เยาวชนปลุกจิตสำนึก รักประเทศร่วมกันอย่างเข้าใจ
นักวิชาการ สถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา เชื่อเปลี่ยนประเทศไทย ต้องเปลี่ยนที่ความคิด ให้เข้าใจการเป็นคนไทย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ขณะที่ประธานสภาเด็กและเยาวชนฯ เปรียบเทียบแสบ กรุงเทพฯ เหมือนหมาป่วย มีแต่เห็บหมัดเกาะกิน หวังเพียงผลประโยชน์
วานนี้ (28 เม.ย.) สมาคมเยาวชนกรุงเทพมหานคร ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) โดยแผนงานทุนอุปถัมภ์เชิงรุกเพื่อสื่อ ศิลปวัฒนธรรม และกิจกรรมสร้างสรรค์ จัดการอบรมเชิงปฏิบัติการ “ปิ๊งส์ บางกอก (Pings Bangkok)” เพื่อใช้เยาวชนเข้าใจสถานการณ์บ้านเมืองในยามวิกฤตและสามารถนำสื่อสร้างสรรค์ มาเป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนแปลงประเทศ สู่การพัฒนาการเมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืน ณ โรงแรมนนทบุรี พาเลซ จังหวัดนนทบุรี มีตัวแทนสมาชิกสภาเยาวชนกรุงเทพมหานคร เข้าร่วมกิจกรรม
จากนั้นมีการเสวนาเรื่อง “การเปลี่ยนประเทศไทยในมุมมองของคุณ” นายยงยุทธ์ ประชาศิลป์ชัย ประธานมูลนิธิฟื้นฟูเมือง กล่าวว่า สังคมไทยยังคงเป็นระบบทุนนิยม ที่มีความต้องการสร้างให้ชุมชนเมือง มีสิ่งที่ทันสมัยสวยงามมากกว่าการจัดการรักษาดูแลสิ่งแวดล้อมร่วมกัน และสร้างชุมชนเมืองขึ้นมาเพื่อตอบสนองในการบริการประชาชนให้เข้ามากอบโกยเงินทอง แล้วกลับคืนสู่ท้องถิ่น เป็นสาเหตุของการพัฒนาสังคมกับกลุ่มคนที่มาอยู่ในสังคม มีความคิดที่สวนทางกัน คิดแต่จะตักตวงเอาประโยชน์มากกว่าการคิดสร้างประโยชน์ให้สังคม
"ขณะเดียวกันสิ่งแวดล้อมในเมืองก็เริ่มแย่ เป็นผลมาจากจิตสำนึกของคนในสังคม ที่มีการเอารัดเอาเปรียบกันมากขึ้น เชื่อมต่อเป็นจุดเล็กๆ ที่เกิดมาจากความรู้สึกของคน ที่เกิดความแตกต่างและขัดแย้ง กรุงเทพมหานครในวันนี้เกิดการชุมนุมเสื้อหลากสี คนพากันออกมาเรียกร้องเอาผลประโยชน์ที่กลุ่มตนเองต้องการจะได้รับ มากกว่าการร่วมกันแก้ไขปัญหาที่มีจากตนเองเสียก่อน ซึ่งถ้าจะให้ดีจริงๆ พลเมืองทุกคน ต้องช่วยกันดูแลสังคมร่วมกันอย่างสุดกำลัง ไม่ทำเพียงแค่ฉาบฉวย แล้วก็หายไป แต่ต้องสู้เพื่อสังคมที่สงบสวยงามอย่างถาวร”
นายยงยุทธ กล่าวว่า การที่คนอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น เพราะกรุงเทพฯ เป็นที่ตั้งของหน่วยงานที่สำคัญมากมาย จนเกิดการอพยพย้ายถิ่น ขณะเดียวกันรัฐมองว่า ความต้องการแรงงานมีมาก จึงต้องอาศัยแรงงานจากชนบทเข้ามาทำงาน แต่ขาดจิตสำนึกในการดูแลกระบวนการพัฒนาเมือง และดูแลกลุ่มคนเหล่านี้อย่างชัดเจน แม้ว่าการกระจายอำนาจลงสู่สังคมจะเป็นนโยบายที่ช่วยลดปัญหา และกำลังมีเพิ่มมากขึ้นในท้องถิ่น แต่เรื่องดังกล่าวก็ยังมีเพียงแค่นโยบาย เป็นตัวหนังสือ ที่ประชาชนและผู้นำท้องถิ่นยังไม่ได้มีส่วนร่วมอย่างจริงจัง
“ถึงเวลาแล้วที่ พลเมืองทุกคนต้องช่วยกันอย่างจริงจัง รักประเทศร่วมกันอย่างเข้าใจว่า จะมาร่วมสร้างประเทศร่วมกันอย่างไร ให้ได้ภาพฝันที่ตรงกัน ร่วมออกแบบสังคม ออกแบบเมืองในฝัน ช่วยเยียวยาแก้ไขปัญหาให้ทุกคนมีสิทธิ์ในการสร้างภาพฝัน โดยไม่เป็นเพียงชั่วครั้งชั่วคราว เมื่อพอใจแล้วก็จบไป ซึ่งแต่ละครั้งต้องเข้าใจ ถึงการแก้ปัญหาระยะยาว เพื่อลูกหลานได้อยู่ต่อไปด้วย”
นายยงยุทธ กล่าวด้วยว่า เราทุกคนคือส่วนสำคัญในการผลักดันพัฒนาสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เยาวชน ที่ต้องมาร่วมกับสร้างเครือข่าย กระตุ้นให้เกิดองค์ความรู้ในการร่วมสร้างชาติ ทำหน้าที่ช่วยกันเปลี่ยนแปลงประเทศ เปลี่ยนแปลงสังคม ขณะเดียวกันการที่บ้านเมืองสวยงามด้วยสถาปัตยกรรมก็ยังไม่ใช่คำตอบที่แท้จริง เพราะต้องทำให้พลเมืองมีความสุข ในสังคมที่สงบสุขควบคู่ไปด้วย
ด้านนายชาญ รูปสม นักวิชาการอิสระ สถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา กล่าวถึงเหตุการณ์ชุมนุมที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเมืองหลวง จนเกิดเป็นสงครามกลางเมืองนั้น เกิดจากคนที่เข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯส่วนใหญ่ มาอยู่ด้วยความไม่ตั้งใจ คนหลายกลุ่มยังไม่มีความรู้สึกเป็นเจ้าของร่วมกัน มีความคิดที่ต่างกัน คิดว่า กรุงเทพฯไม่ใช่ท้องถิ่นที่อยู่ของเขา จึงไม่ทำหน้าที่พลเมืองที่ดี ซึ่งต่อไป สิ่งที่ต้องทำ คือ การเปลี่ยนแปลงความคิดให้เข้าใจว่า การเป็นคนไทยไม่ว่าจะอยู่ที่ใดต้องเป็นเจ้าของร่วมกัน เชื่อว่า ปัญหาหลายเรื่อง ไม่สามารถแก้ไขได้ ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงความคิด และถ้าอยากเห็นประเทศที่ไม่มีฟันหลอ มีความเท่าเทียมกัน เราต้องร่วมกันช่วยกันสร้างไม่เพียงแค่ปากพูด แต่ต้องลงมือทำด้วย
ขณะที่นายรัชฏะ ศรีบุญรัตน์ ประธานสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตอนนี้ เมืองหลวงของประเทศ ถูกเปรียบเสมือนหมาป่วย ที่มีเห็บหมัด เกาะกิน หวังประโยชน์ ไม่ยอมปล่อยให้บ้านเมืองเจริญเติบโต ตามแบบอย่างที่ควรจะเป็น ขณะที่มีโครงการใหญ่ๆ ผุดขึ้น แต่ยังพบขอทานอยู่ ดังนั้น เวลานี้ ทุกคนต้องมีตำตอบแล้วว่าต้องการเห็นสังคมดำเนินไปอย่างไร ต้องมาร่วมสร้างพลังให้เกิดขึ้นร่วมกัน แม้ว่าการร่วมกันเปลี่ยนประเทศครั้งนี้จะเหนื่อย จะเจอกับความคิดเห็นที่แตกต่างมากมาย เราก็ต้องช่วยกันสร้างสังคมด้วยกันคนละไม้คนละมือ ปรับเปลี่ยนตามอย่างที่เราอยากให้เป็น เป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุด สังคมเมือง สังคมชนบท และสังคมไทย ก็จะอยู่ได้ อาจจะไม่อลังการ แต่อย่างน้อยก็จะได้สังคมที่เราทุกคนต้องการให้เป็น