ส.ว.รสนาเปรียบสังคมไทยเหมือนหญิงท้องแก่ใกล้คลอดระวังแท้ง
ชี้ถึงเวลาปฏิรูปสังคมปฏิรูปประเทศไทย หยิบวาระของคนจนขึ้นมา ด้าน “สุริชัย หวันแก้ว” ระบุ ผ่าทางตันประเทศไทยวันนี้ แก้ไม่ได้ด้วยการร้องเพลงรักกันไว้เถิด และไม่อาจแก้ได้ด้วยการปิดโฆษณา จวกไร้ประโยชน์รบ.ขอพท.ชุมนุมคืน ย้ำต้องมุ่ง “ขอพท.หัวใจ”คนไทยด้วยกันคืนด้วย ส่วนดร.สมคิด ปลอบคนไทยอย่าเพิ่งสิ้นหวัง มีทางออกแค่ไม่มีคนตัดสินใจ
เมื่อวันที่ 24 เม.ย.ที่ผ่านมา สถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย ร่วมกับ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต และคณะผู้เข้าอบรมหลักสูตรผู้บริหารการสื่อสารมวลชนระดับสูง (บสส.) รุ่นที่ 2 จัดสัมมนาวิชาการ เรื่อง "ผ่าทางตัน เพื่อการปฏิรูปประเทศไทย" ณ หอประชุมรักตะกนิษฐ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต โดยมีรศ.สุริชัย หวันแก้ว, ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ และนางรสนา โตสิตระกูล ร่วมสัมมนา
รศ.สุริชัย หวันแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอดีตสภานิติบัญญัติแห่งชาติ กล่าวว่า ทางตันวันนี้ไม่ใช่แค่เกมการเมือง แต่เป็นชีวิตประชาชนทุกคนที่เสี่ยงอยู่ในความอันตรายกลางกรุงเทพฯ อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในสังคมไทย ปัญหาเช่นนี้แก้ไม่ได้ด้วยการร้องเพลงรักกันไว้เถิด หรือไม่อาจแก้ได้ด้วยการปิดโฆษณา ฉะนั้น วันนี้ เราต้องแยกสถานการณ์ออกจากวิกฤตการณ์ให้ได้ เพราะวันนี้สังคมไทยเป็นวิกฤตการณ์สังคมที่เต็มไปด้วยความโกรธ ความเกลียด ที่อยู่นอกเหนือการควบคุม ใครจะประกันอะไรได้บ้างว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์ร้ายอีก
“ผมคิดว่า สถานการณ์วันนี้มีแนวโน้มเกิดเหตุร้ายซ้ำซาก และมีคนตายโดยไม่รู้เรื่อง มากกว่าตัวเลขที่คิดเป็นเงิน ฉะนั้น สถานการณ์ซ้ำซากท่ามกลางวิกฤตการณ์ที่เราหาทางไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้เอง ใครก็ตามที่เสนอให้ปิดเกมด้วยการจัดการสถานการณ์เพียงพื้นที่เดียว ผมว่าไม่เกิดประโยชน์ เพราะเป็นการปิดเกมในเชิงปฏิบัติการ แต่ไม่สามารถปิดเกมในทางประชาธิปไตยได้ ฉะนั้นเราต้องแยกสถานการณ์ออกจากวิกฤตการณ์ ได้อย่างไร ทุกฝ่ายต้องช่วยกันคิด”
อดีตสภานิติบัญญัติแห่งชาติ กล่าวว่า สังคมไทยจะพูดถึงทางออกประเทศไม่ได้เลย ถ้ายังคงอยู่ในวงจรของความดักดานนี้ ซึ่งสังคมไทยต้องไม่อนุญาตให้ใครก็ตามเล่นเกมในอำนาจเพียงเพื่อแพ้ชนะกัน หรือใคร ได้หน้า เสียหน้า ไม่ได้ แต่สังคมไทยต้องกดดันให้เล่นเกมที่มีจริยธรรมของการอยู่ร่วมกันในสังคมด้วย เนื่องจากขณะนี้สถานการณ์อยู่ในอิทธิฤทธิ์ของความโกรธเกลียดกัน
“ในสถานการณ์เช่นนี้ ภาวะผู้นำที่จะออกทางตันการเมือง เป็นเรื่องสำคัญมาก การตื่นตัวของภาคสังคม การตื่นตัวของคนที่ห่วงใยชีวิตที่สูญเสียไป การตื่นตัวของนักศึกษา จิตใจของคนที่ไม่ได้เพราะเสื้อแดงหรือสีอะไรก็ตาม แต่ทำเพราะไม่อยากให้สังคมไทยซ้ำซากกับการนองเลือดที่ไร้ความชอบธรรม ฉะนั้น เราคงจะต้องพิจารณาว่า ผู้นำในการแก้ไขเรื่องเหล่านี้ คงไม่อาจรอให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำ แต่ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน การขอพื้นที่ทางกายภาพของการชุมนุมคืนนั้นไม่สำคัญเท่าการขอพื้นที่ทางหัวใจของคนไทยด้วยกันคืน ตรรกะการพูดถึงเรื่องพื้นที่นี้ต้องพูดถึงพื้นที่การร่วมทุกข์กัน ไม่เช่นนั้นอย่าหวังผ่าทางตันร่วมกันได้ ดังนั้นจะทำอย่างไรในการสร้างพื้นที่กลางร่วมกันที่ทำให้รู้สึกถึงตรงนี้ และเราจะผ่าทางตันร่วมกันไปเพื่อคุณค่าอะไร ขั้นต่ำของคุณค่านั้นคือเราต้องช่วยกันรักษาชีวิตของคน”รศ.สุริชัย กล่าว
ผอ.ศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้งฯ กล่าวด้วยว่า บ้านเมืองต้องเป็นนิติรัฐ นิติรัฐที่ต้องไม่มืดบอดต่อวิกฤตการณ์ทางสังคมด้วย นิติรัฐต้องอยู่บนฐานความเข้าใจทางสังคมด้วย ไม่ใช่ผลเพียงการเมือง วันนี้สังคมไทยมีกรรมร่วมกันแล้ว ต้องร่วมกัน นิติรัฐที่มืดบอดที่ไม่สนใจวิกฤตทางสังคมนั้นอันตรายมาก จะนำไปสู่มิคสัญญี รัฐบาลมีหน้าที่และความรับผิดชอบโดยตรงที่จะถอดสลักความขัดแย้งขณะนี้ และฝ่ายแกนนำนปช.ก็ด้วยเช่นกัน ทั้งสองฝ่ายต้องสร้างทางออกร่วมกันโดยไม่เกี่ยงงอนกัน
ส่วนดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า สังคมไทยไม่ได้ตีบตันทางออก แต่ไม่มีคนที่ตัดสินใจที่หาทางออก ไม่ว่าจะเป็นการยุบสภา การสลายการชุมนุม โดยที่ผู้ชุมนุมสลายเองหรือรัฐบาลและทหารใช้กำลังเข้าสลาย หรืออยู่อดทนกันไปเรื่อยๆ หรือการแยกตัวออกของพรรคร่วมรัฐบาล รวมทั้งการคิดเรื่องรัฐประหาร ซึ่งเป็นต้นทุนที่สูงมาก ทั้งหมดล้วนเป็นทางออกได้ เพียงแต่ฝ่ายที่ประจันหน้ากันอยู่อาจไม่คิดว่าทางตันของเขา แต่เป็นทางตันของประชาชน เขาจึงยังไม่ตัดสินใจ
“ผมคิดว่าทางออกมี ขึ้นกับว่าฝ่ายทั้งหลายที่ประจันหน้ากันอยู่นี้ คิดถึงประโยชน์ของประเทศหรือไม่ ถ้าทุกคนเอาประโยชน์ของประเทศชาติเป็นตัวตั้ง ไม่ใช่ประโยชน์ตัวเองเป็นตัวตั้ง โอกาสถอยคนละก้าวก็มี “
ดร.สมคิด กล่าวถึงทางออกเรื่องการถอยคนละก้าวแล้วเจรจาน่าจะมีความไปได้ แต่คนที่จะไปบอกให้ทั้งสองฝ่ายเจรจากันได้ต้องมีบารมี ฉะนั้นถ้ากลุ่มเสื้อแดงถอนตัวจากแยกราชประสงค์ ไปอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล แล้วรัฐบาลยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินที่ราชประสงค์และไม่ประกาศพ.ร.ก. ฉุกเฉินที่ทำเนียบฯ ผมคิดว่าบรรยากาศจะดีขึ้น จากนั้นก็ขึ้นอยู่กับการต่อรองเจรจากันว่าโอกาสยุบสภาเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน
“ถ้าไม่มีอะไรเลย อย่าหวังว่าเขาจะเจรจา ล่าสุดทางออกที่คนกรุงเทพฯเริ่มพูดดังขึ้นคือ รัฐบาลน่าจะจัดการเคลียร์ม็อบให้เสร็จสิ้น ทางออกนี้เป็นทางหนึ่งในหลายทางออก แต่อาจจะมีการเสียชีวิตและบาดเจ็บ แต่คนจำนวนหนึ่งก็รู้สึกว่าเป็นราคาที่ต้องจ่ายเพื่อความสงบสุขในบ้านเมือง หรือการรัฐประหาร แต่ก็เป็นทางออกหนึ่งที่มีค่าใช้จ่ายราคาแพงมาก มีคนเล่าให้ผมฟังถึงทางออกหนึ่งว่า มีการเตรียมการทำรัฐประหาร เกณฑ์คนร่างรัฐธรรมนูญไว้เรียบร้อยแล้ว นี่ก็เป็นทางออกหนึ่งที่มีค่าใช้จ่ายราคาแพงมาก ดังตัวอย่างล่าสุด คือ การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549”
ดร.สมคิด กล่าวอีกว่า วันนี้ รัฐบาลและกลุ่มเสื้อแดงเอง ต่างพยายามหาทางออกให้กับทั้งสองฝ่าย เสื้อแดงก็เคลื่อนไหวยากขึ้น เพราะถูกทหารและตำรวจล้อมอยู่ในที่แคบ เคลื่อนไปไหนไม่ได้เหมือนก่อน ถ้าจะเคลื่อนออกจากราชประสงค์ก็เจอปัญหาพอสมควร เพราะคนกรุงเทพฯเริ่มรับไม่ได้ หรือรัฐบาลแต่เดิมคาดว่าจะใช้กำลัง แต่วันนี้ก็เปลี่ยนท่าทีด้วยหลายปัจจัย
“ถามว่าเสื้อแดงพยายามหรือไม่ ผมคิดว่าก็พยายามลง การนัดพบเอกอัครราชฑูตต่างชาติ การพยายามเสนอทางออก 30 วัน ส่วนรัฐบาลเอง ความกดดันรัฐบาลน้อยลง จากเดิมทีที่ดูเหมือนกดดันว่าจะต้องใช้กำลัง ทหารก็ต้องการ เพราะเขาเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ศรีไปพอสมควร นายทหารระดับสูงตาย แต่ปัจจัยหนึ่ง ไม่แน่ใจว่าศาลมาช่วยรัฐบาลหรือเปล่า ห้ามรัฐบาลใช้กำลัง แต่จริงๆ เนื้อหาที่ศาลบอกไม่ใช่อย่างนั้น ศาลบอกว่าใช้ได้ แต่ต้องเป็นไปตามขั้นตอน แต่ข่าวที่ออกมา สื่อเองทำให้คนเข้าใจผิด เพราะข่าวบอกว่า ห้ามใช้กำลัง ห้ามปราบ ไม่ใช่เนื้อหาของศาล แต่รัฐบาลก็ได้โอกาสจากการที่สื่อประโคมแบบนี้ ผลก็คือ เดิมทีรัฐบาลถูกกดดันโดยคนกรุงเทพฯ ว่าต้องรีบจัดการม็อบเสื้อแดง แต่วันนี้รัฐบาล ก็บอกว่าศาลไม่ให้ทำ อยู่เฉยๆ ดูเชิงไปเรื่อยๆ ฉะนั้นถึงบอกว่า การอยู่เฉยๆ ไปเรื่อยๆ เป็นทางออกหนึ่งของสังคม “
ดร.สมคิด กล่าวต่ออีกว่า คนไทยอย่าพึ่งไปสิ้นหวัง สิ่งที่คนไทยส่วนใหญ่ทำได้ คือเรียกร้องให้เขาเหล่านี้ตัดสินใจหาทางออก และต้องมีคนแรกที่ต้องตัดสินใจหาทางออก โดยต้องมีข้อเสนอที่น่าสนใจ ขณะที่ข้อเสนอของเสื้อแดงยุบสภาภายใน 30 วันเป็นไปไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึง เป็นเพียงข้อเสนอเพื่อให้ได้เปรียบทางการเมือง แต่ไม่ได้เสนอเพื่อให้ได้ข้อยุติในทางการเมือง และถ้าเสื้อแดงเสนอยุบภายใน 3 เดือน อาจเป็นไปได้
ด้านนางรสนา โตสิตระกูล ส.ว.สรรหา กรุงเทพฯ กล่าวถึงทางตันของสังคมไทยวันนี้คือ ความเหลื่อมล้ำทางสังคม ที่คนเสื้อแดงเสนอ เป็นข้อเท็จจริงประการหนึ่ง ทำให้คนจนที่ไม่มีโอกาสทางการเมือง ไม่สามารถเข้าถึงโอกาสในการพัฒนา เมื่อเกิดความไม่เท่าเทียม จึงทำให้เกิดกระบวนการต่อสู้ภาคประชาชนเพื่อเข้าสู่โอกาสให้ตนเองและสังคมได้รับความเป็นธรรม โดยมีรัฐธรรมนูญเป็นสัญลักษณ์ แต่การชุมนุมของแกนนำเสื้อแดงเรียกร้องวันนี้เรื่องยุบสภา เป็นเพียงจุดเปิดเท่านั้น ไม่ใช่ข้อเรียกร้องที่สมเหตุสมผล
“การชุมนุมของคนเสื้อแดง เหมือนคนอยู่ในรถเมล์คันเดียวกัน แต่ต้องการลงป้ายต่างกัน ชาวบ้านที่มาชุมนุมต้องการลงป้ายที่ขอให้เขามีสิทธิ์มีเสียงให้เกิดความเป็นธรรม แต่ป้ายลงยุบสภาของแกนนำ ไม่เกี่ยวกับการแก้ปัญหาความการแก้ไขความยากจน ฉะนั้นในรถคันนี้มีความต้องการที่หลากหลาย การเรียกร้องของเสื้อแดง ที่ไม่สมเหตุสมผล เพียงพอต่อการที่สังคมทั้งหมดจะเห็นพ้องด้วย”
นางรสนา ยังกล่าวว่า ถ้าม็อบยังไม่ยอมเลิกชุมนุม อยากเสนอให้สังคมไทยทำประชามติ เพื่อสอบถามความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศว่าต้องการอะไร และควรยุบสภาหรือไม่ ขณะนี้มีคนที่คิดแตกต่างกันมากมาย ถ้าไม่ทำอย่างนี้ เราก็เจอการล้มกระดานอยู่ร่ำไป เหมือนคนเล่นฟุตบอลแพ้ เกมจบ แต่คนไม่จบ ฉะนั้น ประชาธิปไตย คือระบบที่กลับมาหาจุดที่ว่าเราจะอยู่ร่วมกันยังไงในความแตกต่าง
“เวลานี้ต้องปฏิรูปสังคมกันใหม่ ขณะนี้สังคมไทยเหมือนหญิงท้องแก่กำลังจะคลอดการเมืองภาคพลเมือง ซึ่งถูกกดทับจากการเมืองภาคตัวแทนมาตลอด หญิงท้องแก่ต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดความรุนแรงเพราะอาจแท้งได้ แล้วสังคมจะได้สิ่งใหม่ที่สวยงาม รัฐบาลต้องทำให้เห็นแนวทางแก้ปัญหาให้คนจนที่เป็นรูปธรรม เช่น การปฏิรูปที่ดิน ฯลฯ เพื่อทำให้การเมืองภาคพลเมืองเข้มแข็ง ไม่ต้องไปพึ่งพาการเมืองภาคตัวแทนแบบนั้น ถึงเวลาปฏิรูปสังคมปฏิรูปประเทศไทยวาระของคนจนต้องถูกหยิบยกขึ้นมา”ส.ว.สรรหา กล่าว และว่า สื่อมวลชนในวันนี้ยังไม่ได้สะท้อนหน้าที่ช่วยลดความรุนแรงของสถานการณ์ ยังคงเสนอภาพที่ทำให้สถานการณ์รุนแรงขึ้น ขณะนี้สื่อคิดว่าตนเหมือนท่อประปาที่ค่อยส่งน้ำทั้งดีและเสีย ซึ่งต้องเลิกคิดแบบนี้ แต่สื่อต้องพิจารณาตัวเองว่ามีเครื่องกรองด้วยหรือไม่ สื่อต้องทำให้น้ำที่ถูกส่งไม่มีเชื้อโรค ต้องพิจารณาตัวเองในส่วนนี้ด้วยว่ามีตัวกรองที่ดีแล้วหรือไม่ในการส่งข้อมูลออกไป อย่าคิดเพียงเป็นท่อประปาที่ส่งน้ำออกไปเท่านั้น
ทั้งนี้สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตได้ สำรวจความคิดเห็นของประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ ต่อวิธีการที่ประชาชนเห็นว่าจะสามารถฝ่าวิกฤตหรือผ่าทางตันเพื่อการปฏิรูปประเทศไทยในสถานการณ์ปัจจุบันได้ จำนวนทั้งสิ้น 1,269 คน ระหว่างวันที่ 22-23 เม.ย. 2553 พบว่า วิธีการที่ประชาชนเห็นว่าจะผ่าทางตันสถานการณ์ปัจจุบันได้ โดยเห็นด้วยกับการเจรจาเพื่อหาข้อยุติทั้งสองฝ่าย หรือร่วมกันสร้างกฎเกณฑ์ที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับได้มากที่สุดในเป็นอันดับแรก คิดเป็น 27.48% อันดับ 2 เห็นด้วยกับการยุบสภาเลือกตั้งใหม่หรือคืนอำนาจให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน 19.95% อันดับ 3 ดำเนินการสลายการชุมนุมขั้นเด็ดขาด 12.94% อันดับ 4 จับกุมแกนนำหรือผู้กระทำผิดมาดำเนินการหรือจัดการกับบุคคลที่เป็นปัญหา 8.69%
อันดับ 5 ดำเนินการกับกลุ่มผู้ชุมนุมตามกฎหมาย แต่ต้องไม่ใช้ความรุนแรง 8.05% อันดับ 6 ระดมความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน เพื่อหาทางเลือกที่ดีที่สุดและสังคมยอมรับได้ 7.77% อันดับ 7 แก้ไขรัฐธรรมนูญบางมาตราที่มีปัญหา 5.13% อันดับ 8 เดินหน้าบริหารประเทศต่อไปหรือมีความจริงใจในการแก้ปัญหา เป็นธรรมและโปร่งใส 3.85% อันดับ 9 จัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ หรือ รัฐบาลกลางมาบริหารประเทศ 3.21% และอันดับ 10 ให้จัดทีมจิตวิทยาหรือกลุ่มผู้ที่เป็นกลางลงพื้นที่พบปะพูดคุยกับผู้ชุมนุม 2.93%