“พระรักเกียรติ” เปิดวงจรอุบาทว์นักการเมืองไทยเข้ามาถอนทุน 3 ทาง
พระรักเกียรติ เผยต้นเหตุนักการเมืองคอร์รัปชั่น เพราะเข้าสู่ตำแหน่งด้วยการเลือกตั้ง วงจรอุบาทว์ที่นำไปสู่การถอนเงินคืนให้ตนเอง ใช้นายทุน และกักตุนไว้สมัยหน้า มองสูตรสำเร็จปฏิวัติ-รัฐประหารกี่ครั้ง ไม่เคยมีใครติดคุก
เมื่อเร็วๆ นี้ พระรักเกียรติ รักขิตะธัมโม (สุขธนะ) จากวัดใหม่สุขธนะศรีนคราราม บ้านวังชัย ต.เวียงคำ อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี และอดีตรมว.สาธารณสุข เทศนาธรรมในงานสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 5 ที่อิมแพค เมืองทองธานี ในหัวข้อ “ประเทศไทยหมดหนทางแก้ไขคอร์รัปชั่นแล้วจริงหรือ”
พระรักเกียรติ กล่าวถึงช่วงที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี โดยยอมรับว่า ได้ใช้ชีวิตด้วยความประมาท และถูกครอบงำด้วยอบายมุข มีกิเลส หลงใหลในลาภยศ อำนาจ วาสนา ซึ่งเมื่อ "อำนาจ" นั้นบังตา จึงเกิดความอยาก ความต้องการ ทั้งอยากกิน อยากมี อยากได้แบบไม่รู้จบ ถือได้ว่า ทำทุกอย่างตามที่ตนเองต้องการ เพื่อตอบสนองกิเลส
ขณะที่การเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองด้วยวิธีการเลือกตั้งนั้น อดีตรมว.สธ. กล่าวว่า ทำให้เกิดการต่อสู้ แข่งขัน ชิงดีชิงเด่น ใช้เงินซื้อเสียง และโกงการเลือกตั้งหนักขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเมื่อได้เข้าไปเป็นรัฐบาลบริหารประเทศ ก็ต้องหาทางทุจริตคอร์รัปชั่นเพื่อถอนทุนคืน
"การไปเลือกตั้งก็เหมือนกับการยกทัพไปรบ ที่ต้องมีการระดมทุน และได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มทุน โดยสมาชิกพรรครับเงินไปหาเสียง เมื่อได้รับชัยชนะ คือ การได้ปกครองประเทศ ใครแพ้ก็ไปเป็นฝ่ายค้าน ” พระรักเกียรติ กล่าว และว่า ตนได้ผ่านการใช้ชีวิตมาถึง 3 แบบ คือ นักปกครอง นักโทษ และนักบวช ได้พบว่า “วงจรอุบาทว์ของนักการเมืองไทย” คือ การเข้ามาเป็นรัฐบาลโดยการเลือกตั้ง แล้วเข้ามาถอนทุนคืน 3 ทางด้วยกัน คือ 1.ถอนทุนคืนตัวเอง 2.ถอนทุนคืนนายทุนที่สนับสนุนให้เข้ามาเป็นรัฐบาล และ 3.ถอนทุนคืนเพื่อทำทุนในสมัยหน้า เป็นสืบทอด รักษาอำนาจไว้ให้ต่อเนื่อง ดังนั้น จึงไม่แปลก การเมืองไทยจะอยู่ควบคู่กับการทุจริต
อดีตรมว.สธ. กล่าวต่อว่า อีกวงจรอุบาทว์หนึ่งของการเมืองไทย คือ เมื่อมีการทุจริตคอร์รัปชั่นมากๆ ก็เกิดการปฏิวัติ รัฐประหาร เช่น การปฏิวัติเมื่อปี พ.ศ. 2534 และปี พ.ศ. 2549 ที่มีเหตุผลการปฏิวัติเป็นสูตรสำเร็จว่า เพราะนักการเมืองทุจริต รัฐบาลคอร์รัปชั่น แต่ไม่เคยจับผู้ที่ทำผิด หรือทุจริตคอร์รัปชั่นได้เลย และไม่เคยมีนักการเมืองติดคุก
"หลังจากที่อาตมาโดนเป็นคนแรก ในช่วงที่ยังไต่สวนคดีไม่เสร็จ ก็ตัดสินใจไม่ลงเลือกตั้ง ซึ่งนับว่านักการเมืองสมัยก่อน ยังมีสปิริตพอสมควร แต่นักการเมืองสมัยนี้ติดอยู่ในคุกแท้ๆ ยังไปสมัคร ส.ส. ยังต้องการให้ตำแหน่ง ส.ส. มาปกป้องตนเอง”
พระรักเกียรติ กล่าวถึงรัฐบาลชุดที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ว่าเข้าสู่การเป็นรัฐบาลโดยการนับมือ ส.ส. ที่เปลี่ยนขั้วมายกมือให้ตนเอง เป็นการซื้อ ส.ส. มาสนับสนุน ดังนั้น เมื่อเข้ามาบริหารประเทศก็ต้องทำตามกลุ่ม ส.ส. ที่มาสนับสนุนต้องการ 2 ปีที่ผ่านมา จึงเป็น 2 ปีที่เต็มไปด้วยการทุจริตคอร์รัปชั่น เพื่อตอบแทนกลุ่มทุนที่ให้เงินมาซื้อ ส.ส. การทุจริตคอร์รัปชั่นจึงอยู่คู่กับสังคมการเมืองไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และอาจกล่าวได้ว่า เราพัฒนาประเทศไปได้อย่างรวดเร็ว แต่ไม่มีการพัฒนาการเมืองไปพร้อมๆ กัน
สำหรับองค์กรอิสระที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ ป.ป.ช. หรือ กกต. พระรักเกียรติ กล่าวว่า ควรทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ เป็น 'ยักษ์' ที่มีอำนาจ ซึ่งอาจต้องปรับปรุง ปฏิรูป หรือสังคายนาองค์กรตรวจสอบเหล่านี้ให้เข้มแข็งขึ้น ไม่ว่าจะโดยการเพิ่มคน หรือเพิ่มประสิทธิภาพ ให้เกิดกระแสการตื่นกลัวการกระทำผิด เพราะหลังจากที่จับอาตมาเข้าคุกได้ ก็จับใครไม่ได้อีกเลย นั่นเพราะเรามีระบบการเมืองแบบวงจรอุบาทว์
ส่วนการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น พระรักเกียรติ กล่าวว่า เนื่องจากเป็นปัญหาที่ใหญ่และสำคัญ จึงควรแก้ปัญหาโดย “การปฏิรูปประเทศไทย หรือสังคายนาประเทศไทย” เพราะการเข้าสู่อำนาจทางการเมือง ของนักการเมืองหรือข้าราชการประจำ ล้วนเป็นสาเหตุของการทุจริตคอร์รัปชั่น มีการซื้อเงินเพื่อเข้าสู่ตำแหน่ง และถอนทุนคืน วงจรของนักการเมืองและข้าราชการเช่นนี้ เป็นวงจรที่เรียกว่า “งูกินหาง”
“โครงสร้างการทุจิตคอร์รัปชั่นมี องค์ประกอบ 3 ฝ่าย พ่อค้า ที่เป็นฝ่ายเสนอ นักการเมือง ที่เป็นฝ่ายสนอง และข้าราชการ ที่เป็นฝ่าย ดำเนินการ ดังนั้น หากจะแก้ปัญหาต้องตัดฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดออกให้ได้ เช่น ตัดกลุ่มพ่อค้า ที่ก็เริ่มไม่อยากสนับสนุนทุนให้นักการเมืองแล้ว เพราะการทุจริตคอร์รัปชั่นแรงขึ้นมาก มีการซื้อเสียงด้วยจำนวนเงินต่อคนสูงขึ้น โดยเฉพาะการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นที่มีการซื้อเสียง แจกเงินแพงกว่าการเลือกตั้งระดับชาติเสียอีก”