4 องค์กรวิชาชีพสื่อ ตั้ง คพส. ภายใต้แนวคิด “ปฏิรูปสื่อภาครัฐ-พัฒนาสื่อเอกชน”
![](/images/stories/thaireform/news_june10/page245.jpg)
นายประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2553 ซึ่งนำไปสู่ความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐจำนวนมาก อันสะท้อนให้เห็นถึงความแตกแยกอันร้าวลึกของประชาชนคนไทยที่มีความคิดและความเชื่อทางการเมืองที่แตกต่างกัน โดยไม่ยอมรับฟังเหตุผลซึ่งกันและกันและพร้อมที่จะใช้กำลังเข้าประหัตประหารกันได้ตลอดเวลา
ภายใต้สถานการณ์ข้างต้น สื่อมวลชนได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากว่า มีส่วนสำคัญในการยุยงให้เกิดความเกลียดชังและใช้ความรุนแรง และไม่ได้ทำหน้าที่เสนอข้อมูลข่าวสารที่นำไปสู่การแสวงหาทางออกให้กับสังคมไทยโดยใช้กระบวนการสันติวิธี
อย่างไรก็ตาม ข้อวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าว มิได้มีสาเหตุมาจากการผู้ประกอบวิชาชีพหรือองค์กรด้านสื่อมวลชนเพียงฝ่ายเดียว ในทางกลับกัน ปัญหาการผูกขาดโครงสร้างสื่อมวลชนภาครัฐ โดยรัฐบาลทุกยุคทุกสมัยต่างไม่ให้ความสำคัญต่อการปฏิรูปสื่อภาครัฐ และการเร่งรัดผลักดันกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปสื่อวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์
ขณะที่องค์กรวิชาชีพด้านสื่อมวลชนต่างๆ ทั้งที่ทำหน้าที่กำกับดูแลกันเองด้านจริยธรรม และส่งเสริมสิทธิเสรีภาพในการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร ได้พยายามปรับตัวด้วยการเพิ่มงานด้านการพัฒนาความเป็นวิชาชีพของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนแขนงต่างๆแม้ว่าจะยังไม่สามารถดำเนินการได้อย่างเต็มที่ อันเนื่องมาจากข้อจำกัดในด้านต่างๆก็ตาม
ดังนั้น เพื่อให้การขับเคลื่อนกลไกต่างๆของสังคม เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปประเทศไทยอย่างเต็มรูปแบบ 4 องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน 4 องค์กร จึงได้จัดทำแผนงานการปฏิรูปสื่อมวลชนภาครัฐ และการพัฒนาสื่อมวลชนของเอกชนขึ้นโดยให้มีคณะกรรมการอิสระขึ้นมาชุดหนึ่งเรียกว่า “คณะกรรมการพัฒนาส่งเสริมสิทธิเสรีภาพและความรับผิดชอบสื่อมวลชน” หรือ คพส. ประกอบด้วยผู้แทนองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชน นักกฎหมาย ผู้แทนองค์กรด้านการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสื่อมวลชนและการปฏิรูปสื่อ ทั้งนี้ คณะกรรมการอิสระชุดนี้ อาจแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของแผนงานได้ตามความเหมาะสมทำหน้าที่ผลักดันภารกิจต่างๆ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ ดังนี้
1) เพื่อเร่งรัดผลักดันให้เกิดการปฏิรูปสื่อมวลชนของรัฐ รวมทั้งการเร่งรัดการออกกฎหมายจัดตั้งองค์กรอิสระเพื่อทำหน้าที่จัดสรรและกำกับดูแลสื่อมวลชนด้านวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ ทั้งที่ใช้คลื่นความถี่และไม่ใช้คลื่นความถี่ ตามกฎหมายประกอบกิจการฯ ที่ได้ตราขึ้นก่อนหน้านี้แล้ว
2) เพื่อขจัดปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสวงหาและนำเสนอข้อมูลข่าวสารของประชาชนและสื่อมวลชน โดยเฉพาะปัญหาอุปสรรคทางด้านกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
3) เพื่อศึกษาถึงแนวทางในการปรับปรุงโครงสร้างและอำนาจหน้าที่ขององค์กรกำกับดูแลกันเองทางด้านจริยธรรม ให้สามารถตอบสนองกับการเปลี่ยนแปลงและความคาดหวังที่สังคมมีต้องสื่อมวลชน
4) เพื่อศึกษาหาแนวทางในการแสวงหาความร่วมมือต่อการจัดทำหลักสูตรการพัฒนาบุคคลากรในวิชาชีพสื่อมวลชนอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เป็นหลักประกันต่อการทำหน้าที่ของบุคคลากรในวิชาชีพนี้
5) เพื่อศึกษาและนำไปสู่การสนับสนุนการพัฒนาองค์กรด้านการศึกษาและเฝ้าระวังสื่อให้เข้มแข็งและได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนได้แก่ องค์กรสื่อมวลชน องค์กรด้านวิชาการและองค์กรภาคประชาสังคม เพื่อให้เกิดกระบวนการตรวจสอบสื่อมวลชนโดยภาคสังคมให้เข้มข้นยิ่งขึ้น
นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย กล่าวด้วยว่า เรื่องกสทช.ห่วงว่าจะซ้ำซ้อนกับคณะที่รัฐบาลเคยแต่งตั้งชุดดร.วรากรณ์ สามโกเศศ, ส่วนในรัฐธรรมนูญนั้นยังไม่ระบุถึงสื่อมวลชนที่เป็นเว็บไซต์สื่อออนไลน์ ซึ่งมองว่ารัฐไม่มีระเบียบชัดเจนในการปิดเว็บไซต์ ยกตัวอย่างบางเว็บไซต์มีคนมาโพสต์ข้อความผิดกฎหมายแค่ครั้งเดียวราชการก็บล็อกแล้ว ดังนั้นต่อไปรัฐควรมีระเบียบแบบแผนที่ชัดเจนใน การใช้อำนาจตรวจสอบหรือบล็อกช่องทางข่าว ความโปร่งใสของกระบวนการใช้อำนาจของศอฉ. หรือกระทรวงไอซีที ต้องมีการวางระบบการใช้อำนาจที่ดีเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องมีการพิจารณา
ขณะที่นายองอาจ กล่าวถึงการปฏิรูปหรือการพัฒนาสื่อ เป็นหนึ่งในแผนปรองดอง วันนี้มารับฟังความคิดเห็นในเบื้องต้นจาก 4 องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน ซึ่งรัฐคงไม่สามารถชี้นำหรือบอกสั่งให้ปฏิรูปได้ การปฏิรูปสื่อต้องเกิดจากการเห็นพ้องต้องกันของคนในวิชาชีพในหลายๆส่วน รวมถึงภาควิชาการ เอ็นจีโอ ภาคประชาสังคม และภาคประชาชนทั่วไปในฐานะผู้เสพสื่อด้วย การปฏิรูปสื่อจึงขึ้นอยู่กับทุกส่วนเหล่านี้ เช่นเดียวกับการปฏิรูปเรื่องอื่นๆ ที่ต้องยึดการรับฟังความเห็นนี้เป็นหลักการสำคัญที่ต้องเข้าใจเบื้องต้นก่อน
กรณีรศ.ดร.ยุบล เบ็ญจรงค์กิจ คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้มอบหมายรับผิดชอบประสานงานในคณะทำงานการรวบรวมข้อมูลข่าวสารในการปฏิรูปสื่อ ไม่ใช่ประธานการปฏิรูปสื่อ โดยจะรวบรวมข้อมูลวิชาการในสังคมการปฏิรูปสื่อจะทำในลักษณะการรับฟังความคิดเห็นมากกว่า เพื่อให้สะท้อนความคิดเห็นผู้บริโภคสื่อให้มากที่สุด ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาไม่เกิน 3-4 เดือน
ส่วนนายภัทระ คำพิทักษ์ บรรณาธิการข่าว หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์และอดีตนายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เสนอว่า ขณะนี้เป็นสงครามข่าวสารเราจะอยู่เฉยไม่ได้ การปฏิรูปสื่อต้องคิดใหม่พอสมควรเช่น กรณีทีวีอาเซียนเป็นได้จริงหรือไม่ ประเทศไทยมีกระบอกเสียงในฐานะสังคมโลกอย่างไรบ้าง มีทั้งโครงสร้างสื่อรัฐ สื่อใหม่ สื่อการเมือง เราจะเลือกเอาอย่างไร
“การปฏิรูปสื่อควรนำโดยสื่อ ควรต้องพูดเรื่องเสรีภาพและความรับผิดชอบของสื่อ เรื่องนี้เอกชนทำมาก่อนอย่างต่อเนื่องแล้วถ้าภาครัฐสนับสนุนเราก็พร้อมจะดำทำต่อไป ส่วนสื่อของรัฐนั้นต้องถามว่าจะให้มีเสรีภาพหรือไม่ เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องคิด ซึ่งพวกเราคิดว่าแล้วต้องปลดปล่อยออกมา สำหรับสื่อใหม่นั้นยังมีปัญหาซึ่งสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติเริ่มทำแล้ว แต่รัฐบาลต้องกลับมาคิดว่าถ้าเพิ่มข้อจำกัดลงไป หรือต้องทบทวนต้นเหตุในการไม่ให้เสรีภาพเขาเหล่านั้น การปฏิรูปสื่อต้องปฏิรูปโดยสื่อ ไม่เช่นนั้นจะเป็นการนำเครื่องมือมาจองจำสื่อ ไม่เช่นนั้นรัฐบาลจะกลายเป็นครอบงำสื่อมากขึ้น”
นายเกียรติชัย พงษ์พานิช กรรมการสภาหนังสือพิมพ์แห่งชาติ เสนอว่า 1.ไม่ใช่ปฏิรูปแค่สื่อเอกชน สื่อรัฐต้องปฏิรูปด้วย เช่น กรมประชาสัมพันธ์ต้องปฏิรูปนโยบายเพื่อการเป็นสื่อที่พัฒนาให้เท่าทันสื่อเอกชนด้วย 2.ทำไมการปฏิรูปสื่อนั้นต้องเป็นบทบาทดำริหลักจากภาครัฐ ควรต้องเป็นเรื่องที่ภาคสื่อเสนอขึ้นมาเอง 3.ต้องพัฒนาสื่อในกรอบของสังคมประชาธิปไตย มีเสรีภาพในการไหลของข้อมูลข่าวสาร สื่อต้องสร้างความเสมอภาคและยุติธรรม ต้องมีกลไกจัดการและมีองค์กรในการควบคุมกันเองที่เข้มแข็งให้ได้ภายใต้กรอบจริยธรรมสื่อมวลชน การปฏิรูปสื่อภาครัฐ ต้องมองนโยบายในเรื่องของการพัฒนา เช่น กปส. ต้องเปลี่ยน และ 4.จะทำอย่างไรในการสร้างกลไกมอนิเตอร์สื่อเพื่อผู้บริโภค
ด้านนางบัญญัติ ทัศนียะเวช ที่ปรึกษาคณะกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ เสนอว่า ต้องปฏิรูปสื่อให้เท่าทันสภาวการณ์ของสังคม สื่อใหม่ที่เกิดขึ้นที่ก่อให้เกิดการยั่วยุ ซึ่งรัฐบาลตามไม่ทันจะต้องมีการควบคุมดูแลอย่างเท่าทัน ไม่ให้เหมือนที่แล้วมา การปฏิรูปสื่อต้องทำตลอดเวลา ถ้าไม่ปฏิรูปตัวเองจะล้าหลัง ต้องปฏิรูปให้ทันกับสังคมด้วย
นายประดิษฐ์ เรืองดิษฐ์ อดีตเลขาธิการสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เสนอให้ สังคมไทยต้องสรุปบทเรียนให้ได้จากตัวอย่างสื่อที่ปลุกระดมทางการเมืองให้คนในสังคมเกลียดชังกันต้องสรุปให้ได้ การปฏิรูปสื่อต้องทบทวนเรื่องการกำกับดูแลกันเอง การดูแลสื่ออนไลน์ การดูแลสื่อที่ปลุกระดมทางการเมือง ถามว่ารัฐจะดูแลจัดการเรื่องนี้อย่างไร