ขอเวลา 2 ปีชำระสะสางสภาพพื้นที่ป่า-การเข้าไปทำกินของปชช.
อภิสิทธิ์ เผยในรายการเชื่อมั่นฯ รัฐบาลอนุมัติโครงการใช้เงินกองทุนสิ่งแวดล้อมเข้าไปชำระสะสางเรื่องของสภาพพื้นที่ป่าและการเข้าไปทำกินของประชาชนอย่างเป็นระบบ ใช้เวลา 2 ปี ขีดเส้นกันให้ชัดเจน ส่วนการจัดทำโฉนดชุมชน สัปดาห์หน้ามีการจัดประชุมสมัชชาอีกครั้ง
วันนี้ (20 มิ.ย.) เมื่อเวลา 09.00 น. ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” เป็นครั้งที่ 73 ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย
นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงการทำงานในการแก้ไขปัญหาของพี่น้องประชาชน ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่าน ทั้งการเร่งให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์สำรวจการเลื่อนทำนาปี การเข้าไปช่วยเหลือในเรื่องของอาชีพเสริม ให้กับเกษตรกรที่ไม่สามารถทำนาปรังได้ ส่วนการแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับภาครัฐในเรื่องที่ทำกินที่ถือว่าเป็นปัญหาเรื้อรังก็มีความคืบหน้า มีการประชุมกับทางสมัชชาเครือข่ายปฏิรูปที่ดิน และได้หยิบยกพื้นที่มา 6-7 พื้นที่ จนสามารถคลี่คลายไปได้ระดับหนึ่ง แต่ปัญหายังไม่หมดไป ขณะเดียวกันหลายเรื่องก็มีทิศทางที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นที่จะแก้ไขปัญหาอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขอความร่วมมือจากหน่วยงานต่าง ๆ ให้ได้มีการผ่อนปรนเพื่อที่จะสามารถเอื้ออำนวยต่อการที่จะแก้ไขปัญหาร่วมกันได้
“แนวคิดเรื่องโฉนดที่ดินก็เป็นที่ยอมรับมากขึ้น มีหลายพื้นที่ซึ่งขณะนี้ก็จะเข้าสู่ความพร้อมในการที่จะจัดทำโฉนดชุมชน ซึ่งระเบียบได้ออกมาแล้ว ก็จะมีการจัดประชุมสมัชชาอีกครั้งหนึ่งในสัปดาห์หน้า และคาดว่าในเร็ว ๆ นี้จะเริ่มแจกโฉนดชุมชนได้ในหลายพื้นที่ จะเป็นการแก้ไขปัญหาในเรื่องของที่ทำกิน”
ส่วนเรื่องของที่อยู่อาศัย ปัญหาที่ค้างคากันมานานในเรื่องของความถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องของบ้านมั่นคง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อาจจะมีลักษณะของที่หรือการเว้นระยะห่าง การก่อสร้างต่าง ๆ ยังไม่สอดคล้องกับกฎหมายควบคุมอาคาร เรื่องนี้ทางกระทรวงมหาดไทยได้จัดประชุมไปเมื่อวันศุกร์เพื่อที่จะคลี่คลายออกระเบียบต่าง ๆ เพื่อที่จะให้พี่น้องซึ่งเข้าไปอาศัยอยู่ในโครงการบ้านมั่นคง มีการแก้ไขปัญหาในเรื่องของที่อยู่อาศัยแล้วกลับมาเจอปัญหาในเรื่องของข้อกฎหมาย ไม่สามารถที่จะขอออกเลขบ้านได้บ้าง ไม่สามารถขอน้ำขอไฟได้บ้าง ตรงนี้ก็จะได้มีการปรับแก้กฎกระทรวงต่าง ๆ เพื่อที่จะคลี่คลายปัญหาต่าง ๆ ตรงนี้ไปให้เรียบร้อย
นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงการแก้ปัญหาสภาพพื้นที่ป่าและเข้าไปทำกินของประชาชนอย่างเป็นระบบว่า จะใช้เวลาในช่วง 2 ปีข้างหน้าในการที่จะชำระสะสางในเรื่องนี้ เพราะว่าที่ผ่านมาจะมีภาพถ่ายทางอากาศ ภาพถ่ายทางดาวเทียม ทั้งก่อนและหลังประกาศเขตพื้นที่ป่าสงวน แต่ปรากฏว่ามีความไม่ตรงกัน มีความคลาดเคลื่อน ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง รัฐบาลได้อนุมัติโครงการใช้เงินจากกองทุนสิ่งแวดล้อม เข้าไปทำในเรื่องนี้ ใช้เวลา 2 ปีในการที่จะมาขีดเส้นกันให้ชัดเจนไปว่าที่สุดแล้วเขตป่าที่ถูกต้องเป็นอย่างไร พี่น้องประชาชนที่ทำกินอยู่นั้นเข้าไปก่อนหรือเข้าไปหลัง ซึ่งถ้าเข้าไปก่อนการประกาศเขตป่านั้นก็จะชัดเจนว่า จะมีสิทธิ์ในการที่จะได้เอกสารสิทธิ์ ส่วนที่เข้าไปหลังจากโครงการนี้ ก็จะทราบข้อเท็จจริงว่าเข้าไปหลังนั้นเข้าไปประมาณปีไหน อย่างไร และจากนั้นจะมีการนำเสนอไปสู่การแก้ไขปัญหาที่เหมาะสมกับแต่ละสภาพพื้นที่ต่อไป
2 -3 เดือนแรกเข้มข้นรวบรวมประเด็นปฏิรูปฯ
ช่วงที่ 2 นายวรรณสิงห์ ประเสริฐกุล ผู้ดำเนินรายการ ถามนายกรัฐมนตรีถึงความหมายของคำว่า ปฏิรูป โดยนายกรัฐมตรี กล่าวว่า คำว่าปฏิรูปเป็นประเด็นหนึ่งซึ่งจะนำไปสู่การปรองดอง เพราะความขัดแย้งที่ผ่านมาเกิดจากความเหลื่อมล้ำที่เป็นจริง ความรู้สึกของความเหลื่อมล้ำ มีปัญหาเชิงโครงสร้างของความไม่เป็นธรรมในสังคมหลายอย่าง ไม่สามารถแก้ไขได้โดยการบอกว่า มีนโยบาย มีมาตรการ ดังนั้นจึงถึงเวลาที่จะต้องมาชำระสะสางกันในลักษณะของการทำเป็นโครงสร้าง ทำให้เป็นระบบ
“หลักสำคัญก็คือว่า ปัญหาที่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรมทั้งหมดนี้ หรือว่าปัญหาที่กระทบกับชีวิตความเป็นอยู่ของคน ทำให้มีความรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อย ตัวเองด้อยโอกาสอยู่ที่ไหนบ้างนี้ เราก็จะระดมมาทั้งหมด รัฐบาลก็ทำไปตามนโยบายของรัฐบาลด้วย รวมทั้งการเอื้ออำนวยความสะดวก การตั้งสำนักงานขึ้นมา การไปจัดทำการสำรวจระดับชาติ โดยสำนักงานสถิติฯ ลงไปแล้วเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา จะเก็บ 100,000 ตัวอย่างอย่างนี้เป็นต้น”
นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงเครือข่ายภาคประชาชนที่กำลังขับเคลื่อนงานอย่างเป็นอิสระ ทำงานผ่าน สสส. ซึ่งเป็นองค์กรดูแลเรื่องของสุขภาวะ คณะกรรมการสุขภาพ ซึ่งมีสมัชชาสุขภาพอยู่ แล้วก็ยังมีสภาพัฒน์ฯ ออกไปรับฟังความคิดเห็น เนื่องจากจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ อยู่แล้ว
“เราคาดหวังว่า 2 -3 เดือนแรกจะเข้มข้นในเรื่องของการรวบรวมประเด็นต่าง ๆ ภายใน 6 เดือนจะมีการจัดทำแผนออกมา ว่าจะต้องทำอะไรบ้าง ทำอะไรก่อน-หลัง ทำแล้วต้องใช้เงินงบประมาณหรือระดมกำลังอะไรต่าง ๆ จากที่ไหนอย่างไร แต่ต้องย้ำว่า เราคงไม่มาทำในลักษณะที่ต้องรอ สำรวจความคิดเห็นเสร็จ มีแผนแล้ว ไม่ใช่ หากมีประเด็นเห็นชัดเจนว่า สามารถแก้ไขได้เลย เราก็จะเดินหน้า”
สำหรับแผนปรองดอง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในภาพรวมก็จะมีคณะกรรมการที่มาดูเรื่องของข้อเท็จจริง มีศ.ดร.คณิต ณ นคร เป็นประธาน มีกลไกที่มาดูเรื่องสื่อ ขณะนี้ยังไม่ได้มีตัวกรรมการ แต่ว่าได้มอบหมายไปทางคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ไปทำงานร่วมกับทางวิชาชีพสื่อ ซึ่งกำลังจะเสนอกลับมาว่า จะตั้งในรูปแบบไหนอย่างไร การปฏิรูปฯ จะมีนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ศ.นพ.ประเวศ วะสี และนายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม กำลังจะไปดูรูปแบบ เรื่องของการเมืองก็ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ เข้ามาดูในเรื่องกติกาการเมือง เรื่องกฎหมายต่าง ๆ เป็นคณะกรรมการอีกชุดหนึ่ง และอาจจะมีประเด็นอื่น ๆ อีก เช่น เรื่องปฏิรูปตำรวจ เรื่องอื่น ๆ ก็จะตามมา
“เวลานี้สังคมมีความแตกแยกกันค่อนข้างที่จะลึกมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พอเอ่ยชื่อคนนั้นคนนี้มาก็มีข้อสงสัย มีความหวาดระแวง เราต้องให้คนเหล่านี้ทำงาน ถ้าเกิดว่าการทำงานของกรรมการชุดต่าง ๆ ทำไป 2 เดือน 3 เดือน เห็นได้ชัดว่าไม่สนใจความทุกข์ร้อนของคนกลุ่มนี้ ก็จะชัดเจนออกมาเองว่าต้องแก้ไขแล้ว แต่ว่าถ้าหากเขาทำงานแล้วพยายามจะแก้ไขนี้ คิดว่าวันนี้ทุกฝ่ายควรที่จะเข้ามามีส่วนร่วม เราไม่ได้มาแก้ปัญหาปรองดองกับคนกลุ่มเล็ก ๆ แต่กำลังจะทำในเรื่องของการแก้ปัญหาให้กับทุกคน ไม่ว่าเขาจะมีความคิดเห็นทางการเมืองอย่างไร”