ปราชญ์ของแผ่นดิน แนะคนไทยมีสติ รักแผ่นดิน พึ่งพาตนเอง
‘พ่อผาย’ แนะเคล็ดลับแก้จน ทำชีวิตมีอยู่มีกิน ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง อย่าวิ่งเข้าหาเงิน อยู่ด้วยสติปัญญา คิดถึงบุญคุณแผ่นดิน มองคนเสื้อแดงไฟยังร้อน ขอคนส่วนใหญ่ต้องพูดจาดีใส่กัน อย่าวิจารณ์ หรือตอกย้ำ
เมื่อเร็วๆนี้ พ่อผาย สร้อยสระกลาง ปราชญ์เกษตรของแผ่นดิน สาขาเศรษฐกิจพอเพียง ประจำปี 2553 ให้สัมภาษณ์กับศูนย์ข้อมูลข่าวสารปฏิรูปประเทศไทยถึงเรื่องแนวทางการช่วยเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ว่า ปัญหาบ้านเมืองมีความขัดแย้งกันมาแต่โบราณกาล ตั้งแต่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ยังมีการแย่งเรื่องน้ำ ที่ทำนา ทำไร่ ซึ่งพระองค์ก็ทรงไปไกล่เกลี่ย โดยการจัดสรรปัน ตามสมควร ฉะนั้น คนไทยต้องสร้างให้รู้สึกรักแผ่นดินให้ได้ อย่าทำลายกัน ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน
ปราชญ์เกษตรของแผ่นดิน กล่าวว่า ศาสนาพุทธ มีธรรมะอยู่มาก การไปคบคนพาล จะนำไปสู่ทางที่ผิด แต่หากคบบัณฑิต จะมีสติ จะพาไปให้เกิดสิ่งที่ดีๆ ฉะนั้น ทำอะไรก็ต้องตั้งสติ คนในสมัยนี้ ไม่ใช่ว่า ไม่มีกิน หรือยากจน แต่เพราะมีกิเลส ดังนั้น อย่ามีกิเลส เพราะจะทำให้คนแตกแยก ซึ่งหลังจากเกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายในบ้านเมือง 19 พฤษภาคมแล้วนั้น ให้ถือว่า ทะเลจะสวยเพราะมีคลื่น ชีวิตจะราบรื่น ขอให้มีปัญหา และหากต้องการแก้ไขปัญหาให้สำเร็จ ถามว่า ใครทำ ก็ต้องให้แก้กันเอาเอง ชาวบ้านก็ต้องแก้ในเรื่องของตน ต่างคนต่างทำงานให้ดีที่สุด ทำตามหน้าที่ พูดให้ดี ทำให้ดี
เมื่อถามว่า อะไรคือการช่วยเยียวยาคนเสื้อแดงที่ดีที่สุดในเวลานี้ พ่อผาย กล่าวว่า คนที่หลงผิดและกลับเข้ามาหาชุมนุมนั้น ได้สอนไปว่า เราทุกคนเป็นหนี้แผ่นดิน ต้องทำหน้าที่ให้เหมาะสมกับการเกิดบนพื้นแผ่นดินไทย ที่มีพระราชาทรงเป็นประมุข สิ่งที่กำลังทำหากทำให้พ่อทุกข์ พ่อก็จะไม่สบาย หากทำดี พ่อก็จะหายประชวร คนไทยควรจะกลับมาตั้งหน้าตั้งตาทำงาน ช่วยเหลือกัน
“ความยากจนนั้น มีกันอยู่ทุกคน แต่คนไม่ควรวิ่งหาเงิน หากใครวิ่งหาเงิน จะเรียกว่า ยากจน เพียงแต่ต้องทำให้ชีวิตมีอยู่มีกิน อยู่ดีกินดี หนี้สินก็จะหมดไป แม้หนี้สินค่อยๆ ลดลง ไม่ได้ลดลงรวดเร็ว ก็ต้องอย่าใจร้อน เพราะจะนำมาซึ่งความประมาท ต้องเดินทางสายกลาง สำคัญคือ มีสติ เพราะถ้ามีสติ ก็เกิดปัญญา และสามารถทำได้ทุกอย่าง อีกอย่างคือ ต้องสอนให้ชาวบ้านอยู่ แบบพึ่งพาตนเองตามแบบอย่างเศรษฐกิจพอเพียงและมีผู้นำชุมชนที่ดีและเข้มแข็ง เพื่อให้ชาวบ้านเข้าหา มาพูดคุย และทำให้เกิดสติไม่กลับมาชุมนุมอีก”
พ่อผาย กล่าวถึงการอบรมผู้นำชุมชนเป็นสิ่งสำคัญ ขณะนี้มีการขยายผู้นำชุมชนในเขตเฉพาะภาคอีสานได้แล้วจำนวนหนึ่ง การสร้างวิทยากรเก่งๆ และดึงเข้ามาเป็นเกษตรกรต้นแบบนั้น ห้ามนักวิชาการเข้ามายุ่ง เพราะไม่ได้ปฏิบัติจริง ต้องให้ชาวบ้านคิดเอง ทำเอง เช่น ทำบัญชีครอบครัว การจดบันทึก ทำให้ดูเป็นแบบอย่าง ช่วยปิดรูรั่วของมนุษย์ทั้งหมด จากสิ่งง่ายๆในท้องถิ่น อย่าเอาความขี้เกียจลงไป ต้องรู้จริงในสิ่งที่ทำ แล้วชาวบ้านก็จะไม่หนีไปไหน ไม่ออกไปรับจ้าง แม้คนรุ่นใหม่ อาจจะกลับสู่ท้องถิ่นยาก แต่จะเป็นการบอกต่อ แล้วจะพากลับมาสู่บ้านเกิด เป็นการเปลี่ยนแนวความคิด แบบ วปอ. ว. คือ ฝึกเป็นวิทยากรกระบวนการ ป. คือ ผู้นำความเปลี่ยนแปลง แนวความคิด และ อ. คือ การพัฒนาพึ่งตนเองและพึ่งกันเอง แล้วสังคมจะสงบสุข ขโมยหรือโจรจะไม่มี ทุกคนจะมีอยู่มีกิน
ส่วนเรื่องความปรองดอง พ่อผาย กล่าวว่า สามารถทำได้ โดยต่างคนต่างคิดถึงแผ่นดินเกิดของตนเอง ต้องมีการอบรม ขณะนี้การมองคนเสื้อแดงจะไปวิจารณ์พวกเขาไม่ได้ เพราะไฟยังร้อนอยู่ เวลามีไฟ อย่าเอาฟืนไปใส่ ต้องมีการพูดจาที่ดี เน้นการพูดประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ เรื่องการเสียดินแดน ฟังบ่อยๆจะติดใจ อย่าพูดเรื่องเก่า ซึ่งตรงนี้มหาวิทยาลัยต้องสอน สอนให้รักชาติ เด็กจะรักชาติ ชี้ไปที่เด็ก ครูเองต้องสอน อย่าเพียงแต่สอนตามอย่างฝรั่ง แต่ต้องสอนแบบวิถีไทย