แปลละเอียดคลิปบีอาร์เอ็น กับหลากหลายความเห็น "สงครามไซเบอร์"
ยังคงถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์กันไม่จบสำหรับการปรากฏตัวผ่านคลิปวีดีโอที่เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ youtube หนึ่งในสื่อสังคมออนไลน์ชื่อดังอย่างถี่ยิบของแกนนำบีอาร์เอ็น "กลุ่มนายฮัสซัน ตอยิบ" ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรและมีเป้าหมายอะไร ขณะที่ผู้รับผิดชอบฝ่ายรัฐไทยก็ยังคงใช้การให้สัมภาษณ์ตอบโต้แบบสะเปะสะปะเช่นเดิม
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ทั้งในด้านการเจรจาสันติภาพ ความมั่นคง การเมืองการปกครอง และการใช้สื่อสังคมออนไลน์ (โซเชียลมีเดีย) พบหลากหลายประเด็นที่น่าจับตาเกี่ยวกับการขับเคลื่อนของบีอาร์เอ็นในมิตินี้
อย่างไรก็ดี ก่อนจะไปถึงจุดนั้น น่าจะย้อนไปพิจารณา "สาร" ที่แกนนำบีอาร์เอ็น 2 รายต้องการสื่อผ่านคลิปวีดีโอล่าสุด คลิปที่ 3 ซึ่งเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ youtube เมื่อวันอังคารที่ 28 พ.ค.2556 ซึ่งเป็นการแปลอย่างละเอียดกว่าที่ปรากฏเป็นข่าวผ่านสื่อทั่วไป ดังนี้
กองทัพสยามไร้เอกภาพทำให้เกิดรุนแรง
ตอนที่ 1 โดย นายอับดุลการิม คอลิด (Abdulkarim Khalid) ตัวแทนองค์กรแนวรวมปฏิวัติแห่งชาติ (BRN) ในการเจรจาสันติภาพ
"ด้วยพระนามของอัลลอฮ์ ผู้ทรงกรุณา เมตตาปราณีเสมอ ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน กระผม อับดุลการิม คอลิด ตัวแทนขององค์กรแนวรวมปฏิวัติแห่งชาติ (BRN) ความหมายของสันติภาพสำหรับพวกนักล่าอาณานิคมสยามคือการที่ชาว (bangsa) ปาตานีคุกเข่า (ยอมรับการปกครองของนักล่าอาณานิคม) ตลอดไป
ส่วนความหมายของสันติภาพสำหรับชาวปาตานีคือสันติภาพบนพื้นฐานความเป็นจริง
ทัศนคติของ BRN ต่อกองทัพสยาม กองทัพสยามไม่มีเอกภาพในการจัดการแก้ไขปัญหาปาตานี มีฝ่ายที่เข้าข้างรัฐบาล มีฝ่ายที่เข้าข้างระบบศักดินา และมีอีกฝ่ายหนึ่งที่รู้สึกว่าตัวเองกำลังสูญเสียผลประโยชน์ จึงก่อให้เกิดเหตุรุนแรง
ตัวอย่างเช่น ในวันที่ 29 เมษายน 2556 หลังจากได้รับทราบข้อเรียกร้อง 5 ข้อ (จากฝ่าย BRN) แม่ทัพภาคที่ 4 ก็ส่งสัญญาณเชิงลบ คืนวันที่ 1 พฤษภาคม 2556 ก็มีเหตุการณ์สังหาร 6 ศพในปัตตานี วันที่ 2 พฤษภาคม 2556 ตอนเช้าก็กระจายข้อมูลเท็จต่างๆ และท้ายสุดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมก็ด่านักข่าวช่อง 3 เพราะเริ่มมีสิ่งต่างๆ ผิดปกติ เช่นเดียวกับเหตุต่างๆ เช่น สังหารครอบครัวที่บ้านกะทอง บองอ เหตุการณ์ ณ ร้านน้ำชาบ้านดามาบูเวาะห์ เหตุการณ์ยิง 10 ศพ ณ มัสยิดอัลฟุรกอน บ้านไอร์ปาแย เหตุการณ์ที่ร้านน้ำชาบ้านกาโสด เหตุการณ์กราดยิงประชาชนที่ปุโละปุโย เหตุการณ์กราดยิงที่ปอเนาะบูกิตโตแร และอื่นๆ
นอกจากนั้น ยังมีเหตุการณ์ ณ มัสยิดกรือเซะและตากใบ ซึ่งเป็นที่รู้จักกัน
คำเตือนถึงนักล่าอาณานิคมสยาม อย่าใช้ความรุนแรงกับชาวปาตานี รวมถึง โต๊ะอิหม่าม ครู ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน นายกอบต. อุสตาซ โต๊ะครู และอื่นๆ ถ้าไม่รับคำเตือนนี้ เราจะพิจารณายุทธศาสตร์ของเราใหม่ ขอขอบคุณ"
มุ่งปลดปล่อยปาตานี - เดินหน้าพูดคุย 13 มิ.ย.
ตอนที่ 2 โดย อุสตาซ ฮัสซัน ตอยิบ หัวหน้าคณะตัวแทน BRN ท่าทีของ BRN ต่อการเจรจาครั้งต่อไป
"ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์ผู้ทรงเมตตาและปราณีเสมอ ขอความสันติสุขจงประสบแด่ท่าน กระผม ฮัสซัน บิน ตอยิบ หัวหน้าคณะตัวแทน BRN หลังจากสยามทำให้ปาตานีตกเป็นอาณานิคมและปกครองด้วยการกดขี่และความโหดร้าย องค์กร BRN ก็ก่อตั้งขึ้นเพื่อสร้างความสามัคคีในประชาชนปาตานี รวมตัวกันในการต่อสู้ปลดปล่อยชาวปาตานีจากการปกครองแบบอาณานิคมของสยาม โดยตระหนักถึงความทุกข์ทรมานของชาวปาตานี
เราขอยืนยันว่า การพูดคุยในวันที่ 13 มิถุนายนจะดำเนินตามที่กำหนด หลังจากรัฐสภาสยามยืนยัน รับรองอย่างเป็นทางการ ข้อเรียกร้อง 5 ข้อที่ฝ่าย BRN ได้นำเสนอในวันที่ 29 เมษายน 2556 กระบวนการสันติภาพควรเป็นวาระแห่งชาติ มันไม่ใช่เครื่องมือเพื่อล้างบาปหรือความโลภของคนใดคนหนึ่ง"
เอกชัย : บีอาร์เอ็นแพร่คลิปชวนคุยเรื่องอื่น
สำหรับมุมมองของฝ่ายต่างๆ ที่พยายาม "ถอดรหัส" สารของบีอาร์เอ็น และการใช้โซเชียลมีเดียในการสื่อสารนอกโต๊ะพูดคุยสันติภาพนั้น เป็นไปอย่างหลากหลาย...
พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาศ ผู้อำนวยการสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็นที่รัฐบาลจะต้องไปตอบโต้หรือต่อสู้อะไรกับการออกคลิปของบีอาร์เอ็น เพราะคลิปที่ออกมาครั้งแรกเมื่อราววันที่ 26-27 เม.ย.2556 (ก่อนวันนัดพูดคุย 2 วัน) เป็นการเสนอข้อเรียกร้อง 5 ข้อ ส่วนอีก 2 ครั้งเป็นการตอกย้ำข้อเรียกร้องดังกล่าว สาเหตุที่ต้องเผยแพร่คลิปข้อเรียกร้อง เพราะคณะพูดคุยฝ่ายไทยพูดอยู่เรื่องเดียวคือการลดความรุนแรง ขณะที่ฝ่ายบีอาร์เอ็นต้องการให้พูดคุยเรื่องอื่นบ้าง
"ผมมีแหล่งข่าววงในที่ทราบความเคลื่อนไหวในบีอาร์เอ็น เขาอธิบายว่าสาเหตุที่ต้องออกคลิปข้อเรียกร้อง 5 ข้อก่อนการพูดคุยครั้งที่ 2 อย่างเป็นทางการ แต่เป็นการพบปะกันครั้งที่ 3 นั้น (นับตั้งแต่การลงนามในข้อตกลงริเริ่มกระบวนการพูดคุยสันติภาพ) เพราะทางบีอาร์เอ็นมองว่าคณะพูดคุยฝ่ายไทยพูดอยู่เรื่องเดียวคือลดความรุนแรง ไม่คุยเรื่องอื่นเลย ทางบีอาร์เอ็นเสนอให้คุยเรื่องอื่นบ้างก็ไม่ยอมคุย โดยข้อเรียกร้องทั้ง 5 ข้อนี้ บีอาร์เอ็นอ้างว่าได้เสนอให้คณะพูดคุยฝ่ายไทยตั้งแต่นัดพูดคุยกันครั้งแรกแล้ว แต่ไม่มีความคืบหน้า ฝ่ายไทยยังยืนยันแต่เรื่องลดความรุนแรง จึงต้องเสนอข้อเรียกร้องผ่านคลิปเผยแพร่ทางโซเชียลมีเดีย"
พล.อ.เอกชัย กล่าวต่อว่า ได้เคยเตือนคณะพูดคุยฝ่ายไทยไปหลายครั้งแล้วว่าการไปกดดันให้ลดความรุนแรงลงทันทีไม่สามารถกระทำได้ เพราะอยู่ในช่วงการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน คณะพูดคุยจึงต้องเตรียมประเด็นไปพูดคุยหลายๆ ประเด็น ไม่ใช่มุ่งแต่เรื่องลดความรุนแรง
"ผมคิดว่าคณะพูดคุยของรัฐบาลมีการเตรียมการน้อยเกินไป ทราบว่าก่อนไปพูดคุยแต่ละครั้งก็แทบไม่มีการประชุมวางแผนหรือตระเตรียมประเด็นร่วมกันเลย พอพูดคุยกลับมาก็ไม่มีการนำข้อเรียกร้องของบีอาร์เอ็นมาหารือหรือกำหนดท่าที มีเพียงการประชุมกันไม่กี่ชั่วโมงก่อนเริ่มกระบวนการพูดคุยแต่ละครั้งเท่านั้น การคัดเลือกคนไปร่วมคณะพูดคุยก็ทำกันอย่างไร้หลักเกณฑ์ นึกจะเชิญใครก็เชิญ ซ้ำยังเชิญล่วงหน้าเพียง 24 ชั่วโมงก่อนพูดคุย ทั้งๆ ที่เรื่องเหล่านี้ควรทำเป็นกระบวนการเปิดให้สังคมได้รับรู้ ได้ระดมความเห็นกัน ส่วนการไปพูดคุยกับบีอาร์เอ็นควรทำเป็นกระบวนการปิด แต่นี่คณะพูดคุยกลับทำตรงกันข้าม คือปิดลับภายในประเทศ แต่ไปเปิดเผยนอกประเทศ"
ปณิธาน : กลุ่มฮัสซันได้ประโยชน์ 2 ต่อ
ขณะที่ ดร.ปณิธาน วัฒนายากร นักวิชาการด้านความมั่นคงจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองในมิติที่แตกต่างออกไปว่า การเผยแพร่คลิปของบีอาร์เอ็น สะท้อนให้เห็น 2 เรื่อง คือ
1.เป็นปฏิบัติการเชิงรุกเพื่อตั้งประเด็นในการเจรจาให้ชัดเจนตามแนวทางของบีอาร์เอ็น และใช้โซเชียลมีเดียส่งสารไปถึงประชาชน เนื่องจากบีอาร์เอ็นต้องการได้รับความสนใจและแรงสนับสนุนจากประชาชน ซึ่งไม่ใช่เฉพาะประชาชนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น แต่หมายรวมถึงประชาชนคนไทยทั้งประเทศและสังคมโลกด้วย เพราะตอนนี้บีอาร์เอ็นเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางแล้ว และคนในสังคมไทยรวมทั้งทั่วโลกก็เฝ้าดูอยู่ การพูดข้างเดียวแบบนี้เท่ากับเป็นการชิงความได้เปรียบ ทั้งๆ ที่ตกลงกันแล้วว่าจะคุยกันบนโต๊ะตามกระบวนการที่จัดวางไว้เท่านั้น
2.มีปัญหาภายในของบีอาร์เอ็นเอง กล่าวคือคนในขบวนการบางส่วนอาจไม่เห็นด้วยกับการเจรจา ไม่มีส่วนร่วม หรือแม้แต่ไม่รับรู้รับทราบ แกนนำบีอาร์เอ็นกลุ่มนายฮัสซันจึงช่วงชิงความเป็นผู้นำการเจรจา และพยายามส่งสัญญาณว่ากลุ่มนี้คือตัวแทนของบีอาร์เอ็นจริงๆ
"การประกาศข้อเรียกร้องผ่านโซเชียลมีเดียก็เพื่อแสดงความเป็นเอกภาพผ่านข้อเรียกร้อง 5 ข้อ กลายเป็นว่าทั้ง 5 ข้อนี้เป็นข้อเรียกร้องของบีอาร์เอ็นไปแล้ว ทั้งที่จริงๆ แนวร่วมรุ่นใหม่หรือนักรบวัยรุ่นในพื้นที่อาจจะยังไม่ได้ยอมรับ ขณะที่รัฐบาลไทยก็ยังไม่ได้บอกว่าจะคุยกัน 5 ข้อนี้ด้วยซ้ำ การยื่นข้อเรียกร้องผ่านสื่อสังคมออนไลน์ทำให้กลุ่มของนายฮัสซันได้ประโยชน์ 2 ต่อ คือ 1.คนที่เห็นด้วยก็ไปช่วยขยายความข้อเรียกร้องให้ว่าหมายถึงอะไร เช่น นักวิชาการไทยบางกลุ่ม 2.สร้างความเป็นเอกภาพและเพิ่มน้ำหนักของกลุ่มนายฮัสซัน"
เตือนพวกชี้แจงแทน-บีอาร์เอ็นยิ่งได้เปรียบ
เมื่อถามถึงแนวทางที่รัฐบาลควรดำเนินการหลังจากนี้ ดร.ปณิธาน บอกว่า เบื้องต้นรัฐบาลต้องออกมายืนยันว่าข้อเรียกร้องผ่านคลิปไม่ใช่ข้อเสนอบนโต๊ะเจรจา รัฐบาลถือว่าไม่รับทราบ แม้จะเข้าใจท่าทีของฝ่ายบีอาร์เอ็น แต่ก็ต้องเน้นย้ำว่าให้ไปคุยกับบนโต๊ะเจรจา ไม่ใช่มาพูดข้างนอก เพราะข้อเรียกร้องทุกเรื่องต้องมีขั้นตอนในการดำเนินการ แม้จะมีสิทธิเรียกร้องได้ แต่ก็ต้องทำตามกระบวนการที่ตกลงกัน
"สิ่งที่อันตรายตอนนี้คือมีคนในประเทศของเราเองไปช่วยอธิบายข้อเรียกร้องของบีอาร์เอ็น เช่น การปลดปล่อยไม่ใช่การแยกดินแดน ข้อเรียกร้องไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ทั้งๆ ที่การเรียกร้องให้ปลดปล่อย ความหมายคือการแยกดินแดนอยู่แล้ว การไปช่วยอธิบายแบบนี้ยิ่งทำให้บีอาร์เอ็นได้เปรียบ และเป็นสิ่งที่เขาต้องการ คือทำให้เกิดความแตกแยกทางความคิดในประเทศไทย ถือเป็นแทคติกของการเจรจา"
นักวิชาการผู้นี้ยังเสนอให้ลดระดับการพูดคุยลง โดยส่งคณะเล็กไปพูดคุยบ้าง แล้วยืดการพบปะของคณะใหญ่ออกไป เพื่อกดดันให้บีอาร์เอ็นเคลื่อนไหวในกรอบที่ตกลงกัน
จอมเดช : รัฐอย่าละเลยใช้โซเชียลมีเดียสู้
เมื่อเจาะลึกลงไปเฉพาะประเด็นการเปิดแนวรบด้านสื่อสังคมออนไลน์ ร.ต.อ.จอมเดช ตรีเมฆ นักวิชาการด้านอาชญวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม มหาวิทยาลัยรังสิต วิเคราะห์ว่า การใช้สื่อสังคมออนไลน์ หรือปฏิบัติการทางจิตวิทยาในการต่อสู้นั้น มีความพยายามใช้มาตลอด เพราะสถานะของบีอาร์เอ็นคือคู่ต่อสู้กับรัฐไทย วิธีใช้ก็เพื่อเป้าหมายการบิดเบือนข้อมูล ดิสเครดิตรัฐบาล สื่อสารถึงคนในขบวนการด้วยกันเอง รวมทั้งคนในพื้นที่ที่อาจไม่ได้อยู่ร่วมในขบวนการ ทั้งนี้เพื่อชิงความได้เปรียบจากรัฐไทย ในขณะที่แนวรบด้านอื่นๆ เช่น การก่อเหตุรุนแรงก็ยังทำต่อไป
"คำถามคือทำไมฝ่ายรัฐไม่ทำแบบนี้บ้าง แต่กลับเลือกใช้สื่อทางการเป็นหลักอย่างเดียว ทั้งๆ ที่สื่อสังคมออนไลน์ไม่ได้ใช้งบประมาณอะไรมากมาย ทุกวันนี้ประชาชนต้องมารอฟัง ผบ.ทบ.พูด หรือรอนายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อกระแสหลัก ทำไมเราไม่ทำสื่อขึ้นเองเพื่อชี้แจงเรื่องบางเรื่องอย่างรวดเร็วและเข้าถึงประชาชนในวงกว้างทันที เพราะทั่วโลกก็สรุปบทเรียนตรงกันแล้วว่า การใช้สื่อสังคมออนไลน์เป็นเครื่องมือสำคัญในการต่อต้านการก่อการร้ายโดยไม่ต้องรบ"
ร.ต.อ.จอมเดช กล่าวอีกว่า การใช้สื่อสังคมออนไลน์ไม่จำเป็นต้องใช้เพื่อตอบโต้แบบโต้วาที แต่สามารถใช้เพื่อสร้างความเข้าใจกับสังคม ซึ่งความเข้าใจนั้นก็จะถูกส่งถึงกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐด้วย จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร แต่ก็เท่ากับได้เพิ่มช่องทางการสื่อสารกลับไป อย่างเช่น แฟนเพจทางเฟซบุ๊คก็สามารถทำได้ ไม่มีค่าใช้จ่าย หรือถ้าต้องลงทุนก็น้อยมาก แต่ก็น่าแปลกใจที่รัฐไม่ยอมทำ
"อยากให้ดูตัวอย่าง คุณสุหฤท สยามวาลา ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ซึ่งตอนที่ลงสมัครแทบไม่มีใครรู้จักเขาเลย แต่เขาใช้การหาเสียงผ่านโซเชียลมีเดียอย่างเดียว ทำให้ได้คะแนนเสียงมาเป็นอันดับ 4 ฉะนั้นเรื่องนี้ไม่อยากให้รัฐมองข้าม อาจจะเปิดแฟนเพจแล้วมี admin (ผู้ดูแล) สัก 10 คน คอยตอบคำถามหรือส่งข้อมูลที่ประชาชนอยากรู้ เท่านี้ก็น่าจะช่วยได้มากแล้ว"
วันวิชิต : จับตาสร้างกระแสเหมือนอาหรับสปริง
วันวิชิต บุญโปร่ง นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องการใช้สื่อสังคมออนไลน์ในทางการเมือง มองว่า การใช้โซเชียลมีเดียของบีอาร์เอ็นเพื่อต้องการให้มวลชนได้รับทราบข้อมูลข่าวสารของฝ่ายตนมากขึ้น ซ้ำยังสามารถ "เช็คเรทติ้ง" หรือความนิยมของกลุ่มตนเองได้ด้วย โดยดูจากจำนวนคนที่สนใจคลิกชมคลิปในเว็บไซต์ youtube หรือแชร์ต่อ
"อยากให้ย้อนดูปรากฏการณ์อาหรับสปริงที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในหลายประเทศของโลกอาหรับ ใช้เวลาเพียง 2 ปีก็มีคนติดตามเป็นล้านคน จากช่วงแรกๆ ก็แค่หลักร้อยหลักพัน ฉะนั้นผมไม่อยากให้มองข้ามปรากฏการณ์ลักษณะนี้ แรกๆ อาจมีคนติดตามคลิปน้อย แต่ต่อไปจะเป็นอย่างไรต้องจับตา"
วันวิชิต อธิบายต่อว่า การที่บีอาร์เอ็นเลือกใช้โซเชียลมีเดียในการสื่อสาร ต้องบอกว่ามีแต่ได้กับได้ ไม่มีอะไรเสีย และยังสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลไทยไม่มีความพร้อมในสงครามไซเบอร์ หรือ cyberwarfare เลย
"เรามีคน มีงบประมาณ แต่หน่วยงานรัฐกลับไม่มีความพร้อมที่จะทำ ทั้งๆ ที่สามารถสื่อสารทางความคิดความเชื่อสู่คนหมู่มากได้ เช่น นำนักการศาสนาหรือมุสลิมสายกลางมาพูด มาอธิบายถึงสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นจริงในพื้นที่ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง เรามีช่องทางพวกนี้พร้อมหมด แต่กลับไม่ใช้ ซึ่งผมคิดว่าน่าแปลกใจ" วันวิชิต ระบุ
สรุปอย่างง่ายๆ สั้นๆ ก็คือ การใช้โซเชียลมีเดียของบีอาร์เอ็นนั้น นอกจากจะได้ประโยชน์หลายเด้งแล้ว ยังสะท้อนความอ่อนแอของรัฐไทยในการจัดการปัญหาชายแดนใต้ไปพร้อมกันด้วย!
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ : โลโก้ของเว็บไซต์ยูทิวบ์ เครือข่ายสังคมออนไลน์ชื่อดังที่แกนนำบีอาร์เอ็นกลุ่ม นายฮัสซัน ตอยิบ เลือกเป็นช่องทางในการสื่อสาร
ขอบคุณ : ภาพจากเว็บไซต์ http://mashable.com/2012/07/20/youtube-non-profits/