ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ : บทบาทกองทัพในยุคพูดคุยดับไฟใต้
โจทย์ไฟใต้ ณ ปี 2556 เปลี่ยนไปอย่างพลิกฝ่ามือ...
จากการปิดล้อม ตรวจค้น จับกุม เพื่อสกัดกั้นเหตุรุนแรงรายวัน พร้อมๆ กับการปรับเปลี่ยนความคิดความเชื่อและทุ่มงานพัฒนาเพื่อหยุดเงื่อนไขของสงครามอุดมการณ์...ล่าสุดได้กลายเป็นการเปิดโต๊ะพูดคุยสันติภาพกับแกนนำกลุ่มบีอาร์เอ็น ซึ่งสังคมส่วนหนึ่งมองว่ากำลังมุ่งสู่การเจรจาอย่างเต็มรูปแบบ
คำถามที่ถูกถามมาตลอดคือ กองทัพมีท่าทีต่อการเปลี่ยนโจทย์ไฟใต้นี้อย่างไร...และส่วนใหญ่คำตอบที่วิพากษ์วิจารณ์กันก็คือ "ทหารไม่เห็นด้วย" ใช่หรือไม่
เป็นความไม่เห็นด้วยที่มาจากความหวั่นไหวและหวาดระแวง ด้านหนึ่งก็เชื่อกันว่ากองทัพจะสูญเสียบทบาทการเป็น "พระเอก" ในภารกิจดับไฟใต้ไป ขณะที่อีกด้านหนึ่งก็เชื่อว่ากองทัพจะสูญเสียงบประมาณมหาศาลที่ตัวเองบริหารจัดการอยู่
แต่ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงเสียงวิจารณ์จากการคาดการณ์ของคนนอกกองทัพ แต่ไม่ค่อยมีเสียงดังฟังชัดจาก "คนในกองทัพ" ให้ได้ยินกันสักเท่าไหร่
"ทีมข่าวอิศรา" มีโอกาสได้สัมภาษณ์พิเศษ พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รองผู้บัญชาการทหารบก (รองผบ.ทบ.) ที่คลุกคลีกับปัญหาภาคใต้มานาน และเป็นผู้ที่ร่วมในการแก้ปัญหามากับ ผบ.ทบ. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาตลอด
ตั้งแต่ร่วมปลุกปั้นโครงสร้างกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ตามกฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่ และจัดกลุ่มงานสำหรับรองรับภารกิจดับไฟใต้ที่ชื่อ "ศปป.5" หรือศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 5 ตั้งแต่ครั้งยังดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเสนาธิการทหารบกฝ่ายยุทธการ และเกาะติดสถานการณ์มาเรื่อยๆ ผ่านการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหลายชุด กระทั่งถึงยุครัฐบาลพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน
พล.อ.ดาว์พงษ์ อาจเป็นผู้หนึ่งที่เหมาะสมสำหรับไขข้อข้องใจทั้งปวงเกี่ยวกับบทบาทของกองทัพต่อโจทย์ไฟใต้ที่เปลี่ยนไปแบบพลิกฝ่ามือนั้น
@ ท่าทีจริงๆ ของกองทัพกับการพูดคุยสันติภาพเป็นอย่างไร?
ตัวผมเองนั้นเป็นหนึ่งในคณะกรรมการ ศปก.กปต. (ศูนย์ปฏิบัติการคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้) ซึ่งร่วมพิจารณาในฝ่ายความมั่นคงต่อข้อหารือของรัฐบาลในห้วงก่อนการตัดสินใจเรื่องการพูดคุยสันติภาพที่ผ่านมา โดยกองทัพในฐานะหน่วยจัดกำลังให้ กอ.รมน. มีข้อพิจารณาว่ามันถึงเวลาที่จะเจรจาหรือพูดคุยโดยเปิดเผยหรือยัง และฝ่ายเราพร้อมหรือยัง โดยเรารู้อยู่แก่ใจว่าในทุกความขัดแย้ง อย่างไรเสียมันก็ต้องจบลงบนโต๊ะ สงครามโลกยังจบบนโต๊ะเลย
เมื่อรัฐบาลตัดสินใจเริ่มการพูดคุย ซึ่งเป็นความพยายามของรัฐในการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธีและเป็นไปตามวัตถุประสงค์ ข้อ 8 ของนโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ.2555-2557 หน้าที่ของกองทัพในฐานะฝ่ายความมั่นคงก็คือให้ข้อมูลและเสนอแนะแนวทางให้ดีที่สุด และเรายังดำรงภารกิจการรักษาความปลอดภัยให้กับพี่น้องประชาชนต่อไป จะมาให้เจ้าหน้าที่หยุดย่อมทำไม่ได้ ผบ.ทบ. พูดชัดเจนว่าเราหยุดไม่ได้ อย่าลืมว่าคนทั้งประเทศเขามองฝ่ายความมั่นคงว่าพวกคุณทำอะไรอยู่
@ หลายฝ่ายวิจารณ์ว่าการเตรียมการของทีมพูดคุยเจรจาอาจจะยังไม่ดีพอ โดยเฉพาะในการพบปะกันครั้งแรกๆ?
ก็ต้องเห็นใจท่าน เพราะทั้งสองท่าน (พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ และ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ) เป็นผู้ที่ได้รับมอบหมาย ฝ่ายความมั่นคงโดยเฉพาะอย่างยิ่งกองทัพได้สนับสนุนข้อมูลทุกประเด็นทุกด้านให้กับทีมพูดคุย และต้องยอมรับว่าฝ่ายเราต้องทำการบ้านเยอะมาก จึงจะสามารถสร้างความเข้าใจในพื้นที่ได้อย่างละเอียด ลึกซึ้ง และถูกต้อง
@ ยังมีการตั้งคำถามเกี่ยวกับความจริงใจของคู่เจรจา พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เคยบอกว่าแกนนำบีอาร์เอ็นบางคนอยู่บนโต๊ะเจรจา แต่ลูกชายยังยิงอยู่ทุกวัน
ก็ไม่เป็นไร เป็นเกมที่เขาเล่นอยู่ ถ้าหากเขาต้องการแบ่งแยกดินแดน เขาก็ต้องหาวิธีการของเขา ส่วนเราก็ต้องสู้ในวิถีทางของเรา
@ สรุปแล้วการพูดคุยสันติภาพช่วยได้มากน้อยแค่ไหน?
ผมเชื่อว่าจะแก้ปัญหากรณีของความเข้าใจที่เห็นต่างกันในประเด็นต่างๆ ได้ง่ายขึ้น แต่จะจบหรือไม่จบไม่รู้ นอกจากนั้นถ้าได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติมจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ร่วมมือสนับสนุนข้อมูลบางประการให้ฝ่ายเราได้ ก็จะเกื้อกูลในการแสวงหาสันติคืนสู่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้เร็วขึ้น อย่างนี้เป็นต้น
@ มองการทำงานของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาภาคใต้อย่างไร?
ผมมองว่าทุกรัฐบาลพยายามทำดีที่สุด ยึดถือแนวทางยุทธศาสตร์ที่สอดคล้องกัน เพียงแต่ต่างวิธีการกันเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาได้พัฒนามาตามลำดับตามสถานการณ์ในห้วงนั้นๆ จนถึงรัฐบาลชุดปัจจุบัน ซึ่งกรณีปัญหาด้านการบริหารงานองค์กรต่างๆ ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ กองทัพเห็นว่ามาถูกทางแล้ว โดยปัจจุบันท่านนายกฯยิ่งลักษณ์ (นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) มานั่งหัวโต๊ะในการทำเวิร์คชอปทุกสัปดาห์ ทำให้รู้ปัญหาจริงและเกิดเอกภาพ โดยนายกฯสามารถสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ทันที มันทำให้เร็วขึ้น อีกทั้งกระทรวงต่างๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องก็ได้เข้ามาร่วมแก้ปัญหาตามหน้าที่ของตนเองให้ดีขึ้น ทำให้ปัญหาได้รับการแก้ไขทั้งระดับนโยบายและระดับปฏิบัติ
ผมคิดว่ามาถูกทาง แต่ถามว่าการพูดคุยสันติภาพจะทำให้สะดุดหรือไม่ ผมไม่คิดขนาดนั้น ไม่ได้คิดว่าการพูดคุยเป็นอุปสรรคในการทำงาน แต่น่าจะทำให้เกิดความสงบสุขขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
@ มองว่าโครงสร้าง ศปก.กปต.ซึ่งเป็นโครงสร้างที่จัดตั้งโดยรัฐบาลชุดนี้ จะยังเดินหน้าได้อีกหรือไม่ โดยเฉพาะหลังปรับ ครม.ครั้งใหญ่?
ผมมองว่ายังไปได้ ที่ผมว่ามันโอเคก็เพราะมันมีกรอบงานชัดเจน และแบ่งงานกันชัดเจน หากเกิดอะไรขึ้นคนที่รับผิดชอบในแต่ละส่วนงานก็จะได้แก้ไข รวมถึงการชี้แจงทำความเข้าใจตามหน้าที่ของตน อีกทั้งการสั่งการเป็นเอกภาพกระชับขึ้น นายกฯสั่งการได้เร็วขึ้น สามารถเรียกผู้รับผิดชอบมาคุยได้เลย
@ ทราบว่าขณะนี้บางพื้นที่ได้ส่งมอบให้ฝ่ายพลเรือน (ฝ่ายปกครอง) รับผิดชอบดูแลแทนทหารแล้ว โดยเฉพาะ 2 อำเภอของ จ.สงขลา คือ อ.จะนะ และนาทวี สถานการณ์ดีขึ้นหรือไม่?
จริงๆ แล้วยังไม่ได้เป็นการส่งมอบพื้นที่เด็ดขาดขนาดนั้น เพราะ กอ.รมน. ยังต้องรับผิดชอบ ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจสงขลายังต้องรับผิดชอบอยู่ จะปัดความรับผิดชอบให้ผู้ว่าฯสงขลาไม่ได้ แต่ในอนาคตเราก็จะส่งให้พลเรือนดูแล อย่าง จ.ปัตตานี อำเภอนี้คุณดูแลกันไปนะ แต่ผมก็จะยังดูอยู่ เพราะมันส่งมอบไม่ได้ แต่แน่นอนว่าสุดท้ายมันต้องเดินไปอย่างนั้น คือส่งมอบพื้นที่ทั้งหมด
@ อย่างเกิดเหตุระเบิดที่ อ.นาทวี (28 มิ.ย.) ภาคส่วนต่างๆ ในพื้นที่ตื่นตัวกันมาก เข้าไปช่วยดูจุดเกิดเหตุ เข้าไปช่วยกันปรับแผน และสุดท้ายก็จับผู้ต้องหาได้อย่างรวดเร็ว อย่างนี้ถือเป็นตัวอย่างของพื้นที่ที่จะส่งมอบให้ดูแลกันเองใช่หรือไม่?
เราจะเดินไปหาจุดนั้นในพื้นที่อื่น โดยรณรงค์ให้ทุกภาคส่วนเข้าแก้ไขปัญหาร่วมกัน
@ ทุกวันนี้เจ้าหน้าที่ยังเจอปัญหาเรื่องสงครามข่าวลือ เมื่อมีเหตุรุนแรงในพื้นที่แต่ละครั้ง กลุ่มก่อความไม่สงบมักไปปล่อยข่าวกับประชาชนว่าเจ้าหน้าที่รัฐทำเสียเอง และฝ่ายรัฐก็ยังแก้ปมตรงนี้ไม่ค่อยได้ จะทำอย่างไร?
ผมมองว่าจากความจริงใจที่เราทำงานกับประชาชนมาตลอดหลายปีก็สามารถผ่อนหนักเป็นเบาได้ ประชาชนไม่ได้เชื่อทางโน้น 100% เหมือนสมัยก่อน ปัจจุบันทหารเข้าไปทำงานรวมเวลาก็มากกว่า 6-7 ปีแล้ว ความสัมพันธ์ก็ขยับใกล้ขึ้น แต่พอจะเริ่มดี เขาก็ใช้ความรุนแรงต่อประชาชนเพื่อพยายามขยายช่องว่างให้ห่างออกไปอีก
เราเคยสงสัยว่าเราให้ใจ 100% โดยลูกน้องเราเป็นเป้านิ่ง แต่ผลลัพธ์ปัจจุบันคือฝั่งตรงข้ามเขายังทำอยู่ และทำทุกวิถีทางด้วยการใส่ร้ายป้ายสีเจ้าหน้าที่รัฐ ออกข่าวลือข่าวลวงให้ประชาชนเกลียดชังทหาร ตอนนี้ก็รู้แล้วว่าพอผู้ก่อเหตุรุนแรงเขาเห็นว่าประชาชนมารักทหารมากขึ้น เขาก็ต้องพยายามไม่ให้รักเท่าที่เขาจะทำได้ ถ้าเขานั่งเฉยๆ เขาคิดว่าจะเสียเปรียบ จึงใช้การข่มขู่โดยวิธีรุนแรงอย่างที่เห็นอยู่
สำหรับฝ่ายเรา ผมยืนยันว่าทหารคนไหนไปแอบสร้างความรุนแรงผิดรูปแบบ ผบ.ทบ.ไล่ออกนอกพื้นที่หมด ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไหน เพราะเรารู้ว่าแค่เรื่องเดียว ปมเดียว เงื่อนไขมันก็ไม่จบ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ยอมเป็นอันขาด ส่วนผู้นำในพื้นที่บางกลุ่มแม้เราจะรู้ว่าอยู่ฝั่งตรงข้าม แต่เราก็จะไม่ทำอะไรที่นอกเหนือจากกระบวนการยุติธรรม ผมรับรองได้ แต่เราจะพยายามคุยให้เข้าใจร่วมกัน แล้วแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้น้อยลงหรือให้หมดไปจะดีกว่า
@ บทบาทของทหารในการแก้ไขปัญหาภาคใต้ ถูกวิจารณ์หนักเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณ บางฝ่ายนำตัวเลขมาเป็นตัวตั้ง เช่น ปีละ 2 หมื่นล้าน 10 ปีก็ 2 แสนล้าน แล้วตั้งคำถามเรื่องความคุ้มค่า ประเด็นนี้มองอย่างไร?
ปัญหาชายแดนใต้เป็นปัญหาใหญ่ กระทบต่อความมั่นคงของประเทศโดยรวม และมีผลต่อความเชื่อมั่นในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ รัฐบาลทุกสมัยจึงกำหนดเป็นวาระแห่งชาติ และทุ่มเททรัพยากรทั้งหมดเข้าแก้ไข ซึ่งหากไม่สามารถควบคุมและแก้ไขปัญหาความมั่นคงได้จะเกิดความเสียหายต่อประเทศชาติอย่างร้ายแรง และไม่สามารถคำนวณเป็นตัวเลขได้
ในภาพรวมของงบประมาณการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ รัฐบาลจัดสรรให้ทุกส่วนราชการเฉลี่ยประมาณ 20,000 ล้านบาทต่อปี โดยแบ่งเป็น 3 ส่วนหลักๆ คือ 1.งบฟังก์ชั่นของแต่ละกระทรวง ทบวง กรม เพื่อแก้ไขปัญหาระยะยาว ประมาณ 12,500 ล้านบาทต่อปี 2.งบด้านการพัฒนาของ ศอ.บต. ประมาณ 1,500 ล้านบาทต่อปี และ 3.งบด้านความมั่นคงของ กอ.รมน. ประมาณ 6,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเบี้ยเลี้ยงกำลังพล ประมาณ 65% และเป็นงบปฏิบัติการที่ปฏิบัติงานอยู่ในพื้นที่ประมาณ 30% เหลือเป็นงบจัดหายุทโธปกรณ์เพียง 5% หรือประมาณ 300 ล้านบาท
สรุปง่ายๆ ก็คืองบประมาณของทหารไม่ได้มากอย่างที่เข้าใจ และทุกส่วนราชการก็ใช้จ่ายงบประมาณอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ ตรงกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ภายใต้การบูรณาการของ ศปก.กปต. ซึ่งหากมองความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น แต่รัฐบาลสามารถควบคุมและป้องกันไม่ให้ความเสียหายนั้นเกิดขึ้นได้ ต้องถือว่ามีความคุ้มค่าอย่างยิ่ง
@ กอ.รมน.เองก็ต้องรับผิดชอบงานด้านอื่นด้วย ไม่ใช่เรื่องภาคใต้เรื่องเดียว...
ถูกต้อง...งบประมาณของ กอ.รมน.เรื่องอื่นๆ แต่ละปีมีประมาณ 500 ล้านบาท ซึ่งต้องดูแลความมั่นคงทั่วประเทศทั้ง 77 จังหวัด ไม่ใช่ภาคใต้อย่างเดียว งบประมาณส่วนใหญ่เป็นงบบุคลากรและการพัฒนา อีกอย่างเราไม่อยากถืองบประมาณทั้งหมด เพราะเกรงว่าคนอื่นหน่วยอื่นจะมองเราไม่ดี จึงมีแนวคิดให้แต่ละกระทรวง ทบวง กรม และจังหวัดตั้งงบความมั่นคงของตัวเอง โดย กอ.รมน.ให้คำแนะนำว่าต้องเตรียมการป้องกันภัยในด้านใดบ้าง ในพื้นที่นั้นๆ
นอกจากนั้น ผบ.ทบ.ยังเคยมีแนวคิดว่าควรตั้งกระทรวงหรือทบวงความมั่นคงขึ้นมาเพื่อลดความหวาดระแวงที่มีต่อทหาร เช่น เวลาที่ กอ.รมน.ไปฝึกอบรมประชาชนในเรื่องต่างๆ ฝ่ายการเมืองก็มักจะมองว่าทหารกำลังไปแย่งมวลชน ดังนั้นจึงอยากให้แยกกระทรวง ตั้งทบวงความมั่นคงขึ้นมาเลย จะได้ไม่มีใครหวาดระแวงทหารอีก และทหารก็รับผิดชอบภารกิจด้านการป้องกันประเทศไปอย่างเดียว จะได้ทำงานอย่างเต็มที่ ไม่ต้องมานั่งหวาดระแวงกัน เท่าที่ผมศึกษามา หลายๆ ประเทศก็ทำแบบนี้
@ กำลังทหารในพื้นที่ชายแดนใต้มีหลายหมื่นนาย แต่ก็ยังถูกวิจารณ์ว่าไม่ได้ทำงานเชิงรุกเท่าที่ควร
ต้องเข้าใจว่าเรามีกำลังพลของกองทัพบกประมาณ 30,000 นายก็จริง แต่ก็ต้องมีวงรอบการหมุนเวียนฟื้นฟูกำลังพล 1 ใน 4 ดังนั้นจึงคงเหลือกำลังประมาณ 75% โดยภารกิจส่วนใหญ่ต้องรับผิดชอบในงานเชิงรับ เช่น พวกงาน รปภ.สถานที่และเป้าหมายอ่อนแอต่างๆ ดังนั้นโอกาสที่จะใช้กำลังในปฏิบัติการเชิงรุกจึงจำกัดลง แต่ที่ผ่านมาก็ได้ชดเชยโดยสนธิกำลังจากหลายฝ่ายมาร่วมกันทำงานตอบสนองภารกิจในพื้นที่ปัญหาอยู่แล้ว
แต่ที่หลายคนบอกว่าทำไมไม่ส่งกำลังทหารไปกดดันกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบให้หนักขึ้น อย่างนี้คนที่พูดไม่เข้าใจว่านี่ไม่ใช่การรบเพื่อเอาเป็นเอาตาย เพราะถ้าเป้าหมายไม่ชัดเจนจริงๆ แล้วเข้าปฏิบัติก็จะเป็นการสร้างเงื่อนไขในพื้นที่ สังเกตดูว่าขณะนี้ทหารขอเข้าตรวจค้นไม่ค่อยมีใครออกมาโวยวาย เพราะเป้าหมายชัดเจนทั้งหมด ผิดกับเมื่อก่อน
สาเหตุที่ได้รับข้อมูลชัดเจนนั้นมาจากการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ (พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548) เพราะทำให้เรามีเวลาพูดคุยทำความเข้าใจกับตัวผู้ต้องสงสัยได้ภายใน 30 วัน แต่ถ้าหากปัจจัยเวลามีเพียง 3-7 วัน เราจะไม่สามารถอธิบายเรื่องราวต่างๆ ให้เขารับรู้ กระทั่งยอมให้ความร่วมมือกับเราได้เลย เราจึงต้องใช้เวลานานเพื่ออธิบายให้ผู้ที่ถูกควบคุมตัวได้เข้าใจ เมื่อเขาเข้าใจก็จะให้ข้อมูลเพื่อนำมาแก้ไขปัญหาที่เกิดในพื้นที่ได้
ทุกคนก็รู้ดีว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มีหลายมาตรา แต่เราใช้แค่มาตราเดียวเท่านั้น คือการรับสิทธิให้สามารถควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยได้เป็นเวลารวมแล้วไม่เกิน 30 วัน แต่บางฝ่ายก็ต้องการให้เรายกเลิกกฎหมายพิเศษ ถามว่าถ้ายกเลิกกฎหมายพิเศษแล้วใครได้ประโยชน์...ก็เหมือนกับเสียงเรียกร้องให้ถอนทหาร ถามว่าถอนทหารแล้วใครได้ประโยชน์ มันก็มีคนกลุ่มเดียวเท่านั้นที่ได้ประโยชน์ แต่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ไม่ได้รับประโยชน์อะไร น่าจะเสียสิทธิในการอำนวยความสะดวกจากเจ้าหน้าที่ให้เกิดความสงบในภูมิลำเนาของตนด้วยซ้ำ