ว.วชิรเมธีปลุกสำนึกค่านิยมใหม่ คนไทยเกลียดคอรัปชั่น
“ว.วชิรเมธี” ให้หลักธรรมคนไทย มองทุจริตตามหลักอริยสัจ 4 เชื่อช่วยสร้างสรรค์ทางออกร่วม ด้าน นพ.พลเดช เผยต้องผนึกกำลัง รัฐ เอกชน ประชาสังคม เป็นหนึ่งเดียว สร้างภาคียุทธศาสตร์ระดับชาติ
วานนี้ (6 ต.ค.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จัดเสวนาเรื่อง “การดำเนินการป้องกันและปราบปรามการทุจริต” ในงานสัมมนาทบทวนยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต โดยมีพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ ว.วชิรเมธี ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย , นพ.พลเดช ปิ่นประทีป เลขาธิการสถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา , ศ.ดร.ภักดี โพธิศิริ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และนายดุสิต นนทะนาคร ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ร่วมอภิปราย ณ หอประชุมกองทัพเรือ ถนนอรุณอัมรินทร์ บางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร
พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ แต่ยังมีคอรัปชั่นอยู่มาก เปรียบเสมือนหม้อซุป ที่กินผักจนไม่เหลือ เหลือเพียงกระดูก ที่กินไม่ได้ แต่ทุกคนก็พยายามกิน โดยวิธีการเอามาตำ แล้วซดลงคอไปอีก ซึ่งอยากบอกว่าด้วยสถานการณ์เช่นนี้ หากประชาชนคนไทยไม่ตื่นขึ้นมา ต่อไปประเทศไทยจะเหลือศูนย์ จะเป็นทะเลทรายในสันติสุข อาจมีสันติ อาจอยู่กันได้ แต่อยู่โดยการบังคับใช้กฎหมาย ไม่มีความสุข ไม่เรียกว่าอยู่ด้วยสันติภาพ แต่จะเรียกว่าอยู่ด้วยสงคราม
“ปัญหาคอรัปชั่นนั้น เกิดจากปัจจัยมากมาย ที่เอื้อให้มีการคอรัปชั่น ซึ่งแท้จริงตัวคอรัปชั่นเองไม่น่ากลัวเท่าสภาพแวดล้อม ดังนั้น การแก้ปัญหาที่ดี อย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยนั้น ต้องมีมุมมองการมองทุจริตตามกรอบคิดแบบอริยสัจ ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค จะช่วยให้หาทางออกของเหตุการณ์ทั้งปวงได้”
พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี กล่าวถึงปัญหาของไทยว่า ยังย่ำอยู่กับที่อย่างยาวนาน ทำให้ไม่มีสันติสุข ทั้งจากโครงสร้างทางการเมืองที่อยุติธรรม การเน้นรวมอำนาจสู่ศูนย์กลาง วัฒนธรรมและประชาธิปไตยไม่หยั่งรากลึก ไม่สามารถกำหนดโดยตัวประชาชนเอง โดยที่ความเสมอภาคใช้เปรอะไปหมด คนมีความรู้แต่ขาดความรู้สึก แม้กระทั่งมีการเชื่อหมอดู เชื่อซินแส หรือปลุกเสก ชูชกขึ้นมาบูชา ทั้งๆที่ชูชก ตายเพราะกินจนพุงแตก ตัวอย่างคนโลภ ถือเป็นการยกย่องคนที่ไม่ควรยกย่อง สะท้อนให้เห็นถึงค่านิยมที่วิปริต เป็นต้น
“สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือ องค์กรอิสระ ขาดความเข้มแข็ง ไม่สามารถยึดมั่นได้ เกิดภาวะสองมาตรฐานในการใช้กฎหมาย ที่มีระบบอุปถัมภ์ที่เข้มข้นมาก จนไม่สามารถสร้างนิติธรรมนำนิติรัฐ และการที่ภาคการเมืองไม่จริงใจ ซึ่งหากภาคการเมืองเป็นแมว คนที่ต่อต้านก็เป็นเพียงหนู ที่เอากระพรวนไปผูกคอแมว และแมวก็เป็นคนให้งบหนูไปซื้อมา การปราบปรามจึงไม่ได้ผลนัก”
ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย กล่าวถึงสังคมไทยที่ปรารถนา ต้องเข้าไปให้ถึงการเมืองที่มีธรรมาภิบาล เศรษฐกิจและสังคมต้องเข้มแข็ง ทุกโครงการมุ่งที่ประโยชน์สุข ประเทศไทยใสสะอาด แต่ตอนนี้มองไปทางไหนก็กลายเป็นแดนสนธยา ซึ่งการพัฒนาที่ยั่งยืนคนทั้งชาติต้องเกลียด คอรัปชั่น ต้องทำให้ได้ อย่าเกลียดคน แต่ให้เกลียดความคอรัปชั่น แล้วสังคมไทยจะกลับมามีสันติสุข
“สังคมไทยต้องปฏิรูปค่านิยมเสียใหม่ ให้รู้สึกบวกกับแผ่นดิน เย็นชากับการคอรัปชั่น ให้รู้สึกว่าคอรัปชั่น คือ บาปมหันต์ คือ อาชญากรรมระดับชาติ ที่หากทำผิดจะเหมือนกับฆ่าพระอรหันต์ไปรูปหนึ่ง สร้างให้เด็กโตมาไม่โกง ก่อตั้งเครือข่ายต่อต้านขบวนการคอรัปชั่นระดับชาติ ซึ่งหากมองผ่านกรอบอริยสัจได้ เราก็จะมองออกว่าทุกข์อยู่ตรงไหน แล้วทางออกก็อยู่ตรงนั้น”
ด้าน ศ.ดร.ภักดี กล่าวว่า ปัญหาทุจริตคอรัปชั่น เป็นปัญหาที่เป็นอาชญากรรมข้ามชาติ ที่ถือเป็น 1 ใน 8 อาชญากรรมที่สำคัญของโลก เพราะอาจเกี่ยวโยงเรื่องการฟอกเงิน ดังนั้น การจัดการต้องดูแลควบคู่กันไปในชาติและระหว่างประเทศ
“ปัญหาที่ประเทศไทยประสบนั้น คือ คอรัปชั่น เรื้อรัง เพราะที่ผ่านมาไม่ได้มองถึงการแก้ปัญหา ที่สร้างสังคมด้วยจริยธรรม นับเป็นส่วนหนึ่งที่เป็นปัญหาที่สำคัญ อีกทั้ง การคอรัปชั่นเชิงนโยบาย ทำลายระบบตรวจสอบอำนาจรัฐ ซึ่งนโยบายที่สำคัญที่สุดที่ชัดเจน 2 แนวทางหลักที่ต้องทำ คือ ต้องพยายามใช้ธรรมาภิบาล ,การประสานความร่วมมือในทุกภาคส่วน เสริมสร้างความเข้มแข็งในชาติ”
ศ.ดร.ภักดี กล่าวต่อว่า การสร้างจิตสำนึกยังไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้การทุจริตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เพราะกลวิธีทุจริตมีการแอบแฝง ซับซ้อน สาวไม่ถึงผู้บงการ ดังนั้น ต้องร่วมกันผลักดันให้เป็นวาระแห่งชาติเสริมสร้างพลังอำนาจในทุกภาคส่วน สร้างความรู้ความเข้าใจ เน้นการพัฒนาจิตอาสา กระชับความร่วมมือ ทุกภาคส่วน สร้างแรงกดดันให้สังคม อย่าเชิดชู เร่งรัด ปราบการทุจริต ที่เป็นสากล และมีคุณภาพ
ส่วน นายดุสิต กล่าวว่า ประเทศไทยอยู่ในลำดับ 84 ของโลกที่ขาดความโปร่งใส ฉะนั้น ถึงเวลาแล้วที่ทุกฝ่ายต้องหันมาใส่ใจ และมีส่วนร่วม ซึ่งอาจจะเริ่มจากวิธีการ ชื่นชมคนดี ไม่ยกมือไหว้คนรวยแต่โกง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักการเมือง ที่ต้องเริ่มรู้จักรับผิดชอบ เสียสละ อุทิศตน สังคมไทยก็จะยกระดับขึ้น ที่สำคัญอย่างยิ่ง คือ ต้องไม่ส่งต่อค่านิยมเรื่องทุจริต แก่คนรุ่นหลัง เพราะจะเป็นแบบอย่างอันเลวร้ายต่ออนาคตของประเทศ
สุดท้าย นพ.พลเดช กล่าวถึงปัญหาคอรัปชั่น เหมือนคนป่วย ที่คนไข้ มีความสัมพันธ์หลายฝ่าย อาทิ ญาติผู้ป่วย , ตัวหมอที่รักษา ซึ่งแผนยุทธศาสตร์นั้น เปรียบเหมือนยา ที่ใช้รักษาโรคที่เรื้อรัง หากใช้มากก็จะดื้อยา ดังนั้นต้องทบทวนกันอยู่เรื่อยไป และหากมองโดยภาพรวมขณะนี้ คนไข้ก็ไม่ดีขึ้น และแย่ลง จึงคิดว่าระหว่างที่แผนยุทธศาสตร์ฯดำเนินต่อไป สิ่งที่ต้องปรับไปด้วย คือ ต้องฝึกให้คนที่ใช้สำนึก สร้างค่านิยมใหม่ไปด้วย ไม่เช่นนั้น จะจบแผนแบบไม่ได้อะไรเลย
“การที่มีเครือข่ายคนโกงทำแบบภาคี ตัวที่สำคัญที่จะเป็นทางออกได้ คือ ต้องผนึกกำลัง 3 ส่วน คือ รัฐ เอกชน ประชาสังคม ให้เป็นหนึ่งเดียว แม้กระทั่งองค์กรหลักอย่างสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ป.ป.ท. ต้องร่วมกัน สร้างภาคียุทธศาสตร์ โดยไม่ทิ้งกัน เพื่อประเทศชาติ สร้างการตื่นตัว , เน้นธุรกิจที่มีจิตสำนึก ,องค์กรอิสระที่เป็นกลุ่ม เพื่อสร้างให้สังคมไทย มีความจำนนกับคอรัปชั่น”
นพ.พลเดช กล่าวด้วยว่า หากไม่มีการจัดการปัญหาทุจริตอย่างจริงจัง อาจนำมาสู่ภาพ 3 ภาพในอนาคต 1.คนไทยยังทนได้ต่อไป ไม่รังเกียจคอรัปชั่นจริง เป็นสีทนได้ 2.อาจมีอำนาจปาฏิหาริย์ ที่ทุกองค์กรตื่นตัวกับปัญหาคอรัปชั่น และ3.สังคมอาจ เปลี่ยนจิตสำนึก ให้รังเกียจคอรัปชั่น อย่างเข้ากระดูกดำ จนเหตุการณ์ต่างๆคลี่คลายลงได้เอง เป็นสามัคคีประเทศไทยในที่สุด
ขอบคุณภาพจากเว็บไซต์ http://www.atnnonline.com/