อภิสิทธิ์อ้างช่วงประคับประคองศก.ฟื้น ยันยังไม่ปรับขึ้น VAT อีก 1 %
นายกรัฐมนตรี ระบุ ขณะนี้ภาษีที่ดิน ภาษีทรัพย์สิน ผ่านครม.แล้ว เหลือรอเข้าสภาฯ ย้ำยังไม่มีการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม เพราะยังไม่มีความจำเป็น แม้ใช้มาแล้ว 11 ปี
วันนี้ (12 ก.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวง ถึงกรณีการปรับโครงสร้างภาษีว่า งานด้านภาษีที่รัฐบาลกำลังดำเนินการเบื้องต้นมีเรื่องภาษีที่ดิน ภาษีทรัพย์สิน ซึ่งถือว่าได้ข้อยุติ ผ่านการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว ขณะนี้รอเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ส่วนปัญหาเรื่องการปรับโครงสร้างภาษีนั้นยังอยู่ในขั้นตอนที่กระทรวงการคลังกำลังศึกษา เนื่องจากต้องการให้ฐานภาษีกว้างขึ้น และภาษีมีความสลับซับซ้อนน้อยลง เช่น เรามีระบบของการส่งเสริมการลงทุน จึงกลายเป็นว่า คนที่ได้รับยกเว้นภาษีก็ได้รับยกเว้นเลย ส่วนคนที่ไม่ได้รับการส่งเสริมก็เสียภาษีในอัตราที่ค่อนข้างสูง ดังนั้นจึงต้องพิจารณาทั้งเรื่องภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและจะเกี่ยวโยงไปถึงภาษีในส่วนอื่นๆ เช่น ภาษีสรรพสามิต ภาษีศุลกากร ภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งอยู่ในขั้นตอนของการศึกษา ทั้งนี้ตนได้หารือกับนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมาอย่างต่อเนื่อง และคิดว่ายังไม่น่าจะได้ข้อยุติโดยเร็ว ยังต้องใช้เวลาอยู่
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีการเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax - VAT) อีก 1 เปอร์เซ็นต์ตามที่มีการศึกษาหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยังไม่มีการขึ้นภาษี ในเวลานี้ยังไม่มีความจำเป็น เพราะอยู่ในช่วงกำลังประคับประคองการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ดังนั้นคงยังไม่มีการเพิ่มขึ้น เพียงแต่เป็นข้อเท็จจริงคือภาษีมูลค่าเพิ่ม 7 เปอร์เซ็นต์ในขณะนี้ตอนเริ่มต้นระบุว่าจะใช้ชั่วคราว แต่ก็ใช้มา 11 ปีแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า ตลอดอายุรัฐบาลจะไม่แตะเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในปีหน้า ตนเห็นว่าจะยังไม่ปรับเพิ่ม รวมทั้งต้องดูทิศทางการปรับเปลี่ยนโครงสร้างภาษีทั้งหมดก่อน
และเมื่อถามว่า การปรับภาษีเป็นไปเพื่อรองรับระบบสวัสดิการที่รัฐบาลกำลังดำเนินการหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การปรับโครงสร้างภาษีมีหลายส่วน เพราะมีทั้งเรื่องท้องถิ่นด้วย เหมือนภาษีที่ดินที่ไม่ได้ทำเฉพาะเรื่องการกระจายการถือครองที่ดิน หรือเพื่อความเป็นธรรมเท่านั้น แต่จะต้องดูโครงสร้างในแง่ของรายได้ท้องถิ่นเทียบกับรายได้ส่วนกลางด้วย ดังนั้นจึงมีหลายประเด็นที่จะต้องศึกษา ให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง เช่น เรื่องการเปิดการค้าเสรี เรื่องภาษีบาปที่ถูกนำมาใช้เป็นระบบกึ่งนอกงบประมาณ ทั้งนี้จากการหารือกับ รมว.คลังคงต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าครึ่งปี
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวถามว่า การปรับโครงสร้างภาษีสอดรับกับทิศทางเรื่องการสร้างสวัสดิการจึงจำเป็นต้องสร้างระบบภาษี นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่ใช่ เพราะอย่างที่ตนเคยระบุแล้วว่า มาตรการที่ออกไป และไปวิพากษ์วิจารณ์กันมากว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานะทางการคลังก็จะเห็นได้ชัดว่าที่บริหารมาฐานะทางการคลังดีกว่าที่มีการประมาณการไว้ และค่าใช้จ่ายขณะนี้จะมีการคำนวณล่วงหน้าแล้ว และเมื่อมีข้อมูลเรื่องสำมะโนประชากรที่แม่นยำมากขึ้น ก็จะยิ่งเตรียมการได้ดียิ่งขึ้น
"ยืนยันว่าถึงอย่างไรเราก็ต้องเดินทางไปสู่สังคมที่คนไทยทุกคนมีหลักประกันความมั่นคง แต่คงไม่ใช่ในลักษณะที่รับเพียงอย่างเดียว และแนวที่รัฐบาลจัดทำเรื่องกองทุนเงินออมเป็นตัวอย่างที่บ่งชี้อย่างดีที่สุดว่า เราไม่ได้คิดที่จะให้อย่างเดียว แต่ต้องการให้ประชาชนได้มีส่วนร่วม และบางเรื่องที่รัฐบาลดำเนินการ ซึ่งบางครั้งก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ด้านหนึ่ง แต่ก็ถูกมองข้าม อาทิ กรณีภาษีน้ำมัน ซึ่งอาจจะเป็นต้นทุน แต่หากเทียบกับสากล แนวโน้มมีแต่จะเก็บมากขึ้น เพราะมีเรื่องสิ่งแวดล้อมเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้นจึงมีหลายเรื่อง ไม่ได้เฉพาะเจาะจงในลักษณะที่ว่าจะเพิ่มสวัสดิการแล้วจะต้องเพิ่มภาษี แต่เราดูในเชิงโครงสร้าง ความเป็นธรรม ลดความสลับซับซ้อนเพื่อจะเพิ่มหรือขยายฐานภาษีให้คนเสียภาษีถูกต้องมากขึ้น และลดช่องว่างการทุจริตของเจ้าหน้าที่ด้วย" นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ไม่ได้นำเรื่องประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น มาเป็นตัวตั้งในการปรับเพิ่มภาษี แต่ใช้โครงสร้างที่จะเอื้อให้เศรษฐกิจไทยแข่งขันได้ และเพียงพอที่จะมีบริการพื้นฐาน ซึ่งเวลานี้เราคำนวณตัวเลขอยู่ ในโครงสร้างปัจจุบันก็ไม่ได้มีปัญหา เพียงแต่เห็นว่าน่าจะทำให้ดียิ่งขึ้น และเป็นธรรมมากขึ้น
“ได้สอบถาม รมว.คลังเป็นระยะ ๆ ก็มีความคืบหน้าไปพอสมควร จึงอาจจะน่าได้ข้อสรุปประมาณสิ้นปี ซึ่งเมื่อดำเนินการเสร็จก็ต้องมาศึกษาดูขั้นตอนที่จะทำในแต่ละเรื่องว่าจะต้องดำเนินการเรื่องอะไรก่อนหรือหลัง รวมทั้งจะต้องแก้ไขกฎหมายอย่างไร”