เปิด EIA ท่าเรือน้ำลึกปากบารา ทำไมคนสตูลต้องต้าน
โครงการนี้ จะสร้างเขื่อนกันคลื่น เป็นเขื่อนกลางทะเล ระยะจากหัวเกาะเขาใหญ่ออกไป โดยใช้หินถมลงในทะเล ยาวถึง 1.7 กิโลเมตร โดยไม่ได้วิเคราะห์ว่าจะเกิดการเปลี่ยนทางกระแสน้ำระยะสั้น ว่าจะทำให้เกิดการพังทลาย ที่บ้านตะโล๊ะไส, บ้านท่ามาลัย, อ่าวนุ่น บ้านปากบาง, บ้านหัวหิน, บ้านหลอมปืน, บ้านบากันโต๊ะทิด เป็นปริมาณเท่าไหร่
เครือ ข่ายเครือข่ายประชาชนติดตามแผนพัฒนาจังหวัดสตูลเปิดเผยข้อเท็จจริง 10 อย่างที่อาจเกิดขึ้นหากเกิดการก่อสร้างท่าเทียบเรือน้ำลึก(ท่าเรือ อุตสาหกรรม)ปากบารา จ.สตูล โดยสรุปและวิเคราะห์ จากรายละเอียดเอกสารโครงการของกรมเจ้าท่าและรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA)
1. จะมีการถมทะเลหน้าหาดปากบารา เพื่อสร้างเกาะกลางทะเล ขนาดกว้าง 430 เมตร ยาว 1.1 กิโลเมตร หน้าท่ายาว 750 เมตร และยังจะถมทะเลเพิ่มอีกสองระยะโครงการ รวมแล้วเกือบ 1,000 ไร่ หรือ เท่ากับ สนามฟุตบอล 250 สนาม (สองร้อยห้าสิบ) ต่อๆกัน
2. เนื้อที่ที่จะใช้เพื่อก่อสร้าง และใช้ตอบสนองในโครงการนี้ ทั้งหมดอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา จำนวน 4,734ไร่ 62 ตารางวา และจะถูกเพิกถอน ยกให้กรมเจ้าท่าใช้ทันที
3. โครงการนี้ จะสร้างเขื่อนกันคลื่น เป็นเขื่อนกลางทะเล ระยะจากหัวเกาะเขาใหญ่ออกไป โดยใช้หินถมลงในทะเล ยาวถึง 1.7 กิโลเมตร โดยไม่ได้วิเคราะห์ว่าจะเกิดการเปลี่ยนทางกระแสน้ำระยะสั้น ว่าจะทำให้เกิดการพังทลาย ที่บ้านตะโล๊ะไส, บ้านท่ามาลัย, อ่าวนุ่น บ้านปากบาง, บ้านหัวหิน, บ้านหลอมปืน, บ้านบากันโต๊ะทิด เป็นปริมาณเท่าไหร่ คน ใต้ นักศึกษาปริญญาเอก ด้านแผนที่ภูมิศาสตร์ มหาวิทยาลัยรัฐโคโรลาโด ประเทศสหรัฐอเมริกา ยืนยันว่าหากจะทำโครงสร้างแข็ง ยื่นไปในทะเลอันดามัน ที่จังหวัดสตูล ต้องวิเคราะห์ผลกระทบการกัดเซาะพังทลายชายฝั่ง ไม่แค่เฉพาะจังหวัดสตูล เท่านั้น ต้องวิเคราะห์ทั้งคาบสมุทร (Malay peninsular) ด้วย เพราะจะกระทบทั้งหมด
4. โครงการนี้ จะขุดร่องน้ำทางเดินเรือและแอ่งกลับเรือ โดย ขุดร่องน้ำใหม่ขนาดกว้าง 180 เมตร (ลึก 14 เมตร ยาว 7 กิโลเมตร) และขุดทะเลสร้างแอ่งกลับลำเรือขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 600 เมตร เทียบเท่ากับความยาวของสนามฟุตบอล 6 (หก) สนามต่อๆกัน
5. โครงการนี้ จะใช้พื้นที่ทางทะเลสตูลเป็นส้วมขนาดใหญ่เท่ากับ ๑๕๐ สนามฟุตบอล ต่อๆกัน ใช้ในการทิ้งดินตะกอนจากการขุดร่องน้ำ เศษดินจากการก่อสร้าง โดย ในระยะที่ 1 จะมีการทิ้งเศษดินตะกอน จำนวนปริมาณดินขุดแน่น 9,010,000 ลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นดินตะกอนหลวม 11,710,000 ลูกบาศก์เมตร รวมกับเศษซาก ระหว่างการก่อสร้างอีก รวมประมาณเท่ากับการบรรทุกด้วยรถสิบล้อจำนวนเกือบ 4 แสนคัน โดยทิ้งในทะเล บริเวณทิศเหนือของหมู่เกาะตะรุเตา
เมื่อโครงการนี้ดำเนินการต่อไป จะมีการทับถมของตะกอนใหม่ ต้องมีการขุดลอกเพิ่มทุกๆปี แล้วนำไปทิ้งในทะเลส้วมสตูล โดยทิ้งดินเฉลี่ยสูง 1.0 เมตร และพื้นที่ทิ้งตะกอนจากการขุดลอกบำรุงรักษาร่องน้ำในระยะดำเนินการ กำหนดให้ทิ้งในทะเล บริเวณห่างจากพื้นที่โครงการไปทางทิศตะวันตกประมาณ 7.5 กิโลเมตร นั่นหมายถึง ต้องเสียพื้นที่หน้าดินในท้องทะเลเป็น 2 เท่าของเนื้อที่ของโครงการ หรือประมาณ 584 ไร่
6. ท้องถิ่นสตูล ต้องรับภาระจัดการของเสีย กำจัดขยะจากกิจกรรมของท่าเรือ โดยเอกสารโครงการกรมเจ้าท่า ระบุให้ องค์การปกครองท้องถิ่น (อบต.) และรวมถึง อบจ. เป็นหน่วยงานที่ต้องรับภาระในการกำจัดขยะ, ของเสีย, ที่ทิ้งขยะที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมของท่าเทียบเรือ โดยไม่ระบุว่าจะจัดการอย่างไร หรือกำจัดอย่างไร รวมทั้งขยะมีพิษที่เกิดขึ้นด้วย
7. โครงการก่อสร้างระยะที่ 1 จะใช้ ทรายถมจำนวน 10 ล้านคิวบิกเมตร หมายความว่า คนบ่อเจ็ดลูกต่อเนื่องไปถึงแหลมสน และ คนปากละงู-หัวหิน จะต้องขุดที่ดินทรายขายให้โครงการ แหล่งละครึ่งหมู่บ้าน หากเปรียบเทียบกับการขนด้วยรถบรรทุก ที่บรรทุกได้ คันละ 30 คิว จะต้องใช้รถบรรทุกขนทรายมาที่ปากบาราจำนวน 330,000 คัน (สามแสนคัน) ในทุกนาทีครึ่ง จะมีรถบรรทุกทรายวิ่ง 1 คัน เป็นแบบนี้ไปตลอดเวลา 2 ปี ต่อเนื่องกันไม่มีหยุดพัก
แหล่งทรายถม 2 แห่ง คือ พื้นที่บริเวณบ่อเจ็ดลูก อ.ละงู จ.สตูล มีชั้นทรายหนาประมาณ 7 เมตร พื้นที่ประมาณ 2.2 ตารางกิโลเมตร คิด เป็นทรายประมาณ 10 ล้านลูกบาศก์เมตร(คิวบิกเมตร) และพื้นที่บริเวณปากละงู บ้านหัวหิน อ.ละงู จ.สตูล มีชั้นทรายหนาประมาณ 3.5-5.0เมตร พื้นที่ประมาณ 5 ตารางกิโลเมตร มีทรายประมาณ 10 ลูกบาศก์เมตร(คิวบิกเมตร)
โครงการ ระบุว่าต้องขนทรายให้หมดภายใน 2 ปี (730 วัน) หากเปรียบเทียบการขนด้วยรถบรรทุกจำนวน 330,000 คัน เท่ากับต้องขนให้ได้วันละ 456 คัน ต่อวัน (โดยขนทุกวันไม่หยุดพัก) และ ถูกกำหนดว่าต้องขนเฉพาะกลางวัน ห้ามขนกลางคืน ขนเต็มที่ 12 ชั่วโมงต่อวัน ดังนั้น ต้องขนให้ได้ 456 คัน ต่อ 12 ชั่วโมง จะต้องขนให้ได้ ชั่วโมงละ 38 คัน 1 ชั่วโมง มี 60 นาที ต้องขนให้หมด 38 คันรถบรรทุก เท่ากับจะมีรถบรรทุกวิ่งขนทราย 1.5 นาที ต่อ หนึ่งคัน (หนึ่งนาทีครึ่ง) มีความหนาแน่นมาก ติดขัดอย่างรุนแรง...
8. แหล่งหิน 1.1 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยจะใช้หินภูเขาในพื้นที่ อ.ควนกาหลง และ อ.ทุ่งหว้า พื้นที่ประมาณ 1, 276 ไร่ ได้แก่ เขาจำปา-เขาเณร-เขาโต๊ะชั่ง เขาจุหนุงนุ้ย เขาพลู เขาละใบดำ เขาละมุ เขาลูกช้าง เขาลูกเล็กลูกใหญ่ เขาวังบุมาก มีปริมาณหินสำรองประมาณ 112 ล้านตัน หรือ ประมาณ 5,600,000 รถสิบล้อ (บรรทุกที่ นน. 20 ตัน:คัน) ใช้ระยะที่ 1 ประมาณ 60,000 คัน
ใช้ระยะที่ 2 ประมาณ 100,000 คัน ใช้ระยะที่ 3 ประมาณ 100,000 คัน / ที่เหลือใช้ทำทางรถไฟรางคู่/ นิคมอุตสาหกรรม / และรองรับโรงงานในนิคมอุตสาหกรรม
9. ผลประโยชน์ตอบแทนทางเศรษฐกิจ ที่จะได้รับหากมีการก่อสร้างและใช้ท่าเทียบเรือน้ำลึกปากบาราจนสิ้นสุดอายุ การใช้งาน 30 ปี จะได้กำไรจากเงินค่าธรรมเนียมหักค่าลงทุนแล้ว ได้ผลตอบแทน ประมาณ 5 พันล้านบาท
นาย ถวัลย์รัฐ อ่อนศิระ อธิบดีกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม ให้สัมภาษณ์ วันที่ 5 เมษายน 2554 ว่า งบลงทุนท่าเทียบเรือปากบารา จ.สตูล เป็นเงินจำนวน 37,479 ล้านบาท และ จะมีรายได้เข้าประเทศจากการเก็บค่าธรรมเนียม ตลอดอายุการใช้งาน 30 ปี ประมาณการแบบสูงสุด (หมายความโอกาสที่จะเจ๊ง ก็มี) รวมทุกปีแล้วเป็นจำนวนเงินประมาณ 43,107 ล้านบาท เท่ากับได้ผลตอบแทนมากกว่าเงินลงทุน 5,628 ล้านบาท นายถวัลย์รัฐ อ่อนศิระ บอกว่าคุ้มมาก ถ้า หยุดทำลายทะเลสตูล แล้วนำเงิน 37,479 ไปฝากธนาคารไว้เฉยๆ ลองมาสมมุติ ประเทศไทยนำเงินลงทุนจำนวน 37,479 ล้านบาท ไปฝากธนาคารไว้เฉยๆ ไม่ต้องถอน คิดอัตราตอบแทนเงินฝาก ร้อยละ 3 ต่อปี ถ้าเงินฝาก 100 บาท ได้เพิ่มมา 3 บาท ถ้าเงินฝาก 10,000,000,000 บาท (หนึ่งหมื่นล้านบาท) จะได้เงินตอบแทน เพิ่มมา 300 ล้านบาท เฉยๆ ถ้าเอาเงินที่ต้องลงทุนสร้างท่าเรือไปฝากธนาคาร จำนวน 37,479 ล้านบาท จะได้ ผลตอบแทนเงินฝากประมาณ 1,124 ล้านบาทต่อปี คิดอัตราตอบแทนเงินฝากคงที่ 1,124 ล้าน X 30 ปี = 33,731 ล้านบาท
คราวนี้ ลองวิธีการที่ธนาคารพาณิชย์ทั่วไปต้องคิดเพื่อจ่ายค่าตอบแทนเงินฝาก ต่อปี โดยมีวิธีการคิด คือ เงินต้น + ผลตอบแทนปีที่ 1 X อัตราผลตอบแทน ต่อปี = ผลตอบแทนของปีที่สอง (คือ)
37,479,000,000 + 900,000,000 X อัตราตอบ แทนร้อยละ 3 = 1,575 ล้านบาท คิดต่อไปเรื่อยๆ จะได้เงิน เมื่อครบ 30 ปี เท่ากับ 91,073,970,000 บาท (เก้าหมื่นหนึ่งพันเจ็ดสิบสามล้าน เก้าแสนเจ็ดหมื่นบาท) = 90,000 ล้านบาท เลือก อย่างไหนระหว่าง ได้เงินค่าธรรมเนียมท่าเทียบเรือประมาณ 5 (ห้า) พันล้านบาท กับ ฝากธนาคารไว้เฉยๆ ได้เงิน ประมาณ 6 หมื่นล้านบาท ในเอกสารโครงการ บอกว่า จะได้ ๒๖๙,๐๐๐ ล้านบาท คิดเฉพาะ ประมง ปีละ 20000 ล้าน ได้ 180,000 ล้านบาท
10. เปรียบเทียบกับกรณี ท่าโครงการท่าเทียบเรือสงขลา ๑ ก่อ สร้าง เมื่อ มิถุนายน 2528 เสร็จเมื่อ เมษายน 2531 ใช้งบประมาณ 562 ล้านบาท ใช้พื้นที่ 72ไร่ ยื่นออกไปตรงปากทะเลสาบ 510 เมตร กว้าง30เมตร มีร่องน้ำลึก9เมตร รับสินค้าสูงสุด 1,100,000ตัน/ปี รับเรือขนาด 9,000-20,000 ตัน ขุดลอกร่องน้ำ4 กิโลเมตรทุกปีๆละ 5-6 แสนลบ.เมตร สร้างเขื่อนกันคลื่น 500เมตร และในปี ปี2546 ขยายเขื่อนออกไป 450 เมตร
ก่อนปี พ.ศ.2528 ชาว ประมงพื้นบ้าน 180 ครัวเรือน ใช้เครื่องมือหลัก4 ชนิด (อวนลอย บาม เบ็ด และ แห) หากินสลับเครื่องมือ ได้ตลอดทั้งปี จับสัตว์น้ำเศรษฐกิจกว่า 30 ชนิด และเลี้ยงปลากระชังมากกว่า 200 กระชัง หลังปี ๒๕๔๖ ชุมชนไม่มีที่ทำการประมงและที่เลี้ยงปลากระชัง และถูกเวนคืน ออกจากพื้นที่
ปริมาณสารปิโตรเลี่ยมไฮโดรคาร์บอนบริเวณปากทะเลสาบสงขลา สำรวจเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ มีในปริมาณ ๔.๑๕ ไมโครกรัม/ลิตร และเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๒ มีในปริมาณ ๓.๖๔ ไมโครกรัม/ลิตร ซึ่งเกินมาตรฐาน
ภาพประกอบจาก Mariner Thai.com : ภาพจำลองท่าเทียบเรือปากบารา
ภาพ ประกอบจาก เว็บไซต์ Tour took tee.com : แหล่งทำการประมงและสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติทางทะเลที่อาจจะได้รับผลกระทบ จากการก่อสร้างท่าเทียบเรืออุตสาหกรรมปากบาราจ.สตูล