หมอประเวศ-อานันท์ เห็นพ้อง หยิบ 3 เรื่องแรกมาปฏิรูป
"กระจายอำนาจ-ระบบภาษี และที่ดิน"คาดใช้เวลา1 ปีจากนี้สรุปแนวทาง หมอประเวศ เร่งปชช. เชื่อมโยงเครือข่าย ปลุกพลังสื่อสาร สร้างแรงขับเคลื่อนประเทศร่วมกัน ด้านตัวแทนเยาวชน ผุดแนวคิด “คนขายชาติ” กระตุ้นเด็ก เยาวชน เป็นส่วนหนึ่งการปฏิรูป
วันนี้(30 ก.ย.) เวลา 9.30 น. คณะกรรมการสื่อสารเพื่อการปฏิรูป 1 ใน 14 คณะย่อยของคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป(คสป.) ที่มีศ.นพ.ประเวศ วะสี เป็นประธาน ประชุมครั้งที่ 2/2553 เพื่อแจ้งความคืบหน้าการทำงาน ณ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ชั้น 34 อาคารเอสเอ็ม ทาวเวอร์ กรุงเทพมหานคร
รศ.ดร.วิลาสินี อดุลยานนท์ ผู้อำนวยการสำนักรณรงค์และสื่อสาธารณะเพื่อสังคม สสส. ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการสื่อสารเพื่อการปฏิรูป เปิดเผยว่า ทางคณะกรรมการชุดนี้ มุ่งใช้โจทย์หลัก คือ การสร้างสังคมที่เป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ เช่นเดียวกับ วงคสป. โดยเน้นการสร้างความร่วมมือกับสื่อแขนงต่างๆ ในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร และการผลิตเนื้อหาที่นำไปสู่การสร้างจิตสำนึกใหม่ให้สังคม และมีศูนย์ข้อมูลข่าวสารเพื่อการปฏิรูป เพื่อใช้รวบรวมข้อมูลในการเผยแพร่ในการปฏิรูปประเทศไทยทั้งหมด
“สำหรับส่วนของนักวิชาชีพ ได้เล็งเห็นถึงการพัฒนาทักษะเพื่อการใช้เป็นสื่อบุคคลในการช่วยเผยแพร่ข่าวสารการปฏิรูป แม้กระทั่งการจัดหลักสูตรสำหรับผู้ที่จะเข้ามาในวิชาชีพสื่อ เพื่อเพิ่มเติมแนวคิดความรู้ วิสัยทัศน์ อันดีในการปฏิรูป ทั้งระดับบรรณาธิการหัวหน้าข่าว เพื่อช่วยสื่อสารถ่ายทอด นอกจากนั้น สิ่งที่ทางคณะกรรมการเห็นว่าเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ คือ การพัฒนาระบบและกลไกสื่อ ที่จะก่อให้เกิดประเด็นที่ไม่เป็นธรรมต้องมีการแก้ไขโดยเร็ว ทั้งเรื่องกฎหมายและระเบียบต่างๆ เช่น การล่าช้าของกฎหมาย , กระบวนการขอใบอนุญาตชั่วคราวของวิทยุชุมชน ,กลไกการควบคุมกันเองของวิชาชีพ , การบริโภคสื่อและเฝ้าระวังสื่อ, สวัสดิภาพการคุ้มครองผู้ปฏิบัติงานด้านสื่อ , การจัดเรตติ้งด้านการตลาดที่ทำให้สื่อคุณภาพอยู่ไม่ได้ ต้องกำหนดเรตติ้งใหม่แทนการชม และสื่อที่ส่งเสริมพัฒนาชีวิตของผู้พิการ”
รศ.ดร.วิลาสินี กล่าวว่า ในระยะ 3 เดือนจากนี้ไป จะมีการจัดเวทีแลกเปลี่ยนและระดมความคิดเห็นทางด้านการสื่อสารเป็นระยะ โดยได้กำหนดเวทีสมัชชาเรื่องการสื่อสารขึ้น ครั้งแรก คือ 6 ต.ค. เรื่อง “กลไกปฏิรูปสื่อภาคพลเมือง” จัดโดย คณะกรรมการพัฒนาส่งเสริมสิทธิเสรีภาพและความรับผิดชอบสื่อมวลชน(คพส.) ซึ่งถือว่าเป็นพันธมิตรในการขับเคลื่อนสมัชชาทั้งหมด ให้พ่วงไปด้วยกัน เป็นกระบวนการ
“นอกจากนั้น ยังมีงานสมัชชาของ 4 องค์กรวิชาชีพ ของสมาคมนักข่าววิทยุโทรทัศน์ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมเคเบิลทีวี สภาการหนังสือพิมพ์ และงานสมัชชาผู้ผลิตรายการโทรทัศน์-วิทยุ และเดือน พ.ย. มีงานเวทีทางวิชาการ คือ สัมมนาเครือข่ายนักวิชาการนิเทศศาสตร์ สื่อสารมวลชน และ สมัชชาสื่อภูมิภาค สุดท้าย เดือนธันวาคม จะจัดสมัชชาสื่อระดับชาติ”
ด้าน ศ.นพ.ประเวศ วะสี ประธานคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป กล่าวว่า วิกฤตของประเทศไทย มาจากความเหลื่อมล้ำมากเกิน การมองเรื่องเฉพาะบุคคล แก้ปัญหาไม่ได้ เพราะเมื่อคนผ่านไป สาเหตุของปัญหาก็ยังคงอยู่ ซึ่งหากไม่มองสาเหตุลึกๆ คือ โครงสร้างที่ไม่เป็นธรรมทางสังคม การปกครองที่รวมอำนาจมากว่า 100 กว่าปี ที่ยิ่งรวมศูนย์ ยิ่งคอรัปชั่น หรือโครงสร้างทางกฎหมาย ที่กระทบชีวิตคน ก็จะแก้ได้ไม่ถูกทาง
“คนไทยเหมือนไก่ในเข่ง แต่ระหว่างนี้จิกตีกันอยู่ เพราะโครงสร้างแน่นหนา ที่บินออกจากเข่งไม่ได้ เพราะไม่มีความคิดเชิงโครงสร้างที่จะแก้ไข ซึ่งหากมาทำความเข้าใจ หยุดทะเลาะกัน เชื่อว่าจะเป็นพลังอย่างมหาศาล ที่จะหลุดพ้นได้ โดยวิธีการแก้ไข คือ ต้องเปิดพื้นที่ทางสังคมอย่างกว้างขวาง ต้องปฏิรูปโดยประชาชน ทุกคน ทุกองค์กร ทุกสถาบัน ทั้งสนับสนุนทางวิชาการ สื่อสาร เศรษฐกิจ สังคม โดยประชาชนต้องรวมตัว ร่วมคิดร่วมทำ และใช้ปัญญา”
ศ.นพ.ประเวศ กล่าวต่อว่า สิ่งที่ คสป.ทำขณะนี้ คือ ช่วยสนับสนุน 2 ทาง คือ 1.ส่งเสริมการสร้างเครือข่าย 2.ใช้การสื่อสาร ดังนั้น คสป.จึงมีทั้ง 14 เครือข่ายด้วยกัน เช่น เครือข่ายองค์กรส่วนท้องถิ่นเพื่อการปฏิรูป เครือข่ายองค์กรชุมชนเพื่อการปฏิรูป เครือข่ายผู้ใช้แรงงาน เครือข่ายผู้เสียโอกาส เครือข่ายสตรี เป็นต้น ซึ่งจะเป็นตัวช่วยผลักดันให้เครือข่ายต่างๆไปช่วยในการร่วมคิดร่วมทำได้มากขึ้น
“อีกสิ่งหนึ่ง คือ การสื่อสาร ที่จะเป็นหัวใจสำคัญ เพราะจะเป็นการช่วยทำให้ประชาชนคนไทยทุกคนกลายเป็นเซลล์สมอง ช่วยกันคิด กลายเป็นเครือข่าย network ในการแก้ปัญหาประเทศร่วมกัน เมื่อเซลล์สมองแต่ละตัวอยู่ในหลายเครือข่าย ประชาชนแต่ละคนเชื่อมโยงกันโดยใช้การสื่อสาร จะเป็นพลังมหาศาล เชื่อมโยงกัน รวมแล้วจะเป็นสมองของประเทศไทย ซึ่งเมื่อมีเป้าหมายร่วมกันออกจากเข่งที่เป็นโครงสร้าง เชื่อว่า จะทำอะไรก็ประสบความสำเร็จ ท้ายที่สุด เมื่อรวมกับฝ่ายวิชาการ ต่อไปไม่ว่าจะเป็นการสังเคราะห์นโยบาย ร่วมกันตัดสินใจ ก็จะสามารถทำได้โดยง่าย”
ศ.นพ.ประเวศ กล่าวถึงพลังของมนุษย์อยู่ที่สำนึกในศักดิ์ศรีและคุณค่าในตัวเอง การถูกมายาคติครอบทำให้หมดสภาพ ไม่คิดถึงศักดิ์ศรีตัวเอง ดูถูกตัวเอง หากหยุดสักนิด สำนึกในศักดิ์ศรี และคุณค่าความเป็นคน คำนึงถึงศักยภาพในการสร้างสรรค์ในความเป็นคน ทุกคนจะเกิดความสุขอย่างลึกล้ำ
“จากการหารือร่วมกับนายอานันท์ ปันยารชุน ประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ เห็นตรงกันว่า ประเด็นที่จะต้องหยิบยกมาปฏิรูปใน 3 เรื่องแรก คือ ปฏิรูประบบการกระจายอำนาจให้แก่ชุมชน ปฏิรูประบบภาษี และปฏิรูปที่ดิน ซึ่งประเด็นเหล่านี้ควรพิจารณาโดยเฉพาะเรื่องข้อกฎหมายที่จะต้องมีนักวิชาการมาร่วมคิดด้วย" ศ.นพ.ประเวศ กล่าว และว่า อาจใช้เวลาประมาณ 1 ปีจากนี้ เพื่อสรุปแนวทาง และเชื่อว่าหากแก้ปัญหาทั้ง 3 ประเด็นนี้ได้ โดยเฉพาะเรื่องการกระจายอำนาจ น่าจะส่งผลต่อการแก้ปัญหาประเทศได้กว่าร้อยละ 80
อย่างไรก็ตาม มีข้อเสนอจากที่ประชุม อาทิ ตัวแทนเครือข่ายพลังเยาวชนเพื่อการปฏิรูป เสนอว่า ขอเสนอจัดกิจกรรม “คนขายชาติ” เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้นำเสนอแนวคิดในการสร้างชาติ โดยจะจัดกิจกรรมในลักษณะเชิงตลาดหุ้น เพื่อให้ทุกคนเป็นหุ้นส่วนของประเทศ และทำการเซ็นสัญญาว่า 1.ความคิดราคาเท่าไหร่ 2.จะลงมือทำอย่างไร เพื่อกระตุ้นให้เด็กและเยาวชนเข้ามาร่วมในการปฏิรูปประเทศมากขึ้น เนื่องจากยังมองว่าการปฏิรูปยังจำกัดอยู่ในวงแคบในระดับผู้ใหญ่เท่านั้น