คนไทยตั้งสติฝ่าวิกฤตด้วยแสงธรรม “ว.วชิรเมธี” เสนอ 5 แนวทาง นำชาติสู่สันติสุขอย่างยั่งยืน
ผ่านบันทึกบทความบนเฟซบุ๊ค ย้ำคนไทยทุกภาคส่วนร่วมหาทางออก-ร่วมสร้าง “มาตรการสร้างสรรค์สังคมไทยให้สันติสุข” พร้อมเสนอคนไทย ร่วมวางวิสัยทัศน์ชาติเฉพาะหน้าให้ชัดเจน ทำการบังคับใช้กม.ให้ศักดิ์สิทธิ์ หยุดใช้ความรุนแรง และเปิดเวทีเจราจาร่วม
วันนี้ (20 พ.ค.) เมื่อเวลา 01.19 น. ผู้จัดทำเฟซบุ๊ค "ว.วชิรเมธี (W.Vajiramedhi)" ได้เสนอบทความบันทึกธรรม เรื่อง "ฝ่าความมืดด้วยแสงไฟ ฝ่าวิกฤติเมืองไทยด้วยแสงธรรม" โดยพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว.วชิรเมธี) เพื่อเตือนสติคนไทยทั้งปวงร่วมฟันฝ่าวิกฤติชาติในครั้งนี้ โดยระบุว่าเพื่อคืนสันติสุขกลับสู่สังคมไทยอีกครั้งอย่างยั่งยืน คนไทยควรร่วมกันแสวงหาทางออกจากวิกฤตครั้งนี้ ร่วมช่วยกันสร้าง “มาตรการสร้างสรรค์สังคมไทยให้สันติสุข” จากทุกภาคส่วน
โดยบทความนี้ พระมหาวุฒิชัย ได้เสนอแนวทางคนไทยร่วมสร้างประเทศ ดังนี้ 1. ให้กำหนดวิสัยทัศน์เฉพาะหน้าของประเทศให้ชัดเจนโดยมุ่งเน้น “การนำประเทศไทยกลับคืนสู่ภาวะปกติให้เร็วที่สุด” 2.บังคับใช้กฎหมายให้ศักดิ์สิทธิ์เพื่อก้าวข้ามสภาวะ “อนาธิปไตย” 3.หยุดการใช้ความรุนแรงแล้วเปิดเวทีกลางเพื่อหาทางเจรจาร่วมกันระหว่างรัฐและผู้ชุมนุม 4.ก่อตั้งสมัชชาปฏิรูประเทศไทยเพื่อเร่งเยียวยาและหาทางออกให้กับประเทศให้รวดเร็ว แต่อย่างยั่งยืนที่สุด และ 5. ฟื้นฟูขวัญและกำลังใจของคนไทยด้วยการจัด “บายศรีสู่ขวัญประเทศไทย” ณ ใจกลางสถานที่ชุมนุมเดิม เช่น แยกราชประสงค์ หรือสถานที่อื่นใด
"ฝ่าความมืดด้วยแสงไฟ ฝ่าวิกฤติเมืองไทยด้วยแสงธรรม"
โดย พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว.วชิรเมธี)
เพื่อคืนสันติสุขกลับสู่สังคมไทยอีกครั้งอย่างยั่งยืน เราคนไทยควรร่วมกันแสวงหาทางออกจากวิกฤตครั้งนี้ร่วมกัน โดยช่วยกันสร้าง “มาตรการสร้างสรรค์สังคมไทยให้สันติสุข” จากทุกภาคส่วน เช่น
1. กำหนดวิสัยทัศน์เฉพาะหน้าของประเทศให้ชัดเจนโดยเน้นไปที่ “การนำประเทศไทยกลับคืนสู่ภาวะปกติให้เร็วที่สุด”
การชุมนุมอย่างยืดเยื้อยาวนานและการเข้าแก้ปัญหาของภาครัฐอย่างเด็ดขาดที่ผ่านมาทำให้ความขัดแย้งลุกลามออกไปกลายเป็นการเผาบ้านเผาเมือง มีคนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก แต่อย่างไรก็ตาม นั่นก็เป็นสิ่งสุดวิสัยที่เกิดขึ้นมาแล้ว ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะกล่าวโทษกันอีก
สิ่งที่ควรทำต่อจากนี้ก็คือ คนไทยต้องร่วมกันกำหนดวิสัยทัศน์แห่งชาติว่า เราจะต้องร่วมกันนำพาประเทศไทยกลับคืนสู่ภาวะปกติให้เร็วที่สุด เพราะยิ่งปล่อยให้ยืดเยื้อออกไป ความเสียหายที่ประมาณไม่ได้ก็จะยิ่งทวีคูณออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ขืนชักช้าก็จะเป็นการเปิดช่องให้กับองค์กรต่างประเทศเข้ามาเป็น “หุ้นส่วน” ในการดับวิกฤติและนั่นย่อมไม่เป็นผลดีต่อประเทศไทย เพราะประเทศไทยจะกลายเป็น “รัฐที่ล้มเหลว” ในสายตาของชาวโลก และไม่สามารถบริหารจัดการประเทศของตัวเองได้อย่างเสรีเช่นเดิม ซึ่งนั่นย่อมหมายถึงประเทศไทยที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นประเทศไทยที่มีทหารของยูเอ็นกระจายอยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่ง ใครๆ ก็คงไม่อยากเห็นเมืองไทยตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น
ทุกวันนี้ เราแค่มี “การเมืองที่ล้มเหลว” ซึ่งนับว่ายังพอเยียวยาได้ แต่ถ้าทิ้งยืดเยื้อออกไปจนกลายเป็น “รัฐที่ล้มเหลว” ก็เท่ากับว่า ประเทศไทย คนไทย หมดสิ้นปัญญาอย่างสิ้นเชิงที่จะดูแลตัวเอง ซึ่งหากการณ์เป็นเช่นนั้น ก็นับเป็นความอัปยศร่วมกันของคนทั้งชาติ
2. บังคับใช้กฎหมายให้ศักดิ์สิทธิ์เพื่อก้าวข้ามสภาวะ “อนาธิปไตย”
การลุกลามของปัญหามากมายในห้วงเวลาที่ผ่านมานั้นมาจากสาเหตุสำคัญประการหนึ่งก็คือ การบังคับใช้กฎหมายอย่างหละหลวมมาอย่างยาวนาน ส่งผลให้ “กระบวนการนอกประชาธิปไตย” ในรูปแบบต่างๆ ก่อตัวขึ้นอย่างเข้มแข็ง และปฏิบัติการท้าทายกฎหมายบ้านเมืองอย่างต่อเนื่องยาวนานหลายกลุ่ม หลายกระบวนการ หลายสีเสื้อ จนกระทั่ง เจ้าหน้าที่รัฐเองไม่กล้าแม้แต่จะทักท้วง หรือไม่อาจหยัดยืนที่จะบังคับใช้กฎหมายให้ศักดิ์สิทธิ์เอากลับกลุ่มใด ผลก็คือ ประเทศเข้าสู่สภาวะ “อนาธิปไตย” ที่กฎหมายไม่มีผลในทางปฏิบัติ บ้านเมืองไร้ขื่อแป สภาวะเช่นนี้ ควรจะเป็นบทเรียนสำคัญที่คนไทยต้องเรียนรู้ร่วมกันว่า ในอนาคตจะต้องไม่มีปฏิบัติการนอกกฎหมายเช่นนี้เกิดขึ้นอีก
การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้น ประชาชนทุกคนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยร่วมกัน ดังนั้น ทุกคนจึงมีสิทธิเสรีภาพในด้านต่างๆ อย่างสมบูรณ์ภายใต้ข้อตกลงร่วมกันที่ว่า “เสรีภาพภายใต้กรอบของกฎหมาย” แต่ถ้าหากกฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์ เสรีภาพที่มี ก็จะกลายเป็นเสรีที่จะทำอะไรก็ได้ ไม่เว้นแม้แต่เสรีที่จะทำร้ายประเทศชาติบ้านเมืองอันเป็นที่รักยิ่งของตนเองมาก่อน
ถ้ากฎหมายศักดิ์สิทธิ์ เสรีภาพจะต้องไม่เกินกรอบของกฎหมาย ทำอย่างไร เราจะร่วมกันสร้างวัฒนธรรมการเคารพกฎหมายให้เป็นวิถีชีวิตของคนไทย และทำอย่างไรเราจะทำให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างศักดิ์สิทธิ์เสมอภาคกันในทุกกาลเทศะ คำว่า “สองมาตรฐาน” จะต้องหมดไป ไม่ปล่อยให้กลายเป็นเงื่อนไขที่ถูกหยิบยกขึ้นมาทำร้ายคนไทยด้วยกันอีก นี่เป็นโจทย์ใหญ่อีกข้อหนึ่งที่คนไทยทั้งหมดจะต้องตอบร่วมกัน เพราะหากสังคมไม่มีกฎหมายเป็นหลักประกันในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ความวุ่นวายจากกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ก็จะเกิดขึ้นไม่สิ้นสุด และเมื่อคุมกันไม่อยู่ ผลสุดท้ายก็จะลงเอยด้วยเลือดและน้ำตาซ้ำซากประเทศไทยจะจมอยู่แต่ฉากเดิมๆ กับตัวละครเดิมๆ ไม่มีวันก้าวกระโดดออกมาจากวิกฤติอย่างยั่งยืน
3. หยุดการใช้ความรุนแรงแล้วเปิดเวทีกลางเพื่อหาทางเจรจาร่วมกันระหว่างรัฐและผู้ชุมนุม
ที่ประเทศแอฟริกาใต้เมื่อหลายสิบปีมาแล้ว เคยเกิดสงครามกลางเมืองระหว่างชนผิวดำเจ้าของประเทศและผู้กุมอำนาจรัฐซึ่งเป็นฝรั่งผิวขาว ในสงครามกลางเมืองคราวนั้น ผู้นำทางการเมืองชาวแอฟริกาใต้คือเนลสัน แมนเดลา ใช้วิธีการแบบกองโจรในการเข้าปล้นอำนาจรัฐคืน ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ไม่เพียงจะไม่ประสบความสำเร็จเท่านั้น สงครามกลางเมืองยังนำไปสู่การบาดเจ็บล้มตายของประชาชนดั่งใบไม้ร่วง ตัวเขาและมิตรสหายก็กลายเป็นอาชญากรที่รัฐประกาศจับ ต้องมีชีวิตอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ เป็นเวลายาวนาน ยิ่งรบยิ่งมองไม่เห็นทางชนะ ยิ่งสู้ยิ่งเข้าตาจน สูญทั้งเงิน สูญทั้งชีวิต ยิ่งใช้วิธีการจรยุทธสันติภาพยิ่งห่างออกไปทุกที
เวลาต่อมาแมนเดลาถูกผู้กุมอำนาจรัฐจับไปขัง และเป็นการขังลืมยาวนานกว่า 27 ปี วันเวลาอันยาวนานในคุก ทำให้เนลสัน แมนเดลา สรุปบทเรียนว่า “ความรุนแรงไม่ใช่คำตอบ” ดังนั้น พอถึงวันที่เขาได้รับอภัยโทษ แมนเดลาจึงเกิดการเรียนรู้ครั้งใหญ่ว่า “มีแต่สันติวิธีเท่านั้นที่จะทำให้สันติภาพกลับคืนสู่แอฟริกาใต้อีกครั้ง” ด้วย “ธงแห่งสันติวิธี” ที่เขาปักลงไปในใจของตัวเองและในใจของเพื่อนร่วมชาติ ในที่สุดจึงนำไปสู่การเจรจาระหว่างตัวเขาและประธานาธิบดีในขณะนั้น ผลก็คือ ทั้งสองฝ่ายสามารถร่วมกันยุติสงครามกลางเมืองได้สำเร็จ จนได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพร่วมกันทั้งคู่ และที่น่ายินดียิ่งไปกว่านั้นก็คือ ทั้งเนลสัน แมนเดลาและเดอเคลิก ประธานาธิบดีผู้กุมอำนาจรัฐซึ่งเป็นสองผู้นำคนสำคัญที่ขับเคี่ยวกันมานานได้เปลี่ยนความสัมพันธ์จากศัตรูกลายเป็นวีรบุรุษแห่งสันติภาพของประเทศ บทเรียนแห่งชีวิตของแมนเดลา เป็นกรณีศึกษาสำหรับประเทศที่เข้าสู่สงครามกลางเมืองอีกมากมายทั่วโลก ประเทศไทยเอง ก็ควรได้รับอานิสงส์จากบทเรียนของแมนเดลาด้วยเช่นเดียวกัน
ขอให้เราคนไทยเลือก “การเจรจา” เป็นเครื่องมือยุติสงครามกลางเมือง เพราะหากเราเลือกสงคราม ก็มีแต่สงครามต่อไปไม่จบสิ้นเหมือนที่พระพุทธองค์ตรัสว่า “ผู้แพ้ย่อมนอนเป็นทุกข์ ส่วนผู้ชนะย่อมก่อเวร” หรือเหมือนที่ มหาตมะ คานธี กล่าวว่า “หากใช้ตาต่อตา ก็จะตาบอด และหากใช้ฟันต่อฟันก็จะฟันหักกันหมด”
4. ก่อตั้งสมัชชาปฏิรูประเทศไทยเพื่อเร่งเยียวยาและหาทางออกให้กับประเทศให้รวดเร็ว แต่อย่างยั่งยืนที่สุด
มีการพูดกันมากว่า ควรก่อตั้งสมัชชาปฏิรูปประเทศไทยเพื่อหาทางที่จะเยียวยาประเทศไทยหลังวิกฤติ นี่เป็นแนวคิดที่ดี และควรเร่งทำอย่างยิ่ง แต่มีข้อที่ควรพิจารณาอย่างหนึ่งก็คือ ไม่ควรจะให้สมัชชาปฏิรูปนี้มีวัฒนธรรมการทำงานในแบบราชการคือ แทนที่จะเป็นองค์กรเพื่อการเปลี่ยนแปลง กลับเป็นองค์กรประชุม ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อที่จะ “ประชุม” และ “นัดประชุม” ทว่าไม่มีผลอย่างไรในแง่ที่เป็นรูปธรรม ประเทศไทยไม่มีเวลามากพอสำหรับการทำงานฟื้นฟูบูรณะแบบเช้าชามเย็นชาม หรือแบบ “ความสามัคคีก็ดีอยู่ แต่ต้องมีกูเป็นหัวหน้า” การตั้งสมัชชาปฏิรูปประเทศไทย จึงต้องใช้วัฒนธรรมพิเศษที่รวดเร็ว ก้าวข้ามทิฐิมานะของคณะกรรมการ และมุ่งสัมฤทธิผลมากกว่ามุ่งเอกสารและการประชุม
อนึ่ง มีข้อที่ควรสังเกตไว้อย่างหนึ่งก็คือ โรดแมปการปฏิรูปประเทศไทยเท่าที่มองเห็นในขณะนี้ หลายฝ่ายมุ่งไปที่การปฏิรูปโครงสร้างเชิงระบบที่เน้น “กายภาพ” ของปัญหาแทบทั้งนั้น ต่างพากันมองข้าม “มิติทางด้านจิตวิญญาณ” เช่น เรื่องค่านิยม ระบบความเชื่อความคิด และวัฒนธรรมบางอย่าง (นิสัยเห็นแก่ตัว ไม่เกรงกลัวกฎหมาย ไม่สนใจปัญหาสังคม คอรัปชั่นจนเป็นวัฒนธรรม เป็นต้น) ที่นำพาประเทศไทยมาติดตันอยู่ในความขัดแย้งกันไปสิ้น
ดังนั้น คณะกรรมการที่จะตั้งขึ้นมาจึงไม่ควรมองข้ามการปฏิรูปประเทศไทยในระดับทิฐิ หรือระดับจิตวิญญาณด้วย เพราะจากบทเรียนที่ผ่านมา เราปฏิรูปกันมาแล้วหลายครั้ง เราสร้างระบบที่เชื่อกันว่าดีที่สุด (อย่าง รธน.ปี 2540) แต่แล้ว ปัญหาเดิมๆ กลับยังคงอยู่ นั่นเป็นเพราะว่า เราปฏิรูประบบ แต่วิธีคิด ค่านิยม วัฒนธรรมเดิมๆ ที่เป็นตัวปัญหาของชาติ ยังไม่เคยได้รับการปฏิรูปเสียที ย้ำชัดๆ ว่า หากเราไม่ปฏิรูปปกระบวนทัศน์ของคนไทย หรือจิตสำนึกของคนไทย (เช่น ค่านิยมอันตรายที่ว่า โกงก็ได้ แต่ขอให้แบ่งกัน) การปฏิรูปครั้งใหม่ก็จะทำให้เกิดวิกฤติครั้งใหม่ที่ไม่ต่างไปจากทุกครั้งเท่านั้นเอง
5. ฟื้นฟูขวัญและกำลังใจของคนไทยด้วยการจัด “บายศรีสู่ขวัญประเทศไทย” ณ ใจกลางสถานที่ชุมนุมเดิม (เช่น แยกราชประสงค์ หรือสถานที่อื่นใด)
สงครามกลางเมืองครั้งประวัติศาสตร์คราวนี้ เป็นสิ่งที่ทำให้ขวัญและกำลังใจของคนไทยตกต่ำย่ำแย่อย่างชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อนดังนั้น จึงควรมีการฟื้นฟูบูรณะขวัญและกำลังใจของคนไทยให้ฟื้นคืนมาเหมือนดังเดิมด้วยการสร้างขวัญและกำลังใจขึ้นมาใหม่ด้วยการทำบุญประเทศในรูปแบบต่างๆ ซึ่งในที่นี้ขอเสนอให้มีการ “บายศรีสู่ขวัญประเทศไทย” เพื่อเรียกขวัญและกำลังใจของคนไทยกลับคืนมาพร้อมทั้งจัดการ “เจริญพระพุทธมนต์” และประพรมน้ำ พระพุทธมนต์ทั่วกรุงเทพฯ
โดยเชิญทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับสงครามกลางเมืองหรือหุ้นส่วนของความขัดแย้งทุกกลุ่มมาร่วมในพิธีนี้ ซึ่งจะมีนัยะสำคัญอย่างน้อยสามประการ กล่าวคือ (1) เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ (2) เพื่อทำบุญประเทศครั้งใหญ่เหมือนในสมัยพุทธกาลที่พอวิกฤติโรคร้ายสร่างซา พระพุทธองค์โปรดให้พระอานนท์ไปประพรมน้ำพระพุทธมนต์เพื่อสร้างกำลังใจให้แก่ประชาชนชื่นใจ (3) เพื่อสร้าง “อภัยวิถี” คือ วิธีการให้อภัย (ภาวะที่ไม่น่ากลัว) แก่กันและกันระหว่างผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย พร้อมทั้งเป็นการส่งสัญญาณต่อประชาคมโลกว่า ประเทศไทยกลับคืนสู่สันติภาพและเป็นปกติสุขแล้ว
เราทุกคนคือหุ้นส่วนประเทศไทย ประเทศไทยจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับเราคนไทยทุกคน อย่าปล่อยให้ประเทศไทย อยู่ในกำมือของนักการเมืองเพียงฝ่ายเดียวเหมือนที่ผ่านมา เราต้องกล้าที่จะร่วมกันลุกขึ้นมาเปลี่ยนประเทศไทย เวลานี้ เราพูดกันมากว่า ประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิม คำกล่าวนี้คงไม่ผิด แต่คำว่า “ไม่เหมือนเดิม” ต้องหมายถึง ไม่เหมือนเดิมในทิศทางที่ดีขึ้น ไม่ใช่ไม่เหมือนเดิมในทิศทางที่แย่ลงกว่าเดิม ประเทศไทยวันพรุ่งนี้ ต้องดีกว่าวันนี้ นี่คือ สิ่งที่เราทุกคนต้องร่วมกันสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้นให้ได้ในเร็ววัน
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก
http://www.facebook.com/notes/wwchir-methi-wvajiramedhi/fa-khwam-mud-dwy-saeng-fi-fa-wikvti-meuxng-thiy-dwy-saeng-thrrm/391615266853
www.oknation.net