พลังงานเดินหน้าแผนกรีนดีเซล ดีเดย์ 1 มิ.ย.53 ใช้ดีเซล B3 ทั่วประเทศ
ก.พลังงานเริ่มบังคับใช้ดีเซล B3 ทุกปั๊มน้ำมันทั่วประเทศ เพื่อสนับสนุนการใช้พลังงานทดแทน รองรับเป้าหมายการใช้น้ำมันไบโอดีเซลเพียงเกรดเดียวภายในปี 2554 คาดลดพึ่งพานำเข้าปีละ 1.4 หมื่นล้าน ขณะที่ผู้ผลิตรถยนต์ 13 ค่าย การันตี B3 ไม่มีผลต่อเครื่องยนต์อย่างแน่นอน
นายแพทย์วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2553 เป็นต้นไป กระทรวงพลังงานเริ่มบังคับน้ำมันดีเซลที่มีส่วนผสมของไบโอดีเซล 3% (B3) เป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา แทนการใช้น้ำมันดีเซล B2 เพื่อสนับสนุนการใช้พลังงานทดแทน เพราะปัจจุบันปริมาณผลผลิตปาล์มน้ำมันที่ใช้เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตไบโอดีเซลมีปริมาณเพียงพอต่อการปรับอัตราส่วนผสมไบโอดีเซลจาก B2 เป็น B3
รมว.พลังงาน กล่าวว่า การเพิ่มส่วนผสมของไบโอดีเซลเป็น 3% ดังกล่าวนอกจากจะเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรแก้ไขปัญหาราคาปาล์มตกต่ำแล้ว ยังช่วยลดการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศได้เพิ่มขึ้น ซึ่งเดิมการใช้น้ำมัน B2 และ B5 มีส่วนช่วยลดการนำเข้าได้ปีละ 1.2 หมื่นล้านบาท แต่หากเพิ่มสัดส่วนการใช้ไบโอดีเซลเป็น 3% จะส่งผลให้ไทยลดการนำเข้าได้เพิ่มเป็นปีละ 1.4 หมื่นล้านบาท
“สถานีบริการน้ำมันทุกแห่งมีความพร้อมที่จะรองรับน้ำมันดีเซล B3 เพื่อจำหน่ายให้กับผู้บริโภคทั่วประเทศ อีกทั้งผู้บริโภคยังมั่นใจได้ว่าการใช้ B3 จะไม่ส่งผลกระทบต่อเครื่องยนต์แต่อย่างใด เพราะผู้ผลิตรถยนต์ค่ายต่างๆ 13 ค่ายได้ให้คำยืนยันว่า B3 ไม่มีผลต่อเครื่องยนต์อย่างแน่นอน”
นายแพทย์วรรณรัตน์ กล่าวด้วยว่า เพื่อเป็นการจูงใจให้ผู้บริโภคหันมาใช้พลังงานทางเลือกมากขึ้น โครงสร้างราคาน้ำมัน B3 จะลดการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจาก 85 สตางค์ต่อลิตร เหลือ 65 สตางค์ต่อลิตร และสำหรับ B5 เดิมกองทุนน้ำมันฯจะชดเชยให้ 80 สตางค์ต่อลิตรก็จะลดเหลือ 50 สตางค์ต่อลิตร โดยให้ส่วนต่างราคาขายปลีกระหว่าง B3 กับ B5 แคบลงจากเดิมที่ต่างกัน 1.20บาทต่อลิตร เหลือ 90 สตางค์ต่อลิตร ซึ่งทำให้ราคาขายปลีกน้ำมัน B3 ลดลง 30 สตางค์ต่อลิตร เพื่อเป็นการรองรับการบังคับใช้ไบโอดีเซลเกรดเดียวในปี 2554 ตามเป้าหมายการใช้ไบโอดีเซลเพื่อทดแทนน้ำมันดีเซลในแผนพัฒนาพลังงานทดแทน 15 ปี (พ.ศ. 2551 – 2565)