อานันท์เชื่อทำให้เกิดความยุติธรรมในสังคมวงกว้าง ความเหลื่อมล้ำจะลดลง
ประธาน คปร. เชื่อสร้างความยุติธรรมสำเร็จจะนำไปสู่การแก้ปัญหาอย่างเป็นลูกโซ่ ชี้ต้องทำลายความกระจุกตัวของอำนาจ สร้างความเข้าใจทั้งภาครัฐและชุมชน ย้ำท้ายปฏิรูปไม่ใช่แค่กินยาแก้ปวดแล้วจะหาย ต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป
วันที่ 30 พฤศจิกายน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) จัดสัมมนาวิชาการประจำปี 2553 “การลดความเหลื่อมลํ้าและสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ”(Reducing Inequality and Creating Economic Opportunity) ณ ห้องบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ บี ชั้น 22 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ เป็นวันที่สอง โดยนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี และประธานคณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) กล่าวบรรยายพิเศษหัวข้อ “แนวทางการปฏิรูปประเทศไทย” ตอนหนึ่ง ถึงโครงสร้างสังคมของไทยเป็นแบบกระจุกตัวของแหล่งเงินทุน อำนาจ อิทธิพล ฯลฯ ซึ่งทุกสิ่งถูกรวบรวมอยู่ในกรุงเทพฯ และวิสัยตามธรรมชาติของมนุษย์ นั้นยังไม่รู้จักคำว่าพอ ยิ่งแสวงหาเพิ่มขึ้นไปอีก เหล่านี้เองที่ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำมากขึ้น ก่อให้เกิดความไม่ยุติธรรมในสังคม และมีผลกระทบเป็นลูกโซ่
นายอานันท์ กล่าวว่า หากทำให้เกิดความยุติธรรมในสังคมวงกว้างได้ ความเหลื่อมล้ำจะลดลง สิทธิขั้นพื้นฐานจะเพิ่มขึ้น อันนำมาสู่การกินดีอยู่ดีของประชาชน
“การปกครองแบบประชาธิปไตย โดยประชาชน เพื่อประชาชน ต้องเพิ่มอำนาจประชาชน เราพูดกันมาหลายสิบปี แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เหมือนการสวดมนต์ที่ท่องได้ จำได้ แต่ไม่เคยปฏิบัติจริง” นายอานันท์ กล่าว และ ว่า สิ่งที่อยากเห็นมากที่สุดคืออำนาจของรัฐลดน้อยลง นั่นเองจะส่งผลให้การใช้อำนาจในทางที่ผิดของรัฐลดลง อันจะส่งผลให้เกิดความยุติธรรมมากขึ้น
ประธาน คปร. กล่าวต่อไปว่า สังคมไทยกระจายอำนาจไปไม่ถึงมือประชาชน เพราะที่ผ่านมารัฐบาลกลางกระจายอำนาจจริง แต่กระจายไปสู่หน่วยงานในจังหวัดต่างๆ ซึ่งไปไม่ถึงตัวคนคนท้องถิ่น ดังนั้นหลังจากนี้หากพูดถึงการกระจายอำนาจ ต้องทำให้แน่ใจว่า ได้กระจายอำนาจไปถึงใครบ้าง
“จีนเป็นประเทศต้นแบบของการรวบอำนาจไว้จุดเดียว แต่กระนั้นก็มีการกระจายอำนาจและรายได้อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการเปิดโอกาสให้ท้องถิ่นกำหนดทิศทางอนาคตของตัวเอง หรือการจัดเก็บภาษี ซึ่งมีนโยบายตัดกำไร 30 - 40% คืนสู่พื้นที่ที่ได้มาซึ่งภาษีนั้น แตกต่างกับประเทศไทยที่รัฐอุ้มผลกำไรไว้คนเดียว อันเป็นที่มาของความไม่ยุติธรรมในสังคมอีกประเด็นหนึ่ง” นายอานันท์ กล่าว
นายอานันท์ กล่าวว่า คปร. มีการเสนอแนวคิดให้เริ่มจากการเปลี่ยนวิธีคิดกันเสียก่อน เช่นเรื่องทรัพยากรธรรมชาติใต้ดิน หรือแม้แต่วิทยุชุมชน คนท้องถิ่นต้องมีส่วนในความเป็นเจ้าของร่วมกัน ดังนั้นเมื่อเป็นสมบัติสาธารณะ รายได้จากการเก็บค่าสัมปทาน ภาษี หรืออะไรก็ตามที่ได้จากสิ่งนั้น ประชาชนต้องได้รับส่วนแบ่งมากกว่าที่เคยเป็นมา
“การปฏิรูปไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะทุกประวัติศาสตร์ของสังคมโลก ล้วนเคยมีปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นแล้วทั้งนั้น ซึ่งมีทั้งสำเร็จและไม่สำเร็จ สิ่งหนึ่งที่ต้องปรับความคิดของสังคมคือ เมืองไทยไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด และไม่ได้เลวร้ายอยู่ประเทศเดียว ประเทศอื่นก็มีความไม่ยุติธรรมเช่นกัน” นายอานันท์ กล่าว และว่า ในหลายประเทศที่มีการปฏิรูปไปแล้ว แม้จะไม่สำเร็จก็ตาม สังคมก็เกิดกลไกหรือค่านิยมที่ทำให้เรื่องหนักกลายเป็นเบาได้
ประธาน คปร. กล่าวอีกว่า เมื่อพูดถึงการปฏิรูปและปฏิวัติ มีแนวคิดคล้ายกันแต่วิธีการต่างกันโดยสิ้นเชิง ที่ผ่านมาเมื่อเกิดการปฏิวัติ ทหารก็ออกมาใช้กำลังในการบริหารประเทศ ท้ายที่สุดก็กลับไปอยู่ในรูปแบบเดิม ดังนั้นคนไทยต้องลืมไปเสียทีเรื่องการยุติปัญหาด้วยการปฏิวัติ ไม่ใช่ทางออก เพราะการปฏิวัติเป็นการแก้ปัญหาระยะสั้นไม่ใช่การแก้ปัญหาระยะยาว
ต่อข้อสักถามของผู้สื่อข่าวที่ว่าจะ คปร. จะปฏิรูปสำเร็จหรือไม่นั้น นายอานันท์ กล่าวว่า การปฏิรูปประเทศไม่เหมือนกับการทานยาแอสไพรินแก้ปวดหัว ติดกอเอี๊ยะแก้ปวดเมื่อย ปฏิรูปไม่มีสามารถอยู่ในกรอบกำหนดของ 3 ปี 6 ปี การปฏิรูปต้องเกิดขึ้นทั้งระบบการศึกษา กฏเกณฑ์ และโครงสร้าง ฯลฯ เพื่อมุ่งไปสู่ความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ ฟังแล้วไพเพราะ แต่ทำยาก ทุกคนต้องรู้ว่ากระบวนการปฏิรูปไม่มีทางเสร็จสิ้น ต้องไม่ขึ้นอยู่กับวาระใดๆ ต้องเดินต่อไปเรื่อยๆ
นายอานันท์ กล่าวตอนท้ายว่า อยากให้ทุกคนนึกถึงภาพการสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม ทุกคนต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิรูป คงไม่ใช่ฝีมือของรัฐบาล หรือคณะปฏิรูปทั้ง 2 คณะเพียงอย่างเดียว หากแต่ทุกคนต้องเริ่มจากปฏิรูปวิธีคิดของตัวเอง ทำความเข้าใจกันใหม่ว่าความยุติธรรมอยู่ตรงไหน ทำอย่างไรให้ลดน้อยลง คนที่จะผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลงไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือคนไทยทุกคนต้องร่วมมือกัน