ทีดีอาร์ไอวิพากษ์นโยบายรัฐ กม.เอื้อเอกชน-คอร์รัปชั่นเพียบ
ดร.สมเกียรติชี้นโยบายสาธารณะไทย ไม่หาเสียงก็หากิน ขาย ปชช.เป็นประชานิยมติดลมบน แฝงคอร์รัปชั่นทางนโยบาย คนไม่เข้าใจมีทั้งดี-ไม่ดี แนะยกเลิกสัมปทานแบบประมูลเอื้อเอกชน บังคับใช้ กม.ให้รัดกุมต่อผู้รับสัมปทานและ จนท.รัฐ
วันนี้(3 ก.ค.) ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย จัดบรรยายหลักสูตรอบรมผู้บริหารการสื่อสารมวลชนระดับกลาง(บสก.) เรื่อง “ความซับซ้อนของการคอร์รัปชั่นเชิงนโยบายและผลตอบแทนส่วนเกินจากสัมปทาน” โดย ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ รองประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า คอรัปชั่นเชิงนโยบายเป็นกระแสติดปากประชาชนตั้งแต่ช่วงรัฐบาลทักษิณ แต่ยังมีความสับสนอยู่มากว่าแบบใดจึงเข้าข่ายดังกล่าว ทั้งนี้คอรัปชั่นเชิงนโยบายเกี่ยวโยงกับการออกกฎหมาย, มติคณะรัฐมนตรีหรือระเบียบคำสั่งต่างๆของรัฐที่เอื้อประโยชน์ให้คนกลุ่มเล็ก แต่เสียประโยชน์ในวงกว้าง ต่างจากการคอร์รัปชั่นเล็กๆน้อยๆระดับเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการซึ่งมีอยู่ทั่วไปในเมืองไทย
รองประธานทีดีอาร์ไอ กล่าวต่อไปว่า ตัวแปรสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้เกิดระบบการคอร์รัปชั่นเชิงนโยบายคือระบบสัมปทานซึ่งมีหลายแบบ แต่ในประเทศไทยส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะบีทีโอหรือเอกชนสร้างกิจการและให้บริการแต่โอนให้รัฐเป็นเจ้าของซึ่งเป็นหัวใจของระบบรัฐไทย
“ค่าสัมปทานเป็นค่าตอบแทนที่เก็บจากผู้รับสัมปทานซึ่งได้ประโยชน์จากการได้สิทธิผูกขาดในระยะหนึ่ง รวมถึงสิทธิในการใช้ทรัพยากรของรัฐ เช่น คลื่นความถี่ ที่สำคัญจะช่วยลดผลตอบแทนส่วนเกินของผู้รับสัมปทาน ได้ประโยชน์ตั้งแต่ต้นจนจบทั้งรัฐถึงเอกชน”
ดร.สมเกียรติ กล่าวถึงตัวอย่างนโยบายรถเมล์ รถไฟ ไฟฟ้าฟรีว่า เป็นนโยบายที่ให้รัฐวิสาหกิจเข้าไปดูแลประชาชน ต้องมองให้ลึกว่าใครเสียประโยชน์บ้าง เช่น ขสมก. รฟท. และประชาชนผู้เสียภาษีทุกคนแต่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ และถ้ามองให้ลึกลงไปอีกคือรถร่วมบริการหรือรถเมล์ที่วิ่งในต่างจังหวัด ซึ่งต้องเสียฐานลูกค้า แต่ถ้ามองในภาพใหญ่นโยบายสาธารณะตัวนี้กระทบอยู่กับคนแคบๆ จึงไม่ใช่คอรัปชั่นเชิงนโยบาย แต่ไม่ได้แปลว่าเป็นนโยบายที่ดี
“แก่นของนโยบายสาธารณะในไทยมีแค่ 2 ลักษณะ คือไม่หาเสียงก็หาเงิน คิดนโยบายไปขายให้ประชาชน กลายเป็นประชานิยมซึ่งต่างจากคอร์รัปชั่น ตัวอย่างบ้านเอื้ออาทร รัฐสร้างบ้านให้คนอยู่แต่ไม่ได้เตรียมเงินแก้ปัญหาการเคหะที่เจ๊งไปเหมือนทำเพื่อตายเอาดาบหน้าแทนที่จะคิดเรื่องความมั่นคงระยะยาว”
ดร.สมเกียรติ กล่าวต่อไปว่า ขบวนการคอร์รัปชั่นเชิงนโยบายมีตั้งแต่ขั้นตอนการออกกฎหมายว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานสำหรับโครงการขนาดใหญ่ หรือการแสวงหาผลตอบแทนส่วนเกินจากสัมปทาน เช่น การออกแบบโครงการโดยกำหนดมูลค่าประมูลต่ำเกินจริง, การให้สัมปทานแบบไม่มีการแข่งขัน, การบริหารสัญญา, การแก้ไขให้เอกชนได้ประโยชน์เพิ่ม การยกเลิกสัมปทานโดยไม่มีการชดเชย
รองประธานทีดีอาร์ไอ เสนอว่า ควรพิจารณาเลิกระบบสัมปทานให้เหลือเฉพาะเท่าที่จำเป็น โดยปรับไปสู่การแข่งขันเสรีในระบบอนุญาต ยกเว้นกรณีที่รัฐต้องเป็นเจ้าของโครงข่ายต่อไป แต่ในกรณีที่จำเป็นต้องใช้ระบบสัมปทาน ควรให้สัมปทานโดยการประมูลเป็นหลักเพื่อให้ผลตอบแทนส่วนเกินของเอกชนกลายเป็นผลประโยชน์ของรัฐหรือผู้บริโภค, ร่างสัญญาสัมปทานให้รัดกุมที่สุด เพื่อลดดุลพินิจในการบริหารสัญญา, มีข้อกำหนดให้สามารถเจรจาต่อรองผลตอบแทนได้เฉพาะเมื่อเกิดเหตุที่กำหนดไว้อย่างชัดเจนล่วงหน้าเท่านั้น เพื่อป้องกันการประมูลโดยหวังที่จะเจรจาแก้สัญญาภายหลัง
“บังคับใช้กฎหมายการให้เอกชนเข้าร่วมอย่างเข้มงวดโดยลงโทษเจ้าหน้าที่รัฐที่ฝ่าฝืน ตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของสัญญาสัมปทานที่ผ่านมา และเจรจาให้เอกชนจ่ายค่าตอบแทนเพิ่มขึ้นแลกกับการที่คณะรัฐมนตรีจะช่วยให้ความเห็นชอบ หรืออาจฟ้องเรียกค่าชดเชยจากผู้สัมปทานที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ตลอดจนออกกฎห้ามข้าราชการระดับสูงและผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจรับตำแหน่งในบริษัทที่รับสัมปทานในช่วงเวลาที่กำหนด เช่น 2 ปี” ดร.สมเกียรติ กล่าว .