วุฒิสภาพร้อมหน้า ประชุมหาแนวทางแก้วิกฤติบ้านเมือง
หวั่นสถานการณ์ความรุนแรงเพิ่มจนกลายเป็นสงครามกลางเมือง วอนรัฐบาลปกป้องประเทศชาติและสถาบันหลักด้วยการบังใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ส.ว มณเฑียร เชื่อแนวทางสันติ และการเจรจาเป็นทางออกที่ดีที่สุด
ผู้สื่อข่าวรายงานวันนี้ (19 เม.ย.) ว่า ที่รัฐสภา มีการประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ 22 (สมัยสามัญทั่วไป) หนึ่งในนั้นมีญัตติ เรื่องขอให้เรียกประชุมวุฒิสภาเป็นกรณีพิเศษเป็นการด่วนที่สุดเพื่อพิจารณาหารือร่วมกันในการแสวงหาแนวทางแก้ไขปัญหาสถานการณ์ของประเทศในปัจจุบัน ซึ่งก่อนเข้าสู่วาระการประชุม นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ได้เปิดให้สมาชิกหารือ มี ส.ว.หลายคนลุกขึ้นหารือถึงสถานการณ์บ้านเมือง
นายเจตน์ ศิรธรานนท์ สมาชิกวุฒิสภา กล่าวถึงสถานการณ์ความไม่สงบเรียบร้อยที่เกิดขึ้นในขณะนี้ว่า มีความเป็นได้ที่สถานการณ์จะพัฒนาจนกลายเป็นสงครามกลางเมืองในอนาคต เนื่องจากกลุ่มผู้ชุมนุมมีการรณรงค์ให้มีการโค่นระบอบอำมาตยาธิปไตยหรือระบบอำมาตย์ ซึ่งขณะนี้ก็ยังไม่สามารถตีความได้ว่าระบอบอำมาตยาธิปไตยนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมหมายถึงบุคคลใด ดังนั้นขณะนี้จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องพิทักษ์ความมั่นคงและพิทักษ์สถาบันที่มีอยู่ในประเทศ โดยการบังคับใช้กฎมายอย่างเคร่งครัด ก่อนที่จะดำเนินการด้วยวิธีการทางการเมืองต่อไปในอนาคต
ด้านพล.ร.อ.สุรศักดิ์ ศรีอรุณ สมาชิกวุฒิสภา กล่าวหารือในระหว่างการประชุมวุฒิสภาเกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่เรียบร้อยที่เกิดขึ้นในสังคมไทยในขณะนี้ว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้บานปลายจนส่งผลเสียหายต่อประเทศเป็นอย่างมาก โดยจนถึงขณะนี้ตนมีความวิตกกังวลเป็นอย่างยิ่งว่าเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตจะมีความรุนแรงมากกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 เมษายน ที่ผ่านมา เพราะการกระทำและคำพูดที่เกิดขึ้นในสังคมในขณะนี้ล้วนแต่เป็นการกระทำที่ส่อเค้าของความรุนแรงทั้งสิ้น ทั้งนี้ ได้แสดงความมั่นใจในการทำงานของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) และการทำงานของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.
ส่วนกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริง พล.ร.อ.สุรศักดิ์ กล่าวว่า ทางกลุ่มผู้ชุมนุมก็อาจจะเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อความโปร่งใส ซึ่งก็เป็นสิ่งที่สามารถดำเนินการได้ ประการสำคัญรัฐบาลควรเร่งดำเนินการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่กำลังได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์ไม่สงบเรียบร้อยเป็นกรณีเร่งด่วน
ขณะที่นายมณเฑียร บุญตัน สมาชิกวุฒิสภา กล่าวถึงเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารและกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อวันที่ 10 เมษายน ที่ผ่านมาว่า ตนขอแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเห็นว่ารัฐบาลจะต้องเร่งดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ที่ยิงปืนใส่ประชาชนและเจ้าหน้าที่ทหารอย่างเคร่งครัด เนื่องเหตุการณ์ดังกล่าวกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ อย่างไรก็ตามแนวทางการแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองนั้น ตนเชื่อว่าแนวทางสันติ และการเจรจาเป็นทางออกที่ดีที่สุด โดยการเจรจาควรเป็นการเจรจาในระดับพหุภาคีที่เปิดโอกาสให้ภาคประชาสังคม นักวิชาการ หรือแม้กระทั่งกลุ่มผู้ชุมนุม ได้เข้าร่วมด้วย เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้กระทบเฉพาะการเมือง แต่ส่งผลทั้งในระบบเศรษฐกิจ สังคม
นายมณเฑียร กล่าวอีกว่า รัฐบาลควรจะเร่งปฏิรูปประเทศไทยทั้งระบบ ไม่ใช่การแก้ปัญหาการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่บริเวณแยกราชประสงค์เท่านั้น นอกจากนี้ยังเห็นว่ารัฐบาลต้องแสดงความจริงใจต่อการแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน เพื่อแยกปัญหาของประชาชนผู้มาร่วมชุมนุมออกจากผู้จัดการชุมนุม ซึ่งมีเหตุผลหรือสิ่งอื่นใดที่แอบแฝงอยู่
ด้านน.ส.สุมล สุติวิริยะวัฒน์ สมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเพชรบุรี กล่าวต่อที่ประชุมวุฒิสภาถึงสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ว่า การเจรจาระหว่างรัฐบาลและกลุ่ม นปช. ที่ผ่านมา เป็นเพียงพิธีกรรม เพราะกลุ่ม นปช. ตั้งเงื่อนไขที่รัฐบาลทำไม่ได้ และแสดงให้เห็นว่าต้องการให้กฎหมู่เหนือกฎหมาย จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ลุกลามในวันที่ 10 เม.ย. ที่เกิดการปะทะระหว่าง 2 ฝ่าย นำมาซึ่งการบาดเจ็บ และสูญเสียชีวิต นอกจากนี้ยังเชื่อว่า เหตุการณ์นี้เกิดจากการที่ผู้ชุมนุมหลงเชื่อการปลุกระดมจากแกนนำ อีกทั้งยังมีกลุ่มบุคคลอาศัยสถานการณ์ทำร้ายประชาชน ซึ่งตนขอประณามชายชุดโม่งที่สร้างความรุนแรง ทั้งนี้ ขอเรียกร้องให้ รัฐบาลแยกผู้บงการและแกนนำออกจากประชาชนและดำเนินคดีให้เร็วที่สุด