไม่ได้นัก ซึ่งหลังจากมีกฎหมายออกมารับรองอย่างจริงจังแล้ว ก็จะทำให้ กสทช. พัฒนาทางด้านคุณภาพ ฝ่ายสมาคมวิชาชีพ ดูแลเรื่องจรรยาบรรณ เป็นต้น ทุกส่วนต้องควบคู่กัน และพัฒนาไปจนถึงองค์กรอิสระ กลุ่มผู้บริโภคสื่อ โดยยึดหัวใจหลักร่วมกัน คือ ความรู้สึก ของการเกิดกองทุนสื่อสร้างสรรค์ร่วมกัน
ขณะเดียวกันภาคประชาชนจะมีบทบาทสำคัญ แม้กลไกตามกฎหมายยังไม่เกิด แต่ผู้บริโภคเข้มแข็งมาก มีโครงการอื่นเพิ่มเติมขึ้นมา เช่น โครงการเฝ้าระวังสื่อ (มีเดียมอนิเตอร์) หรือครอบครัวเฝ้าระวังสื่อ ที่เข้มแข็งในการกำกับดูแลเนื้อหา และสุดท้ายเรื่อง กลไกการเมือง ก็จะมาวิเคราะห์ให้เห็นว่ามีช่องทางสร้างกองทุนที่เป็นการทำเพื่อสาธารณะ
@ เป้าหมายใหญ่ของการขับเคลื่อนกองทุนสื่อสร้างสรรค์ คืออะไร
รศ.ดร.วิลาสินี: มีแนวภารกิจหลัก 5 ด้าน คือ สนับสนุน พัฒนา การผลิตสื่อสร้างสรรค์, สนับสนุน พัฒนาศักยภาพผู้ผลิตสื่อ,ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน ชุมชน , ส่งเสริมการวิจัย ฝึกอบรม, ส่งเสริมการขยายช่องทางสื่อ โดยมีงบประมาณของกองทุนนี้ 550 ล้านบาทต่อปี รายได้จากองค์กรที่สนับสนุนและรายได้อื่นๆ ซึ่งได้รับแรงหนุนจากภาคีทั้งหน่วยงานของรัฐ เช่น กระทรวงวัฒนธรรม และ กระทรวงศึกษาธิการ เป็นต้น ซึ่งอย่างน้อยกองทุนสื่อสร้างสรรค์ ได้ผ่านมติ ครม. ถือเป็นการนับหนึ่งที่จะมาร่วมกันขับเคลื่อนแล้ว
@ ขณะนี้มีการกระตุ้นให้เกิดสื่อสร้างสรรค์ในประเทศไทยอย่างไรบ้าง
รศ.ดร.วิลาสินี: มีการสนับสนุนให้มีผู้ผลิตสื่อที่ดี พัฒนาบุคลากรผู้ผลิตสื่อ เพื่อให้มีแนวคิดในการผลิตสื่อที่ดี เพราะเราเชื่อว่า หากผู้ผลิตมีคุณภาพ ก็จะทำให้เกิดเนื้อหาที่ดีมากขึ้น ผู้บริโภคสื่อก็จะได้บริโภคสื่อดี หลังจากนั้นแล้ว ก็ทำให้เกิดเป็นเครือข่ายผู้บริโภคสื่อ เกิดเป็นมุมมองที่ว่า ผู้บริโภคจะไม่โง่ และเรียนรู้ว่าจะบริโภคสื่อแบบใด เพื่อเป็นประโยชน์ และจากนี้ต่อไป ก็จะได้ผู้ผลิตสื่อที่ผลิตสื่อที่ดีและสร้างสรรค์ออกมาเพื่อผู้ชมตามต้องการมากมาย
@ แนวคิด “ใช้น้ำดีไล่น้ำเสีย” เกิดสื่อที่ดีในสังคม ได้อย่างไร
รศ.ดร.วิลาสินี: ให้สื่อน้ำดี ค่อยๆถูกนำเสนอ และพัฒนาสื่อต้นแบบที่ดีๆ ให้คนได้เริ่มรู้จัก ขั้นแรก อาจจะสร้างความแปลกแยก ไม่เข้าใจเนื้อหาและไม่มีคนดูมาก เช่น ช่องทีวีไทย ที่เป็นสื่อสาธารณะอย่างเต็มตัว ที่ไม่ค่อยมีคนดู เพราะเข้าใจว่าไม่น่าดู ทั้งๆที่เป็นสื่อที่มีคุณภาพ ขณะที่ช่องอื่นเป็นละคร แต่มีคนติดตามชมมากมาย
แต่ถ้าไม่รีบทำ ไม่รีบเปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย สื่อดีก็จะไม่เริ่ม เชื่อว่า ต่อจากนี้ไป รสนิยมของการบริโภคสื่อ ก็จะกำลังปรับทีละนิด อาจไม่ได้มีการปรับอย่างรวดเร็ว แต่จะมีการปรับตัวเอง ส่วนนี้คือ น้ำดีที่จะคอยปรับน้ำเสียไปเรื่อยๆ พื้นที่น้ำเสีย ก็จะหายไป เป็นเพียงส่วนหนึ่ง
มีตัวอย่าง สื่อต่างประเทศ ที่เป็นสื่อเน้นดูแลสังคม อย่าง ช่องบีบีซี ให้หลักคิดข้อหนึ่ง ว่า ต้องทำให้ประชาชนมีประสบการณ์การของการบริโภคสื่อที่มีความเป็น Good test (สื่อที่มีรสนิยมที่ดี) เสียก่อน เพราะถ้าหากไปเรียกร้องว่า อยากให้เกิดสื่อดีเกิดขึ้น แต่คนในสังคมก็ยังไม่รู้ว่า สื่อดี หมายถึงอะไร สื่อที่ผลิตขึ้นมานั้น ก็ไม่มีประโยชน์ ผู้ชมหรือผู้บริโภคยังบริโภคสื่อที่เคยบริโภคแต่เดิม เช่น ดูละครน้ำเน่า ชื่นชมกับละครตบจูบเช่นเดิม เพราะมีเนื้อหาสนุกสนาน แต่ถ้าค่อยๆให้ผู้ชมค่อยได้รับทราบถึง ความเป็นสื่อที่ดี รสนิยมที่ดี เมื่อได้รับทราบว่าเป็นแบบใด ก็จะทำให้ผู้ชมเริ่มที่จะเลือกที่จะบริโภคสื่อดีได้เอง
@ สื่อน้ำดี หรือสื่อสร้างสรรค์ ที่เราได้เห็นแล้ว มีอะไรบ้าง
รศ.ดร.วิลาสินี: สื่อน้ำดีที่เห็นชัดๆ ก็ ช่องทีวีไทย ที่เป็นสื่อสาธารณะ แต่นั่นก็เป็นเพียงบางส่วน ที่ได้เห็นเป็นรูปธรรมแล้ว ที่เน้นการเกิดข่าวสารเพื่อมวลชนอย่างแท้จริง หรือ รายการทีวีสำหรับเด็ก สื่อเด็ก แม้กระทั่ง คลื่น FM 105 ที่เป็นคลื่นสีขาวสำหรับเด็กทั้งคลื่น ขณะนี้ก็มีกระแสตอบรับที่ค่อนข้างดีมาก ถือเป็นปรากฎการณ์ที่สำคัญ ในการจะผลักดันให้เกิดสื่อสร้างสรรค์อื่นๆ เพิ่มเติม
ในส่วนของหนังสือพิมพ์ ก็ต้องออกมาตระหนัก และกระตือรือร้นพัฒนาสื่อของตนเอง ในส่วนนี้ สถาบันที่ควบคุมดูแล อย่างสมาคมวิชาชีพ ก็ต้องออกมาช่วยกระตุ้นอีกแรงหนึ่ง เพื่อให้เกิดความร่วมมือ โดยเฉพาะภาคนโยบาย หรือในส่วนของสื่อท้องถิ่นก็ต้องออกมาช่วยกัน
@งานขับเคลื่อนการเปิดพื้นที่เพื่อสื่อดี มีความก้าวหน้าระดับใด
รศ.ดร.วิลาสินี: เดินมาได้ ครึ่งทาง ตอนนี้ได้เกิดเป็นระบบขึ้นมา เกิดทีวีสาธารณะ เกิดการขับเคลื่อนของมติ ครม.ที่จะเข้ามารองรับเรื่องนี้ เกิดเป็นเครือข่ายที่ใหญ่ ทำเรื่องนี้กันทั่วประเทศ เกิดการกระตุ้นสติคนในสังคม และเกิดกระแสผู้บริโภคสื่อที่แอคทีฟ
ถ้าลองย้อนกลับไป 10 ปีก่อนหน้านี้ ยังไม่ค่อยจะมีคนตื่นตัว พื้นที่สื่อสร้างสรรค์สักเท่าไร แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปเยอะมาก ซึ่งยังไม่จบ งานนี้ต้องพัฒนาไปเรื่อยๆ เพราะเชื่อว่า การทำสื่อดี ต้องทำเชิงระบบ ควบคู่กันไป
@ ควรที่จะมีองค์กรคล้ายๆกับสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข( สวรส.) ในภาคการปฏิรูปสื่อ ได้หรือไม่
รศ.ดร.วิลาสินี: ความตั้งใจเดิม คือ การตั้งแยกออกมา แต่มาถึงตอนนี้ ไม่ใช่ยังไม่มีการแยกส่วน โดยให้ทำควบคู่ไป ในแนวการทำงานของสถาบันอิศรา เพื่อการทำงานเดินไปได้อย่างพร้อมๆกัน ให้เนื้องานต้องเดิน ให้เห็น มีความสำเร็จแล้ว และเข้าไปประกบดูแลอย่างมีส่วนร่วมร่วมกัน
สำหรับความหวังที่เป็นไปได้ในการเกิดการขับเคลื่อนสื่อที่ดีในประเทศไทย ทางสมาคมวิชาชีพ ที่เกี่ยวข้องกับสื่อสารมวลชน จะต้องเข้ามามีบทบาทช่วยอย่างเต็มที่ ในการเปลี่ยนตัวเองให้มากขึ้น ทำอย่างไรที่จะมี healthy media (สื่อเพื่อสุขภาวะ) เพราะ media (สื่อมวลชน) การผลิตที่ต้องเน้นในเรื่องที่ดี ทุกสื่อ ต้องทำตัวให้ดีด้วย เพราะถ้าหากคิดว่าเป็นเพียงช่องทางที่จะเอาสื่อลงไปเพื่อใช้เป็นช่องทางการสื่อสาร นำเสนอและจบไป คงไม่พอ แต่ตัวเนื้อหาของสื่อต้อง ดี และสร้างสุขภาวะ ต้องไปหนุนทุกระบบ รวมทั้งกฎหมายสื่อด้วย
การปฏิรูปสื่อต้องเริ่มเน้นไปทางด้านสื่อเด็กก่อน เนื่องจากสื่อไทยไม่มีเรื่องของสื่อเด็กเลย และสื่อสำหรับเด็กเป็นเรื่องต่ำสุดกว่าสื่ออื่นๆ เทียบไม่ได้กับสื่อของผู้ใหญ่ หรือร้อนแรงอย่างสื่อการเมือง ทั้งนี้เชื่อว่า เมื่อเราปรับเนื้อหาของสื่อเด็กเกิดประโยชน์ แล้วก็จะเป็นประโยชน์ กับทุกส่วน
ภารกิจให้เกิดสื่อที่ดี จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนให้เกิดกระบวนการทำงานร่วมของทุกฝ่าย ซึ่งจะมาปลดล็อกอุปสรรคของสื่อที่ดี รวมไปถึงการดึงคนที่มีส่วนร่วมมาทำงานร่วมกัน ทั้งภาคองค์กร สื่อ ผู้บริโภค ภาคชุมชน ดึงทุกฝ่ายมาร่วมเป็นเจ้าของ เป็นเจ้าภาพร่วมกัน จะช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลง โดยต่อไปนี้ให้เป็นเรื่องของการทำหน้าที่ร่วมกัน ให้มีองค์กรหนึ่งเป็นเจ้าภาพใหญ่ ที่สามารถขับเคลื่อนกันไปได้ แล้วก็จะเกิดเป็นภาพสื่อ เพื่อสุขภาวะคนไทยทั้งประเทศ สร้างสังคมสุขภาวะ ไปกระทบการสร้างสังคมในภาพใหญ่ ที่ช่วยหนุนทั้งระบบ
@ ท้ายที่สุดระบบการสื่อสารที่สร้างสรรค์จะช่วยพัฒนาเป็นประเทศน่าอยู่ที่สุดในโลกได้อย่างไร
รศ.ดร.วิลาสินี: สื่อมีหน้าที่สร้างสังคม เปรียบเสมือนกระจกที่มีหน้าที่สะท้อนความจริง และยังเปรียบได้กับตะเกียงที่มีหน้าที่ส่องทางให้คนเดิน แต่สื่อก็ต้องหลีกสังคมได้ด้วย เพื่อการสร้างและกำหนดทิศทางของสังคมว่าจะเดินไปตรงไหน ขณะเดียวกัน สังคมก็ต้องไม่อยู่นิ่งเฉย จะต้องใช้สื่อ สนองทิศทางในสังคมขณะนั้นด้วย เกิดเป็นการกระตุ้นสติแก่คนในสังคม
การสร้างจิตสำนึกในการใช้สื่อ จะสร้างกระแสปลูกจิตสำนึกในการเปลี่ยนประเทศ เปลี่ยนสังคมไปในทางที่ดีขึ้น เริ่มจากการสร้างรายการทีวีหลากหลายรูปแบบ อาจจะไม่จำเป็นต้องสร้างกระแสผ่านสื่ออย่างเดียว แต่สนับสนุนให้เห็นตัวแบบที่ดีของสื่อก่อน และให้ผู้ผลิตที่ดี ทำไปด้วยกัน อาจจะเริ่มจากแผนของ สสส. มาให้เห็นว่า เรื่องสื่อดี ทำได้ อาจจะเริ่มจาก องค์กรที่ดี เพื่อเป็นต้นแบบที่ดี บุคคลต้นแบบที่กำลังทำอยู่ มาชี้ให้เห็น โดยมีเรื่องของกองทุนสื่อสร้างสรรค์ เป็นตัวที่ใหญ่ที่สุด
การเกิดขึ้นของการสื่อสารที่ดี ที่สร้างสรรค์ ทำให้ผู้บริโภคสื่อมีทางเลือก และเมื่อมีสื่อที่ดี คนไทยก็จะไม่ถูกหลอก ไม่เชื่อข้อมูลด้านใดด้านหนึ่ง ไม่ต้องอยู่ในข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อ เหมือนในปัจจุบัน เชื่อว่า เมื่อใดที่เราได้สื่อที่มีคุณภาพ ก็นำไปสู่สังคมมีคุณภาพ เป็นสังคมแห่งปัญญามากกว่าสังคมแห่งความคิดเห็นและอารมณ์เช่นในปัจจุบัน
เราทุกคนเสพติดสื่อในทุกรูปแบบมากในแต่ละวัน ถ้าไม่ทำตรงนี้ เรายิ่งจะเป็นสังคมที่แย่ลงไปทุกที ให้เชื่อในการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการสร้างสื่อที่ดี แต่อาจไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่ตรงไปตรงมา เหมือนกับการที่ฉีดยาลงไปแล้วจะเห็นผลทันที แล้วหายโรค แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงการสร้างสภาพแวดล้อมใหม่ให้กับสังคม