โอบกอดความรักที่บางขวาง...อีกหนึ่งหลักไมล์บนหนทางสันติภาพ
อับดุลรอนิง โอบกอดลูกสาวด้วยความรักและความคิดถึงสุดหัวใจ ขณะที่ลูกสาวของเขาก็ก้มหน้าร้องไห้ด้วยความรู้สึกพรั่งพรูไม่ต่างกัน
ภาพการสวมกอดภรรยา อุ้มลูกน้อย ป้อนอาหารให้กัน เป็นภาพความสุขของชีวิตที่ทุกคนปรารถนา และจะยิ่งโหยหาเพราะเกิดได้ยากยิ่งหากฝ่ายหนึ่งต้องสิ้นอิสรภาพ ถูกกักขังอยู่ในเรือนจำ โดยเฉพาะในเรือนจำสำหรับผู้ต้องโทษอัตราสูงอย่างเรือนจำกลางบางขวาง จ.นนทบุรี เรือนจำเก่าแก่และน่าสะพรึงที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย
แต่วันนี้ภาพดีๆ ที่ว่านั้นได้เกิดขึ้นแล้ว และเกิดขึ้นกับผู้ต้องขังคดีความมั่นคงจากชายแดนใต้ด้วย ตามโครงการสานสายใยจากครอบครัวสู่ผู้ต้องขังในเรือนจำนอกพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) จัดขึ้นเพื่อให้ผู้ต้องขังและญาติได้พบกัน โดยมีญาติผู้ต้องขังเข้าร่วมโครงการกว่า 200 คน
โครงการนี้นับว่ามีค่าทางความรู้สึกอย่างยิ่งกับครอบครัวของผู้ต้องขังจากชายแดนใต้ซึ่งส่วนใหญ่มีฐานะยากจน ไม่มีเงินมากพอสำหรับการเดินทางไกลไปเยี่ยม โดยเฉพาะการไปพร้อมกันทั้งครอบครัว
"ผมอยากให้มีโครงการแบบนี้ปีละ 2 ครั้งด้วยซ้ำ จะได้พบหน้าและได้อยู่กับลูกเมียมากกว่านี้ ผมดีใจที่สุดเพราะได้เจอทั้งลูก เมีย และแม่ อยากให้จัดสักปีละ 2 ครั้ง จะได้ไม่ต้องรอนานเป็นปีๆ" อับดุลรอนิงบอก ขณะที่ลูกสาวของเขาสะอื้นอยู่ในอ้อมกอด
"หนูดีใจมากที่ได้พบพ่อ ดีใจจนร้องไห้ อยากให้จัดแบบนี้ทุกปี เพราะถ้ามาเองคงไม่มีทาง เนื่องจากครอบครัวหนูยากจน ไม่มีเงินเดินทางมาหาพ่อแน่นอน ขอบคุณที่ทำให้หนูและแม่ได้เจอกับพ่อ" ลูกสาวของอับดุลรอนิงกล่าว เธอได้พบหน้าพ่อนับครั้งได้ตั้งแต่ผู้ให้กำเนิดเธอถูกจับจากเหตุการณ์รุนแรงเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2547 หรือที่ถูกจักกันในนาม "เหตุการณ์กรือเซะ"
อับดุลรอนิง ไม่ได้ถูกจับที่กรือเซะ เขาถูกคุมตัวเพราะได้รับบาดเจ็บจากเหตุยิงปะทะที่ อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี หนึ่งในป้อมจุดตรวจและโรงพักกว่า 10 จุดที่ถูกชายฉกรรจ์และวัยรุ่นหลายร้อยคนเข้าโจมตีเมื่อก่อนฟ้าสางของวันที่ 28 เมษายน
อับดุลรอนิง ให้การว่าเขาติดไปกับกลุ่มที่บุกโจมตีเพราะมีคนมาว่าจ้างให้ขับรถไปส่งพวกลูกจ้างกรีดยางในอำเภอห่างไกล โดยไม่รู้ว่าแท้จริงเป็นการรวมกลุ่มกันไปก่อเหตุร้ายที่ อ.แม่ลาน แต่ศาลไม่เชื่อ และพิพากษาประหารชีวิต ก่อนที่ศาลฎีกาจะตัดสินลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ทำให้คดีถึงที่สุดเมื่อปีที่แล้ว
สิตีนอร์ ภรรยาของอับดุลรอนิง จากบ้านส้ม ต.ควนโนรี อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี เล่าว่า ตั้งแต่สามีถูกจับกุมเมื่อปี 2547 ก็ถูกคุมขังที่เรือนจำบางขวางตลอด ห้วงเวลา 9 ปีที่ผ่านมาเธอมีโอกาสไปเยี่ยมสามีเพียง 7-8 ครั้งจากความช่วยเหลือขององค์กรต่างๆ ครั้งนี้เมื่อ ศอ.บต.หยิบยื่นโอกาสให้ เธอจึงรู้สึกดีใจอย่างสุดซึ้ง
"เป็นการคืนความยุติธรรมอีกช่องทางหนึ่งแก่ครอบครัวของฉันและอีกหลายๆ ครอบครัวที่ประสบชะตากรรมแบบเดียวกัน ดีใจมากที่ได้เจอกับอาแบ (สามี) อยากให้เขาได้กลับไปอยู่ในเรือนจำใกล้ๆ บ้าน จะได้ไปเยี่ยมสะดวก"
ความหวังและความต้องการของ สิตีนอร์ ไม่ต่างอะไรกับครอบครัวผู้ต้องขังรายอื่นๆ เพราะเรือนจำในกรุงเทพฯหรือนนทบุรีห่างไกลเกินไปสำหรับคนพื้นเพสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และ ศอ.บต.ก็เล็งเห็นความสำคัญ จึงประสานกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ให้ย้ายผู้ต้องขังที่คดียังไม่ถึงที่สุดกลับไปคุมขังยังเรือนจำตามภูมิลำเนาบ้านเกิด
"การให้โอกาสญาติได้เดินทางไปเยี่ยมผู้ต้องขังที่เรือนจำบางขวางในครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย เหมือนการไปรับกลับบ้าน เนื่องจากจะมีการย้ายผู้ต้องขังคดีความมั่นคงจากส่วนกลางกลับมาอยู่ในเรือนจำบ้านเกิดของผู้ต้องหาแต่ละคน เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ญาติในการเดินทางไปเยี่ยม" พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการ ศอ.บต.บอกข้อมูลที่เป็นความหวังของใครหลายๆ คน
"เราจะพยายามย้ายให้ได้ก่อนวันที่ 9 ก.ค.นี้ คือก่อนเริ่มต้นเดือนรอมฎอน (เดือนแห่งการถือศีลอดของพี่น้องมุสลิม) ซึ่งมีผู้ต้องขังที่อยู่ในข่ายย้ายเรือนจำได้ คือเหลือโทษจำคุกไม่ถึง 30 ปีจำนวน 57 ราย ยกเว้นผู้ต้องขังที่คดีสิ้นสุดแล้ว 6 รายที่ไม่สามารถย้ายได้ แต่จะขอให้กลับไปคุมขังที่เรือนจำกลางสงขลา จะได้ใกล้กับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มากขึ้นหน่อย ส่วนผู้ต้องขังที่ศาลพิพากษาลงโทษประหารชีวิตและคดีถึงที่สุดแล้ว ไม่สามารถย้ายกลับได้เช่นกัน เนื่องจากมีกระบวนการทางกฎหมายต่อเนื่อง กลุ่มนี้มี 2 คน แต่เราจะพยายามให้ทุกคนได้กลับไปคุมขังยังเรือนจำในภูมิลำเนาบ้านเกิด"
พ.ต.อ.ทวี บอกว่า นโยบายบรรเทาความเดือดร้อนของญาติผู้ต้องขังซึ่งเป็นหนึ่งในแนวทางเยียวยาจิตใจ จะยังคงเดินหน้าต่อไป ไม่ได้หยุดแค่พาครอบครัวไปเยี่ยมในเรือนจำ
"ผมได้เสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมประกาศขยายอำนาจการคุมขังของเรือนจำกลางปัตตานี ยะลา นราธิวาส และเบตง ให้ครอบคลุมอัตราโทษของผู้ต้องขังที่อยู่ในเรือนจำในส่วนกลาง (ครอบคลุมอัตราโทษสูงจำคุกเกิน 30 ปี) เพื่อให้ได้กลับไปอยู่ใกล้ชิดกับญาติพี่น้องมากขึ้น" เลขาธิการ ศอ.บต.ระบุ พร้อมเผยความในใจที่เป็นแรงขับดันให้ทำโครงการนี้
"ผมอยากให้ความเป็นธรรมมีความหมายกว้าง ให้พี่น้องได้รับโอกาสของความเป็นธรรม ให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินอย่างสอดคล้องกับหลักการทางศาสนาทุกศาสนาโดยไม่ให้มีช่องว่างเกิดขึ้น เพราะการได้รับความรักความเข้าใจเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของทุกคน การกักขังทำได้แต่ตัว หากหัวใจและเสรีภาพไม่สามารถกักขังได้ โครงการที่เกิดขึ้นเป็นความกรุณาของกรมราชทัณฑ์ที่ทำให้พ่อ แม่ ลูก สามีภรรยาได้พบเจอกัน สวมกอดกัน และได้พูดคุยกันอย่างใกล้ชิด รู้สึกดีใจที่ได้เห็นภาพแห่งความสุข เพราะทุกคนเป็นกำลังสำคัญและเป็นสะพานเชื่อมต่อความรู้สึกไปยังลูกหลาน ให้พวกเขามองอนาคต กลับไปอย่างมีพลัง ได้ทำประโยชน์ต่อสังคม เมื่อมีความยุติธรรมสันติภาพจะบังเกิด"
ขณะที่ คำนึง ชำนาญกิจ จากเครือข่ายผู้หญิงภาคประชาสังคมชายแดนใต้ ซึ่งได้เข้าร่วมในโครงการของ ศอ.บต.เพื่อเก็บข้อมูลความต้องการของผู้ต้องขังและครอบครัวเพื่อเสนอให้หน่วยงานที่รับผิดชอบพิจารณา เธอบอกเล่าถึงปัญหาใหญ่ที่ผู้ต้องขังอยากให้กรมราชทัณฑ์ช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนคือ 1.การละหมาดวันศุกร์ ซึ่งเป็นการละหมาดใหญ่และมีความสำคัญตามหลักการอิสลาม แต่ไม่ได้ทำมานานแล้ว 2.ในเดือนรอมฏอนขอให้ญาติได้ส่งอาหารที่จำเป็นมาให้สำหรับการละศีลอดและรับประทานก่อนการถือศีลอดในแต่ละวัน 3.ให้ได้รับโอกาสแต่งกายอย่างเหมาะสมตามบทบัญญัติของศาสนา
คำนึง ไม่ได้เป็นแค่เครือข่ายผู้หญิงภาคประชาสังคมที่เลือกทำงานเพื่อผู้อื่นเท่านั้น แต่เธอยังเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่ชายแดนใต้ เพราะสามีและลูกชายถูกจับกุมทั้งๆ ที่ไม่มีความผิด และทั้งสองได้ต่อสู้คดีจนศาลยกฟ้อง ด้วยเหตุนี้เมื่อคำนึงได้สัมผัสภาพแห่งความสุขที่ผู้ต้องขังและครอบครัวได้แลกอ้อมกอดแห่งรัก ทำให้นัยน์ตาของเธอแดงก่ำ
"ภาพแบบนี้สุดยอดมาก เป็นกำลังใจที่ดีที่สุดสำหรับญาติและผู้ต้องขัง เป็นการเปิดโอกาสแห่งความอบอุ่น กอบกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนมา ตอนที่เกิดเหตุการณ์กับฉันและครอบครัวเราไม่เคยได้รับโอกาสอย่างนี้เลย จึงเข้าใจถึงความเจ็บปวดที่แต่ละคนได้รับ ฉันเชื่อว่าโครงการแบบนี้เป็นแนวทางหนึ่งที่จะนำไปสู่สันติภาพ แต่ยังไปได้เพียง 50 เปอร์เซ็นต์ เพราะสันติภาพจะยังไม่เกิดถ้าความยุติธรรมยังเข้าไม่ถึงหมู่บ้าน อยากฝากถึงคนที่ทำงานกับชาวบ้านทุกระดับว่า ขอให้ทำงานด้วยความมีกัลยาณมิตร เอาความจริงใจเข้าไปเป็นใบเบิกทางและรักษาให้คงอยู่ ถ้าทำได้สันติภาพจะเกิดอย่างแน่นอน" คำนึงกล่าว
แม้หนทางสายสันติภาพจะยังอีกยาวไกล แต่วันนี้เสียงของหัวใจอันเปี่ยมไปด้วยกำลังใจได้ดังขึ้นแล้วที่เรือนจำบางขวาง...