นพ.พลเดช จวกสันติวิธีสุดโต่ง ไม่สูญเสียเลย เป็นเรื่องเพ้อฝัน
เปรียบเทียบทางการแพทย์ การเยียวยารักษาสังคมไทยขณะนี้ เหมือนรักษาด้วยยา ใช้สันติวิธีไม่ใช้ความรุนแรง กับอีกแบบการศัลยกรรมผ่าตัด ต้องมีเสียเลือดเสียเนื้อบ้าง คือ ใช้ความรุนแรงเมื่อสมเหตุสมผล อยู่บนหลักสันติวิธี
นพ.พลเดช ปิ่นประทีป ประธานกรรมการจัดงานสมัชชาคุณธรรมประจำปี 2553 กล่าวถึงการดำเนินการจัดงานสมัชชาคุณธรรม ประจำปี 2553 ว่า การจัดสมัชชาคุณธรรมในปีนี้ เน้นที่การพูดคุยเชิงประเด็นของแต่ละองค์กรเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง แบ่งออกเป็น 7 ประเด็น จากองค์กรร่วมงาน 7 องค์กร มีศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาพลังแผ่นดินเชิงคุณธรรม(ศูนย์คุณธรรม) ทำหน้าที่หลัก จัดตารางประชุมแต่ละเครือข่าย โดยกรอบการทำงานจะให้องค์กรหรือสถาบันหลักมารับภารกิจ ก่อนแยกย้ายกันทำงานอย่างมีเป้าหมาย และรวบรวมข้อมูลให้เกิดสาระสำคัญ ที่จะนำไปสู่การจัดสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติที่จะจัดขึ้นในปี 2554 ร่วมกัน ก่อนผลักดันเป็นนโยบายแห่งชาติครั้งใหญ่
“ในปีนี้จะไม่มีการจัดสมัชชาคุณธรรมระดับชาติ แต่ถือว่าระดับภูมิภาคเป็นการจัดประชุมที่ใหญ่ที่สุด เพื่อเป็นเนื้อหาสาระจากเวทีย่อยในปีนี้ ก่อนนำเสนอและร่วมปรึกษาหารือกันอีกครั้ง” นพ.พลเดช กล่าว และว่า หลักการสำคัญของสมัชชาคุณธรรมคือ เน้นที่ความซื่อสัตย์ คุณธรรมและจริยธรรม ให้เกิดแก่ทุกองค์กร อาทิ องค์กรภาคชุมชน ภาคธุรกิจ องค์กรศาสนา และองค์กรการศึกษา มีการจัดงานขึ้นในระดับภูมิภาค 5 ภาคทั่วประเทศ ขณะนี้ยังอยู่ในขั้นเตรียมการ และถือว่าระดับภูมิภาคเป็นระดับใหญ่ที่สุดในการจัดงานในปีนี้ มีเพียงกลุ่มภาคราชการ การเมือง และสื่อมวลชน ที่จัดขึ้นที่กรุงเทพมหานคร มี TPBS เป็นเจ้าภาพหลักในกลุ่มองค์กรสื่อมวลชน และ ภาคราชการ การเมือง จะจัดขึ้นที่รัฐสภา ในวันที่ 20 พ.ค. 53
เมื่อถามถึงเรื่องคุณธรรมจริยธรรมที่เด็กไทยในปัจจุบัน มองการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นเรื่องธรรมดา ทางศูนย์คุณธรรมจะมีส่วนร่วมจัดการปัญหาดังกล่าวอย่างไร นพ.พลเดช กล่าวว่า คุณธรรม ทัศนคติที่บิดเบี้ยว ถือว่าเป็นเรื่องที่เลวร้ายและอันตรายมาก เรื่องนี้คงไม่เพียงแค่มีหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งมารับผิดชอบเท่านั้น แต่ต้องเป็นทุกคนมาร่วมกันปลูกฝังทัศนคติที่ดี และร่วมกันต่อต้าน ซึ่งในส่วนนี้ให้กลุ่มองค์กรการศึกษา ที่ดูแลเรื่องเด็กและเยาวชน เป็นตัวหลักร่วมขับเคลื่อน ใช้โรงเรียน มหาวิทยาลัย ที่มีงานส่งเสริมคุณธรรมต่างๆ มาร่วมช่วยกันให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
“ทางศูนย์คุณธรรมก็พร้อมที่จะสนับสนุนให้มีการรณรงค์ ทั้งจากกระบวนการของสื่อโทรทัศน์ วิทยุ ช่องต่างๆ ต้องร่วมมือ สร้างฉันทามติของสังคมให้เห็นพ้องต้องกัน หรืออย่างในตอนนี้มีการร่วมกันปฏิรูปประเทศไทย ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องร่วมสร้างให้เกิดฉันทามติให้ได้ ในเรื่องการสร้างและปลูกจิตสำนึกเรื่องคุณธรรม จริยธรรมใหม่ เพราะจิตสำนึกของคนไทยเป็นเรื่องใหญ่ ที่เกี่ยวพันกับการมองภาพการทุจริต สร้างจิตสำนึกร่วมกัน ในการช่วยจัดการเรื่องต่างๆร่วมกันเพื่อความสุขของประเทศชาติต่อไป”
สำหรับการขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศไทยที่เริ่มมีการปฏิรูปในทุกมิตินั้น นพ.พลเดช กล่าวว่า ขอให้กำลังใจและอดเป็นห่วงไม่ได้ ว่า จะสามารถดำเนินการไปในทิศทางใด เพราะจากสถานการณ์การเมืองที่ยังคงร้อนระอุ และคาราคาซังนั้น ยังไม่สามารถชี้ได้อย่างชัดเจนว่า แต่ละวันจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง และหากมีการยุติลงแล้วแนวโน้มข้างหน้าในอนาคตนั้นจะลุกลามไปสู่ภาคเหนือและภาคอีสานหรือเกิดปัญหาซ้ำซ้อนอย่างไร อีกพวกหนึ่งกำลังเคลื่อนไหวเรื่องปฏิรูปประเทศไทย แต่ปัญหาระเบิดที่อยู่ข้างหน้า คงยังไม่ได้รับการแก้ไข คงต้องถึงเวลาการจัดการสร้างจิตสำนึกที่ดีให้มีจริยธรรม คุณธรรมร่วมกันก่อนการจัดการด้านต่างๆ
นพ.พลเดช กล่าวด้วยว่า หากใช้สันติวิธีมาช่วยยุตินั้น สามารถใช้ได้ตลอด แต่ต้องมีหลักการไม่ใช่ใช้อย่างสุดโต่ง สุดขั้ว หรือไม่ให้มีการเกิดการสูญเสียเลย เพราะถือเป็นเรื่องเพ้อฝันมาก ความรุนแรงหรือไม่รุนแรงนั้น เป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ต้องใช้อย่างมีหลักการสอดคล้องกับความเป็นจริงมากที่สุด
“หากจะเปรียบเทียบทางการแพทย์ การเยียวยารักษาสังคมไทยขณะนี้ ก็เหมือนการรักษาด้วยยา ใช้สันติวิธีไม่ใช้ความรุนแรง กับอีกแบบที่ต้องมีการเสียเลือดเสียเนื้อบ้าง คือ การศัลยกรรมผ่าตัด ซึ่งโรคบางโรค ถ้าจะรักษาให้หายต้องใช้วิธีการผ่าตัด แต่ไม่ได้หมายถึงให้ใช้ความรุนแรงไปแก้ความรุนแรง แต่ใช้ความรุนแรงเมื่อสมเหตุสมผล อยู่ในหลักการสันติวิธี อย่างรัฐบาลต้องการจัดการเหล่าร้าย หรือมีกองกำลัง ถ้าไม่ใช้กำลัง ก็ไม่อาจสำเร็จ จึงต้องผ่าตัด เสียเลือดบ้างเพื่อส่วนรวม”