นำร่องเทศบาลหัวหิน แปรรูปขยะพลาสติกแห่งแรกของประเทศ
![](/images/stories/thaireform/news_Mar10/0303533.jpg)
เมื่อเร็วๆ นี้ นายแพทย์วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานในพิธีการลงนามในบันทึกความร่วมมือระหว่าง เทศบาลเมืองหัวหิน โดยนายจิระ พงษ์ไพบูลย์ นายกเทศมนตรีเมืองหัวหิน บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) โดยนายวิเชียร อุษณาโชติ รองกรรมการผู้จัดการ และบริษัท ซิงเกิ้ล พอยท์ เอ็นเนอยี่ แอนด์ เอ็นไวรอนเมนท์ จำกัด (SPEE) โดย นางสันติวิภา พานิชกุล กรรมการบริหาร เพื่อจัดส่งน้ำมันดิบแปรรูปจากขยะพลาสติกให้กับโรงกลั่นน้ำมันบางจากฯ พร้อมทั้งทำพิธีปล่อยรถน้ำมันคันแรกจากการแปรรูปขยะพลาสติกจำนวน 30,000 ลิตรส่งไปจำหน่ายยังโรงกลั่นน้ำมันบางจาก เพื่อกลั่นเป็นน้ำมันสำเร็จรูปที่มีคุณภาพสูงจำหน่ายเชิงพาณิชย์
รมว.พลังงาน กล่าวว่า ประเทศไทยนำเข้าพลังงานคิดเป็นมูลค่าเกือบ 800,000 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา การพัฒนาพลังงานทดแทนเป็นนโยบายสำคัญ วันนี้เราได้ค้นพบขุมทรัพย์ทางพลังงานที่เกิดขึ้นทุกหนทุกแห่งในประเทศไทย ได้แก่บ่อขยะ ซึ่งเป็นบ่อน้ำมันที่เรามองไม่เห็น แต่เราสามารถพิสูจน์ให้เห็นได้แล้วว่า ขยะพลาสติกแปรรูปเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีคุณค่าได้จริง และจะเป็นพลังงานส่วนหนึ่งที่ช่วยลดการนำเข้าพลังงานให้กับประเทศได้เป็นอย่างดี
“ประเทศไทยนับว่าโชคดีมาก เพราะนอกจากจะมีพืชเศรษฐกิจที่เป็นพืชผลิตพลังงาน ได้แก่ อ้อย มันสำปะหลัง ปาล์ม สบู่ดำ เป็นต้นแล้ว เรายังได้ค้นพบขุมทรัพย์ทางด้านพลังงานที่เกิดขึ้นทุกหนทุกแห่ง การนำพลาสติกแปรรูปเป็นน้ำมันนับเป็นทางเลือกใหม่ในการจัดการขยะให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและเกิดผลคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ โดยกระทรวงพลังงานได้ให้ความสำคัญ ส่งเสริมด้วยการประกันราคาขายผ่านโรงกลั่นน้ำมันทุกแห่งที่ราคา 18 บาท/ลิตร เพิ่มจากราคาน้ำมันดิบดูไบ”
สำหรับเขตเทศบาลเมืองหัวหิน นับว่าเป็นแห่งแรกของประเทศไทยและแห่งแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สามารถผลิตน้ำมันดิบจากขยะได้จนประสบความสำเร็จ และพบว่าศักยภาพของพื้นที่มีบ่อขยะฝังกลบทั้งสิ้นประมาณ 300,000 ตัน แบ่งเป็นขยะพลาสติกประมาณ 30,000 ตัน และยังมีขยะที่เกิดขึ้นใหม่อีกวันละ 100 ตัน ดังนั้น จึงมีศักยภาพเพียงพอที่จะผลิตน้ำมันดิบได้ ซึ่งขยะพลาสติก 30,000 ตันนี้ สามารถผลิตน้ำมันดิบได้ 140,000 บาร์เรล
นายแพทย์วรรณรัตน์ กล่าวด้วยว่า ในอนาคตมีเป้าหมายพัฒนาการวิจัยและผลิตเพื่อพัฒนาน้ำมันดิบจากพื้นที่แห่งนี้ต่อยอดสู่การผลิตเป็นน้ำมันดีเซลแบบครบวงจร อันจะทำให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชนท้องถิ่นทุกภาคส่วน ท้องถิ่นที่อยู่ห่างไกล เช่น เกาะต่างๆ ชาวประมง เกษตรกร จะได้ประโยชน์จากโครงการนี้เป็นอย่างมาก
“ ข้อมูลการสำรวจ พบว่า ประเทศไทยมีขยะฝังกลบอยู่ทั่วประเทศประมาณ 50 ล้านตันต่อปี ในจำนวนนี้เป็นขยะพลาสติก 10% หรือ 5 ล้านตันต่อปี หากสามารถนำมาผลิตเป็นน้ำมันดิบได้จะมีปริมาณมากถึง 23.58 ล้านบาร์เรลต่อปี จะสามารถลดการนำเข้าน้ำมันดิบคิดเป็นมูลค่า 56,520 ล้านบาท/ปี ซึ่งในส่วนนี้ยังไม่รวมขยะที่เกิดขึ้นใหม่อีกประมาณ 15 ล้านตันต่อปี โดยขยะ 6-10 ตันสามารถผลิตเป็นน้ำมันดิบได้ 28-47 บาร์เรล (4,500-7,500ลิตร)”
ด้านนางสันติวิภา พานิชกุล กรรมการบริหาร บ.SPEE กล่าวว่า ขยะเป็นวิกฤต แต่เราสามารถนำ Science & Technology มาพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้ Polymer Energy Technology เป็นทิศทางใหม่ที่จะทำให้เราทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมได้ ถ้าจำเป็นต้องใช้พลาสติก อย่ารู้สึกผิด แต่เราควรแยกไว้มาทำน้ำมัน เป็นการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง และยังเป็นการลดการขุดน้ำมันจากธรรมชาติ ซึ่งมีเหลืออยู่น้อยเต็มทีแล้วสำหรับอนุชนรุ่นหลัง
ทั้งนี้ โครงการแปรรูปขยะพลาสติก ณ เทศบาลเมืองหัวหิน เป็นโครงการนำร่องที่ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงพลังงาน โครงการเริ่มติดตั้ง/ทดสอบเครื่องจักรเสร็จสิ้นเมื่อปลายปี 2552 และได้เริ่มทดลองผลิตเต็มกำลัง ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา กำลังการผลิต 6 ตันต่อวัน โดยมีผลผลิตเป็นน้ำมัน 4,500 ลิตร หรือปีละประมาณ 1,350,000 ลิตรต่อปี