“กลับสู่ชุมชนต้นน้ำ”.. ทำบุญประสานความต่าง สร้างความปรองดอง
สายฝนโปรยปรายมาพร้อมกับเทศกาลบุญใหญ่เข้าพรรษา พุทธศาสนิกชนมักทำบุญทั้งการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา แต่ขอนำไปพบการทำบุญสร้างความปรองดองของคนหลายเชื้อชาติศาสนาภายใต้โครงการ “กลับสู่ต้นน้ำ”ในชุมชน
โครงการกลับสู่ต้นน้ำ มากกว่า 100 แห่งทั่วประเทศ ได้ทุนจากโครงการสุขแท้ด้วยปัญญา ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) กับเครือข่ายพุทธิกา เป็นปีที่ 2 เพื่อมุ่งเสริมสร้างทัศนคติอันเป็นที่มาแห่งความสุข 4 ประการ ให้เกิดขึ้นกับผู้คนในสังคม ได้แก่ การคิดถึงผู้อื่นมากกว่าตนเอง ไม่พึ่งพิงความสุขทางวัตถุอย่างเดียว เชื่อมั่นในความเพียรไม่หวังลาภลอยคอยโชค และคิดอย่างมีเหตุผลมีประโยชน์เกื้อกูล
โครงการกลับสู่ต้นน้ำ เริ่มต้นจากสมมติฐานว่า “ความเชื่อและความศรัทธาที่ต่างกัน ไม่จำเป็นต้นนำมาซึ่งความขัดแย้งเสมอไป”
กลุ่มคนที่มีความต่างในด้านศาสนาทั้งที่เป็นไทยพุทธ ไทยคริสต์ ไทยอิสลาม จึงได้รวมตัวในนาม กลุ่มสานสามศาสน์ และคิดทำโครงการกลับสู่ต้นน้ำ ซึ่งเป็นงานด้านเยาวชนศาสนสัมพันธ์ การจาริกแสวงหาสัจธรรมของศาสนิกจากทั้ง 3 ศาสนา มุ่งหวังให้เยาวชนทั้งสามศาสนาได้ไตร่ตรองในคุณค่าของศาสนาของตนจากประสบการณ์ที่ได้รับ ยอมรับความแตกต่างของกันและกัน เรียนรู้การอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ไม่เบียดเบียนกัน เห็นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน เรียนรู้การใช้ชีวิตแบบพอเพียงและเรียบง่ายผ่านกิจกรรมหลัก คือการใช้ชีวิตกับชุมชนต้นน้ำในหมู่บ้านปกาเกอะญอ
กิจกรรมที่เด็กๆ ทั้ง 3 ศาสนา ทำร่วมกันภายใต้โครงการกลับสู่ต้นน้ำ ได้แก่ การสำรวจพื้นที่ ใช้วิธีแบบโฮมสเตย์ คือใช้ชีวิตร่วมกับชุมชนชาวปกาเกอะญอที่หมู่บ้านแม่นิงนอก ต.แม่ศึก อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ มีการเตรียมพร้อมก่อนลงชุมชนโดยการอบรมละลายพฤติกรรม ให้ความรู้เรื่องวิถีการดำรงชีวิตของชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ ความเชื่อ ข้อห้าม ข้อควรปฏิบัติในการ ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับชาวบ้าน
การเดินทางไปเชียงใหม่โดยรถไฟฟรี ทำให้เด็กๆเรียนรู้ความลำบาก ความอดทน เข้าใจและเห็นใจผู้อื่น ตลอดจนมีโอกาสแสดงความเอื้อเฟื้อ เสียสละ และมีน้ำใจต่อกัน โดยผลัดกันยืนกับเพื่อน
การเรียนรู้วิถีชีวิตโดยเข้าพักในหมู่บ้าน อยู่กับชาวบ้านๆละ 2-3 คน ใช้ชีวิตร่วมกับสมาชิกในบ้าน เช่น ทำกสิกรรม ทอผ้า หาและทำอาหาร แบ่งปันทรัพยากรในหมู่บ้าน การใช้ทรัพยากรน้ำ ศึกษาขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของชาวบ้าน ไม่พึ่งพาเทคโนโลยีเครื่องทุ่นแรง เน้นพึ่งพาธรรมชาติ พึ่งพาตนเอง และพึ่งพากันและกัน ร่วมปฏิบัติศาสนกิจของแต่ละศาสนา และแบ่งปันในสิ่งที่พบเห็น โดยมีครูพี่เลี้ยงช่วยดูแลแนะนำ กิจกรรมที่เป็นหัวใจหลักอีกอย่างคือการเดินจาริกขึ้นไปสู่ต้นน้ำ ซึ่งเปรียบเสมือนการเดินย้อยรอยกลับไปสู่แก่นแท้ของศาสนา แต่ละศาสนามีกิจกรรมของตนเองเพื่อให้ศาสนิกได้เข้าใจในศาสนาของตนมากขึ้น ลึกซึ้งในคำสอน เกิดความศรัทธา และเข้าถึงหัวใจของศาสดาแห่งตนยิ่งขึ้น
• คริสตศาสนา : ใช้วิธีเดินรูป 14 ภาพ เพื่อเดินทางขึ้นสู่ต้นน้ำ
• พุทธศาสนา : แบ่งเป็น 5 ฐานใช้หลักธรรมพละ 5 ประกอบด้วย ฐานศรัทธา ฐานวิริยะ ฐานสติ ฐานสมาธิ และ
ฐานปัญญา
• อิสลาม : แบ่งเป็น 5 ฐาน โดยใช้คุณธรรม 5 ประการ ได้แก่ ตักวา-ความยำเกรงพระเจ้า, อิคลาศ-ความบริสุทธิ์ใจ, ตะวักกุล-ความไว้วางใจในพระเจ้า, ซ็อบร์-ความอดทนและหนักแน่นมั่นคง และ ชุกร์-ความกตัญญูรู้คุณต่อพระเจ้า
มีการบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์ โดยปลูกต้นไม้ที่ต้นน้ำและป่าชุมชนของหมู่บ้าน จากนั้นร่วมกันแบ่งปันประสบการณ์ที่ได้รับ สะท้อนความคิดต่อสิ่งที่พบเห็นในมุมมองของแต่ละศาสนา หาข้อตั้งใจที่จะปฏิบัติต่อไป แล้วสรุปโดยผู้นำของแต่ละศาสนา ปิดท้ายด้วยการร่วมกันตั้งจิตอธิษฐานของทุกศาสนิกเพื่อทุกสิ่งและทุกคน
ทั้งนี้กระบวนการทำงานและทำกิจกรรมทั้งหมดร่วมกัน ได้ดำเนินผ่าน “กระบวนการตื่นตัว-ไตร่ตรอง-ตอบโต้” โดยใช้คุณธรรมของทุกศาสนาเป็นตัวกำกับ นำมาซึ่งความสำเร็จเป็นรูปธรรม อาทิ เยาวชนเกิดความเข้าใจในแก่นแท้ศาสนาตน เช่น การให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์ด้วยการพัฒนาตนเอง ให้ความรัก ความเมตตา และเคารพผู้อื่น รวมทั้งรู้จักลดตัวตนของตน เพื่อให้อยู่ในสังคมร่วมกันได้อย่างเรียบง่ายและมีความสุข
การเรียนรู้ เข้าใจ และยอมรับกันระหว่างศาสนา เช่น การใช้ตัวเองบังและป้องกันเพื่อนมุสลิมให้รอดพ้นจากการสัมผัสกับหมูและหมา ทั้งๆที่ตนเองก็กลัวหมูและหมา แต่ยอมทำเพื่อให้เพื่อนไม่ผิดกฎ
การเรียนรู้และมีแนวโน้มที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปสู่ความสมถะเรียบง่าย อันเนื่องมาจากการใช้ชีวิตแบบพอเพียงที่หมู่บ้านปกาเกอะญอ ทำให้เด็กๆได้เห็นว่าความสุขไม่ได้มาจากวัตถุเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยความอดทน และพึ่งความพากเพียรของตนเองด้วย ทำให้พฤติกรรมของเยาวชนเปลี่ยนไปจนเห็นได้ชัด เช่น รู้จักประหยัดมากขึ้น ใช้จ่ายเงินน้อยลง ไม่ฟุ่มเฟือย ใช้โทรศัพท์น้อยลง เล่นคอมพิวเตอร์น้อยลง กินข้าวหมดจาน เพราะตระหนักถึงความยากลำบากในการทำนา
เหล่านี้เป็นเพียงหนึ่งตัวอย่างเล็กๆที่ช่วยพิสูจน์ให้เห็นว่า โดยแก่นแท้แล้วทุกศาสนาล้วนสอนให้คนเป็นคนดี รู้จักเคารพผู้อื่น และอยู่ร่วมกันอย่างศานติสุข สมัครสมานสามัคคีกันได้ แม้จะคิดต่าง หรือมีความเชื่อ ความศรัทธา (ศาสนา)ที่ต่างกันก็ตาม
ที่มา : จดหมายข่าวเพื่อนสร้างสุข สสส. http://www.thaihealth.or.th/files/letter07-53.pdf