"ชัยวัฒน์" แนะรัฐบอกประชาชน "ความรุนแรงไม่ลดหลังเจรจา"
สถานการณ์ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ยังคงมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลถึงความเชื่อมั่นต่อการดำเนินกระบวนการพูดคุยสันติภาพที่รัฐบาลไทยกำลังทำกับแกนนำขบวนการบีอาร์เอ็นอย่างแน่นอน
และนั่นคือประเด็นสำคัญที่ ศ.ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ นักวิชาการด้านสันติวิธีชื่อดัง และอดีตกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ (กอส.) แนะว่า รัฐบาลควรทำความเข้าใจอย่างแจ่มชัดกับประชาชนในข้อนี้
"ผมคิดว่าทิศทางที่รัฐบาลกำลังทำอยู่นั้นถูกต้องแล้ว และขอชื่นชมรัฐบาลที่กล้าดำเนินการ เพราะทำให้รัฐไทยมีเอกภาพในทางนโยบายสำหรับการแก้ปัญหาชายแดนภาคใต้มากขึ้น ซึ่งรัฐบาลชุดที่ผ่านๆ มาก็ได้ดำเนินการพูดคุยสันติภาพเช่นกัน เพียงแต่เป็นการดำเนินการในทางลับ"
"แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงและรัฐบาลต้องทำอย่างเร่งด่วนคือตั้งคณะทำงานขึ้นมาอีกชุดเพื่อพูดคุยกับประชาชนทั่วประเทศให้เกิดความเข้าใจว่า การที่รัฐบาลส่งเจ้าหน้าที่ไปพูดคุยสันติภาพกับกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐนั้น ต้องการที่จะแก้ปัญหาความไม่สงบ และต้องเตรียมใจว่าอาจมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นในอนาคต โดยเหตุการณ์รุนแรงอาจไม่ลดลงก็ได้ เพราะขณะนี้ประชาชนแทบทั้งประเทศเชื่อว่าการพูดคุยสันติภาพจะทำให้ความรุนแรงในพื้นที่ลดลง แต่ความจริงแล้วกลับมีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น"
"ดังนั้นรัฐบาลต้องเร่งทำความเข้าใจกับประชาชนให้เกิดความเข้าใจว่า ถึงแม้จะมีการพูดคุยสันติภาพ แต่เหตุการณ์รุนแรงก็อาจไม่ลดลง เพราะมีหลายกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับกระบวนการพูดคุย ซึ่งในหลายประเทศก็เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้เช่นกัน"
ศ.ดร.ชัยวัฒน์ กล่าวต่อว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงอีกประการหนึ่งคือ ไม่ชัดเจนว่าทีมพูดคุยสันติภาพได้มีการสานเสวนาและประสานความร่วมมือกันมากน้อยขนาดไหน เพราะถ้าไม่มีความร่วมมือกันในทุกมิติ การทำงานจะไม่มีเอกภาพ และก็จะเกิดความไม่เห็นด้วยหรือกระแสคัดค้านกระบวนการพูดคุยตามมา
"ผมมองว่าการพูดคุยแต่ละครั้งต้องเตรียมการให้ดี อย่างเช่นในการพูดคุยครั้งที่ 3 วันที่ 13 มิ.ย.ที่จะถึงนี้ ควรบอกให้สังคมไทยรับทราบว่าจะไปคุยอะไร มีแผนการอย่างไร และในอนาคตยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพื่อให้สังคมไทยได้เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ก่อน"
ส่วนข้อเรียกร้อง 5 ข้อที่ นายฮัสซัน ตอยิบ กับ นายอับดุลการิม คาลิบ สองแกนนำบีอาร์เอ็นแถลงผ่านเว็บไซต์ยูทิวบ์เมื่อปลายเดือน เม.ย.2556 นั้น ศ.ดร.ชัยวัฒน์ มองว่า ไม่ใช่เรื่องใหม่ และไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการเสนอข้อเรียกร้องแบบนี้ เพราะที่ผ่านมาก็มีการเสนอผ่านรูปแบบอื่นๆ เช่น การโปรยใบปลิว หรือเขียนข้อความตามสถานที่ต่างๆ สิ่งที่แกนนำทั้ง 2 คนทำผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ชื่อดังก็เพื่อยืนยันว่าทั้งคู่มีตัวตนจริง และมุ่งสื่อสารถึงคนในพื้นที่ ตลอดจนฝ่ายกองกำลัง มากกว่าสื่อสารกับรัฐบาลไทย
ทั้งนี้ เพราะเมื่อบีอาร์เอ็นกระโดดขึ้่นรถไฟสายสันติภาพ จะมีปัญหาเกิดขึ้น 2 ข้อ คือ 1.กลุ่มบีอาร์เอ็นไม่สามารถรับประกันได้ว่าตนเองเป็นตัวแทนของคนมลายูส่วนใหญ่ และ 2.กลุ่มบีอาร์เอ็นจะสูญเสียความชอบธรรมในสายตาของ "จูแว" หรือนักรบที่ต่อสู้กับรัฐไทยมาตลอดหลายปี เพราะในสายของของจูแวนั้น หากมีการพูดคุยสันติภาพก็เปรียบเสมือนว่าขบวนการได้ยินยอมทำตามคำสั่งรัฐไทยแล้ว จึงเท่ากับขาดความชอบธรรม แกนนำทั้ง 2 คนจึงพยายามสร้างความชอบธรรมโดยสร้างต้นทุนทางการเมืองให้กับตนเองผ่านข้อเรียกร้อง 5 ข้อ
"ความขัดแย้งในเรื่องชาติพันธุ์ที่เกิดขึ้นในประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยมากจะพบว่าคนที่แสดงตัวหรือเปิดหน้าพูดคุยสันติภาพมักไม่ใช่คนที่เคลื่อนไหวในพื้นที่ และคนกลุ่มนี้อาจไม่ค่อยมีสายสัมพันธ์กับฝ่ายที่ต่อสู้ด้วยอาวุธมากเท่าใดนัก ดังนั้นเชื่อว่าข้อเรียกร้อง 5 ข้อที่ออกมา เป็นการพยายามสื่อไปถึงแนวร่วมในพื้นที่ และพยายามสร้างความชอบธรรมให้กับตนเองว่าเขาไม่ได้ทรยศต่ออุดมการณ์"
----------------------------------------------------------------------------------------------
หมายเหตุ :
1 ไพศาล เสาเกลียว เป็นผู้สื่อข่าวสายความมั่นคง หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
2 บทสัมภาษณ์ชิ้นนี้ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ หน้า 2 ฉบับวันอาทิตย์ที่ 26 พ.ค.2556 ด้วย