นักกม.มหาชนชี้เริ่มที่ตัวเรา สร้างวัฒนธรรมเคารพกฎหมาย
เปิดโจทย์ใหญ่ ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ กับคำถามจะรักษาประเทศให้มีอยู่ต่อไปได้อย่างไร พร้อมอธิบายชัด 2 มาตรฐาน การยุบพรรค รธน.มาจากเผด็จการ ชี้อย่ามองข้าม 12 ล้าน คนที่ลงประชามติ
ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวในงานสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง “แนวทางการปฏิรูปประเทศไทย” เนื่องในโอกาสวันสถาปนามหาวิทยาลัย ครบรอบ 25 ปี เมื่อเร็วๆ นี้ โดยเห็นว่า การปฏิรูปประเทศไทย เป็นเรื่องที่จำเป็นต้อง
ใช้เวลา ใช้ทรัพยากร ใช้ระบบที่มีการจัดการอย่างดี โจทย์ใหญ่วันนี้ที่หลายคนเป็นห่วงเป็นเรื่องการจะรักษาประเทศนี้ไว้อย่างไรมากกว่า
“ไม่แน่ว่า เราอยู่ในสถานการณ์ที่จะคิดอะไรข้างหน้าได้ไกลขนาดไหน หรือหากทำให้ประเทศไทยดีขึ้นจะต้องทำอย่างไร ผมมีความรู้สึกว่า ปีหน้ายังมีประเทศไทยอยู่หรือไม่ การปฏิรูปประเทศไทย 10 เรื่องของศ.นพ.ประเวศ วะสี จำเป็นต้องใช้เวลา ใช้ทรัพยากร ใช้ระบบที่มีการจัดการอย่างดี เราจำเป็นต้องมีระบบอยู่หรือไม่ในสังคมปัจจุบัน นี่คือโจทย์ใหญ่ มีคนถามแล้วบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร ขนาดกองทัพบกยังถูกยิงด้วยเอ็ม 79 ได้ แล้วประเทศจะมีอะไรเหลืออยู่หรือไม่ ที่จะเป็นหลักให้เรื่องดีๆ เกิดขึ้น”
อธิการบดี มธ. กล่าวว่า ประเด็นหลักอาจไม่ใช่เรื่องจะปฏิรูปประเทศไทยอย่างไร แต่เป็นเรื่องการจะรักษาประเทศนี้ไว้อย่างไรมากกว่า อะไรเป็นหลักประกันว่าประเทศนี้ยังมีอยู่ได้ต่อไป จะไม่กลายเป็นเลบานอน หรือกรุงเทพฯ อาจกลายเป็นกรุงเบรุต ทำอย่างไรรักษาประเทศไทยไว้ได้ เพื่อให้คนรุ่นใหม่ คนหนุ่มสาวมีอนาคตดีไม่เหมือนเลบานอน ในช่วง 2 ทศวรรษที่แล้ว ถือเป็นโศกนาฏกรรมของโลก “ในฐานะที่เป็นนักกฎหมายเราบอกว่าโครงสร้างทั้งหลายที่มีการเสนอ จริงๆ ทำไม่ได้ หากไม่มีกติกาของสังคมที่ชัดเจนตั้งแต่แรก หรือมีการบังคับใช้กติกาต่อเนื่องสม่ำเสมอและเป็นธรรม อธิบายได้โดยไม่มีใครรู้สึกว่ากติกานั้นใช้บังคับเฉพาะแต่พวกตัวเอง หรือกับคนบางกลุ่มโดยไม่มีความเป็นธรรม”
กรณีมีการพูดถึงเรื่อง 2 มาตรฐาน กับความรู้สึกคับข้องใจของคนจำนวนไม่น้อยที่บอกว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้เผด็จการ คณะปฏิวัติร่างขึ้นมาบังคับใช้กับคนบางกลุ่ม ไม่บังคับใช้กับคนบางกลุ่ม ฉะนั้นการปกครองโดยกฎหมาย ความเป็นนิติรัฐจึงมีไม่ได้ในสังคมไทย ศ.ดร.สุรพล กล่าวว่า ต้องอธิบายแบบนี้ รัฐธรรมนูญ ปี2550 เป็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เขียนขึ้นโดยเงื่อนไขใหม่ ในบริบทของสังคมอีกแบบ โดยมีความตั้งใจจะวางมาตรฐานใหม่ จึงมีมาตรฐานใหม่หลายเรื่องในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ คำถามไม่ได้อยู่ตรงที่ว่า รัฐธรรมนูญดีหรือไม่ดี แต่คำถามอยู่ตรงที่มาตรฐานใหม่นี้ใช้กับคนทุกกลุ่มในสังคมเท่าเทียมกันหรือไม่ ซึ่งต้องการคำอธิบาย
นักกฎหมายมหาชน กล่าวถึงเรื่องยุบพรรค ที่บางพรรคถูกยุบง่าย บางพรรคยุบยาก เป็น 2 มาตรฐาน ว่า เจตนาคนร่างรัฐธรรมนูญ ต้องการให้พรรคถูกยุบโดยง่าย มีการบอกให้รู้ล่วงหน้า ต่อไปนี้หากพรรคการเมืองทุจริตเลือกตั้งถูกยุบพรรค หากกรรมการบริหารพรรครู้เห็นด้วย ถูกยุบ หรือกรรมการบริหารพรรคทุจริต ถูกยุบพรรค เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 237 ตั้งแต่แรก ก่อนมีการเลือกตั้ง แต่คนไม่ได้สนใจ
“กติกาจะดีหรือไม่ดีเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่แรกให้รู้ล่วงหน้า ผู้ร่างบอกว่า ในอดีตห้ามซื้อเสียงขายสิทธิ ห้ามมาตลอดแต่ไม่เคยได้ผล คราวนี้จะใช้ยาแรง ก่อนจะมีการรับสมัครเลือกตั้ง ส่วนเรื่อง 2 มาตรฐานไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีเรื่องเงินบริจาค 258 ล้านบาท ซึ่งกรณีนี้ไม่ใช่เรื่องการทุจริตการเลือกตั้ง แต่เป็นเรื่องการถูกกล่าวหาว่าทุจริตเงินช่วยเหลือ เกิดตอนรัฐธรรมนูญ 2540 ก่อนรัฐธรรมนูญ 2550 กติกาไม่ได้ไปตรงนั้น จะบอกว่า 2 มาตรฐานไม่ได้”
ศ.ดร.สุรพล ได้ยกตัวอย่างเช่น กรณีนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี หลุดจากตำแหน่งเพราะไปทำกับข้าวออกทีวี ยอมรับคดีนี้ เซอร์ไพรส์กับเกณฑ์การตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ กรณีการเป็นลูกจ้างของนายสมัคร ในใจคิดว่า เป็นรับจ้าง ไม่ใช่ลูกจ้าง เหมือนนายสมัครต่อสู้คดี และการที่ศาลรัฐธรรมนูญเลือกตีความอย่างเคร่งครัด กรณีการรับสินจ้างแม้จะไม่ประจำสม่ำเสมอ ถือเป็นลูกจ้าง
“ศาลฯ มีสิทธิเพราะเป็นครั้งแรกที่มีการวางกติกาตรงนี้ ในวงการกฎหมายกำลังดูกันอยู่ว่า ต่อไปศาลฯ ใช้กติกากับตัวนายกรัฐมนตรี บทบัญญัติทำนองเดียวกันที่ใช้กับองค์กรอย่างอื่นตามรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็น ป.ป.ช. กกต. หรือศาลรัฐธรรมนูญเอง หากถูกกล่าวหาอย่างเดียวกัน ต้องนำหลักอย่างเดียวกันมาใช้ วันนี้ยังไม่เกิด วงการกฎหมายรับได้ จำไว้ว่าศาลฯ ตัดสินแบบนี้ กรณีอื่นๆ ศาลฯ ต้องตัดสินอย่างเดียวกันเป็นการวางมาตรฐานใหม่ บอก 2 มาตรฐาน ผมบอกมีมาตรฐานเดียว กำลังรอดู ครั้งที่ 2 และ 3 จะเหมือนกันหรือไม่”
กรณีเสื้อแดงบอกเสื้อแดงทำอะไรก็ผิด เสื้อเหลืองทำอะไรก็ไม่ผิดนั้น นักกฎหมายมหาชน กล่าวว่า ขณะนี้คดีของทั้งคู่อยู่ที่อัยการพนักงานสอบสวนสรุปแล้ว ความยากในการอธิบายกับสังคมที่ใหญ่มาก ขณะที่มีสื่อมากมาย อธิบายได้
“6 เดือนแรกบอก คดีอยู่ระหว่างการสอบสวน 6 เดือนต่อมา บอกการสอบสวนยังไม่เสร็จพยานจำนวนมาก 6 เดือนต่อมาบอกร้องขอความเป็นธรรม ขอเพิ่มพยาน แม้จะเป็นความจริง แต่สังคมกลับรับไม่ค่อยได้ ทั้งหมดนี้เพราะเป็นคดีใหญ่ไม่เดินไปข้างหน้าเพราะเกี่ยวกับคนจำนวนมาก มีข้อต่อสู้ทางกฎหมาย ซึ่งกำลังรอดูว่าเมื่อไหร่อัยการส่งฟ้องทั้งเหลืองแดง”อธิการบดีมธ. กล่าว และว่า หากจะช่วยให้แนวทางการเคารพกติกา กฎหมายเป็นไปได้ ฝากไปที่อัยการ ถึงเวลานานมากพอแล้วไม่ต้องเกรงใจมากสั่งฟ้องศาลเสียทีเพื่อช่วยให้บ้านเมืองอยู่ได้ นำเรื่องไปตัดสินที่ศาล ใครจะมีเหตุอะไรให้ศาลปราณี เชื่อว่า สังคมไทยยอมรับได้
ศ.ดร.สุรพล กล่าวอีกว่า ในทางกฎหมายรัฐจำเป็นต้องมีกติกา ในเมื่อเรารับรัฐธรรมนูญ 2475 นั่นคือประหารรัฐจึงต้องถามว่า คนที่เรียกร้องรัฐธรรมนูญ ปี2550 มาจากเผด็จการ มาจากคณะรัฐประหาร แล้วรัฐธรรมนูญปี 2540 ไม่ได้มาจากคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช. ) ปี 2534 หรือ ทำไมเราถึงบอกว่ารัฐธรรมนูญปี 2540 ผลพวงของการรัฐประหารของ คณะ รสช. บอกว่าอันนั้นใช้ได้ แต่ทำไมรัฐธรรมนูญปี 2550 ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากการยึดอำนาจของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) เราบอกว่า ใช้ไม่ได้
“ข้อแตกต่างอย่างสำคัญอยู่ประการหนึ่งคือ ยังไม่เคยมีรัฐธรรมนูญฉบับใดในประเทศไทยที่ถูกรับรองโดยการประชามติ เหมือนรัฐธรรมนูญปี 2550 เลย หากเราบอกอำนาจนี้มาจากประชาชน ทำไมเรามองข้ามคน 12 ล้านคนที่ลงประชามติ หลายคนบอกถูกหลอกให้รับไปก่อน ถามว่า มีสักกี่คนรู้สึกอย่างนั้น”ศ.ดร.สุรพล กล่าว และว่า มีการพูดเหมือนกับว่าคณะรัฐประหารปี 2549 เป็นคนสร้างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เป็นคนสร้างรัฐบาลนี้ รัฐบาลนี้คลอดมาจากครรภ์ของทหาร แต่เราลืมไปแล้วว่า มีการเลือกตั้งทั่วไปเดือนธันวาคม 2550 นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี ต่อจากนั้นเป็นนายสมชาย วงษ์สวัสดิ์ “เราลืมปี 2550 ลืมปี 2551 เราบอกรัฐบาลนี้ไม่มีความชอบธรรม ตอนนายสมัครเป็นรัฐบาล มีใครไปบอกนายสมัครหรือไม่ว่า นายสมัครเป็นรัฐบาลไม่ชอบธรรม เป็นรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร เราจงใจที่จะลืมอะไรบางเรื่อง คนจงใจที่จะข้ามอะไรบางอย่างไป”
ตัวอย่างสุดท้าย คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ศ.ดร.สุรพล กล่าวว่า คนชอบพูดเรื่อง คตส.มาจากคนที่ไม่เป็นธรรม ไม่ชอบพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เรื่องแบบนี้เรามักจะมองข้ามอะไรบางอย่างไป เช่น คตส.เป็นแค่พนักงานสอบสวนเท่านั้น คนตัดสินคือศาลฏีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อยู่ตั้งแต่พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกฯ วันแรก มีมาตั้งแต่ ปี 2543 ผู้พิพากษาก็มีมาตั้งแต่ตอนนั้น จนกระทั่งปี 2551 สภานิติบัญญัติแห่งชาติออกกฎหมายต่ออายุ ให้ผู้พิพากษาศาลฎีกาที่เกษียณสามารถเป็นผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกาต่อไปได้ เนื่องจากผู้พิพากษามีไม่พอ ขณะที่ อัยการสูงสุด ก็คือรองอัยการสูงสุดในสมัยทักษิณเป็นนายกฯ โครงสร้างตัวบุคคลไม่มีการเปลี่ยนแปลง
“หากจำได้ปี 2551 ดีเอสไอรับคดีตรวจสอบการปกปิดโครงการผู้ถือหุ้นบริษัท เอสซี แอสเสทฯ สอบอยู่นานจนได้ชื่อ กองทุนซิเนตรา วินมาร์ค หลายคนรู้แต่ไม่ค่อยเป็นข่าว งานแรกในกระทรวงยุติธรรม สมัยรัฐบาลสมัคร คือย้ายอธิบดีดีเอสไอ หลังจากนั้น 2 เดือน ดีเอสไอสั่งไม่ฟ้องคดี อัยการสูงสุดเห็นชอบด้วย คดีถึงที่สุดแล้ว วันนี้เพิ่งไปเบิกความล่าสุดเดือนมกราคม 2553 ศาลเรียกข้อมูลไต่สวน คือข้อมูลเรื่องนี้ ดีเอสไอสั่งไม่ฟ้อง นำมาเป็นพยานหลักฐาน” นักกฎหมายมหาชน กล่าว และว่า ไม่รู้ คมช.คิดถูกหรือผิด ตั้งพนักงานสอบสวนขึ้นมาใหม่ เป็นคดีพิเศษยิ่งกว่าพิเศษ ตั้งใครมาทำหน้าที่สอบสวนกรณีพิเศษ สอบสวนเสร็จสั่งฟ้อง เพื่อให้เป็นดุลยพินิจของศาลไปว่ากันตรงนั้นตามกติกาที่มีอยู่เดิม คำอธิบายทำนองนี้สังคมไทยต้องการอยู่ เป็นคำอธิบายที่ไม่พูดกันคนจึงรู้สึก มี 2 มาตรฐาน มีอะไรกลั่นแกล้งกัน มีอะไรไม่เป็นธรรม
เมื่อถามว่า หากประเทศนี้อยู่ต่อไปได้ต้องทำอย่างไร อธิการบดี มธ. กล่าวว่า ต้องเอากติกาทางกฎหมาย เอาหลักการปกครองที่มีกฎหมายนำเป็นกลไกในการแก้ไขปัญหา ทำได้ไม่ยากแทนที่จะไปชี้ให้ใครทำ เป็นเรื่องยากมากกว่า ควรมาร่วมกันการสร้างวัฒนธรรมเคารพกฎหมายต้องเริ่มที่ตัวเราก่อน หากสร้างวัฒนธรรมคนทุกคนเท่ากัน ภายใต้กฎหมายเกิดขึ้นได้จริง สังคมไทยมีโอกาสและมีทางรอด ช่วยกันสร้างวัฒนธรรมปกครองโดยกฎหมาย ประเทศไปได้อีกนาน