‘หมอวิชัย’ เตือนคนไทยมีสติ อย่าใจร้อน-ผลีผลาม เร่งรบ.หักดิบปิดเกมแดง
เมื่อเร็วๆ นี้ นพ.วิชัย โชควิวัฒน รองประธานคณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) คนที่ 2 และสมาชิกเครือข่ายสถาบันทางปัญญา กล่าวกับศูนย์ข้อมูลข่าวสารปฏิรูปประเทศไทยถึงสถานการณ์ภาวะสงครามกลางเมืองในสังคมไทยว่า อยากให้ทุกฝ่ายอย่าใจร้อน ผลีผลามเข้าไปเร่งหักดิบสถานการณ์จนเกินไป พร้อมเชื่อว่า ความรุนแรงและเหตุการณ์ที่เผชิญหน้ากันอยู่ย่อมต้องมีเลิกลาเป็นอนิจจัง แม้สงครามโลกครั้งแรกที่รบกัน 4 ปี หรือครั้งที่สองรบกัน 6 ปีก็ต้องเลิกรา วันนี้ก็เช่นเดียวกัน ต้องปล่อยให้เหตุการณ์จบลงตามสภาพของตัวมันเอง ควรให้รัฐบาลได้แก้ตามครรลองของรัฐบาล และก็เชื่อว่าทั้งสองฝ่ายก็พยายามเจรจากันอยู่แต่เราอาจจะไม่รู้ก็ได้
สำหรับหนทางที่จะคลี่คลายและยุติปัญหาการเข่นฆ่ากันได้นั้น นพ.วิชัย กล่าวว่า ทุกฝ่ายควรใจเย็นๆ อย่าเร่งรัฐบาลมากเกินไป คอยติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เวลานี้คนไทยต้องตั้งสติ อดทน อย่าใจร้อน ต้องยึดหลักสันติ ความถูกต้อง เมตตา ประชาชนต้องไม่ยั่วยุ ส่งเสริม ผลักดัน กดดันให้เกิดการใช้ความรุนแรงในการปราบผู้ชุมนุม ต้องส่งเสริมแนวทางสันติ แยกแยะการแก้ปัญหาให้ออก และต้องไม่ยอมรับข้อเรียกร้องที่ไม่ถูกต้อง ไม่สมเหตุสมผล ถ้าอดทนในขณะนี้ได้ก็จะทำให้ได้สันติระยะยาว ที่ผ่านมาทั่วโลกไม่เคยมีตัวอย่างว่าใช้ความรุนแรงดับความรุนแรงได้ เนื่องจากความรุนแรงต้องดับด้วยสันติ การแก้ปัญหาต้องใช้ความเข้าใจและเห็นใจ หากใช้ความเกลียดชังก็จะแก้ไม่ได้ และถ้าคนไทยจะรวมกลุ่มกันออกมาแก้ปัญหาก็ทำได้ แต่ต้องเป็นพลังไปในการส่งเสริมให้ใช้สันติแก้ปัญหา
นพ.วิชัย กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมารัฐบาล กองทัพ และตำรวจก็ใจเย็นไม่เร่งรีบปราบปราม พยายามตีกรอบจำกัดพื้นที่ ปิดไม่ให้คนเข้าไปสมทบ ตัดทางส่งเสบียง และทุนน้ำเลี้ยง ก็เห็นว่ามาถูกทางแล้ว ดังนั้นรัฐบาลต้องหาความลงตัวพอดีไม่ปราบด้วยวิธีรุนแรงเกินกว่าเหตุ พยายามใช้อาวุธเท่าที่จำเป็น ใช้สติปัญญาแก้ไขให้ตรงเหตุ ตีกรอบให้ฝ่ายที่ใช้ความรุนแรงลดบทบาทลงเรื่อยๆ จำกัดความเสียหายและการตายให้ได้ ชนวนความรุนแรงที่จะยืดเยื้อก็จะลดลง ขณะเดียวกันรัฐบาลก็ไม่ทำอะไรเลยก็ไม่ได้เช่นกัน
ส่วนกรณีที่ประชาชนรู้สึกเดือดร้อนกับเหตุการณ์ชุมนุมนี้ สมาชิกเครือข่ายสถาบันทางปัญญา กล่าวว่า เชื่อว่ามีจำนวนไม่น้อยที่อยากให้รัฐใช้ความรุนแรงปราบปรามเด็ดขาด แต่ต้องถามกลับด้วยว่า หากใช้วิธีนี้แล้วเหตุการณ์จะจบหรือไม่ ซึ่งไม่จบแน่จะเหมือนผึ้งแตกรังเกิดความสูญเสียมากมาย คนอีกส่วนก็จะไม่ยอมรับ มีแต่จะรุนแรงบานปลาย ยืดเยื้อและแก้ได้ยากขึ้นอีก สุดท้ายรัฐบาลจะอยู่ต่อไปไม่ได้ด้วย ฉะนั้นหากอยากให้จบเร็วก็ต้องเร่งจัดการแบบช้าๆ แก้ด้วยสติและปัญญา อย่าผลีผลาม ต้องวิเคราะห์ให้รู้เหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นจริงๆ จากนั้นแก้ให้ตรงกับเหตุ
สมาชิกเครือข่ายสถาบันทางปัญญา กล่าวอีกว่า ต้องยอมรับว่าผู้ชุมนุมที่ยืนหยัดอยู่ถึงเวลานี้ได้ เชื่อว่าส่วนใหญ่ย่อมไม่ใช่ที่จะถูกซื้อหรือถูกหลอกชักจูงมาได้ หากมวลชนได้เปลี่ยนแปลงไปในเชิงคุณภาพมากขึ้น ล้วนตระหนักว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรมและยุติธรรมมายาวนานประกอบกับไม่มีอะไรจะสูญเสีย อีกทั้งเมื่อได้รับข้อมูลข่าวสารรูปแบบนี้ก็โดนใจด้วยระยะเวลาเดือนกว่าที่ชุมนุมใหญ่มาและที่ผ่านมา จนหล่อหลอมเป็นอุดมการณ์ความเชื่อมั่นที่จะสู้ต่อไป ทำให้กระสุนปืนไม่สามารถทำลายคนเหล่านี้ได้ เหมือนกับที่คาร์ลมาร์กซ์ กล่าวว่า ชนชั้นกรรมาชีพไม่มีอะไรจะสูญเสียนอกจากโซ่ตรวน
“อย่าลืมว่าคนกรุงเทพในพื้นที่ชุมนุม พื้นที่ปะทะเดือดร้อนด้วยเวลาเท่านี้ แต่คนที่มาชุมนุมนั้นเดือดร้อนมาหลายชั่วอายุคนตั้งแต่บรรพบุรุษ ในอดีตคนเหล่านี้ได้รับความเป็นธรรมในการบังคับใช้กฎหมาย การเข้าถึงที่ทำกินมากน้อยเพียงใด การพัฒนาที่ผ่านมาสิ่งที่เติบใหญ่คือเขตเมือง ไม่ใช่เขตชนบท ช่องว่างก็มีแต่มากขึ้นจนหล่อหลวมปัญหา เพราะฉะนั้นประชาชนส่วนใหญ่ต้องยอมรับ เข้าใจ และเห็นใจสิ่งเหล่านี้ด้วย”
เมื่อถามว่า ขณะนี้เรียกว่ามิคสัญญี แล้วหรือไม่ นพ.วิชัย กล่าวว่า สถานการณ์ยังไม่ถึงขั้นที่คนไทยจะเข่นฆ่ากันราวเช่นผักปลา การเข่นฆ่ากันตอนนี้ยังไม่เหมือนกับในอินเดียที่เคยขัดแย้งกันทางศาสนาแล้วฆ่ากันราวผักปลา ประเทศไทยยังคงใช้ความรุนแรงอยู่ในขอบเขตที่จำกัด และยังมีเป้าหมายโดยไม่ไร้เหตุผลในการใช้ความรุนแรงเหตุครั้งนี้เริ่มจากกลุ่มที่ได้ตั้งเป้าหมายประสงค์ไว้ชัดเจนอยู่แล้ว เมื่อกลุ่มนั้นยังไม่บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวก็ทำให้ต้องต่อสู้อยู่เพื่อให้ได้มา ฝ่ายรัฐบาลก็ไม่สามารถยอมเงื่อนไขเรียกร้องของผู้ชุมนุมได้และเมื่อทั้งสองฝ่ายไม่สามารถหาข้อยุติร่วมได้จึงทำให้ต้องต่อสู้ยันกันอยู่เช่นขณะนี้
นพ.วิชัย กล่าวด้วยว่า การเรียกร้องกลุ่มผู้ชุมนุมครั้งนี้ไม่ใช่การเรียกร้องโดยสันติ เป็นการเรียกร้องคู่ขนานการดำเนินการ 2 ด้าน คือ ด้านการใช้ความรุนแรงและใช้อาวุธ หรือการก่อการร้าย ประกอบกับด้านการดำเนินการทางการเมือง และเชื่อในแนวทางแก้ว 3 ประการที่พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก เคยพูดถึง สิ่งที่เกิดความรุนแรงขึ้นเป็นวัตถุประสงค์ของการชุมนุมเรียกร้อง เห็นได้จากความเคลื่อนไหวใน 3 ลักษณะ ลักษณะการชุมนุมเรียกร้อง ความรุนแรง และการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่เกิดขึ้นอย่างไรก็ตามเชื่อว่าวันนี้ความเป็นรัฐไทยยังไม่ล้มเหลวตามที่ถูกกล่าวหา