บึ้มโรงแรมโก-ลก...ชิมลางก่อนป่วนใหญ่หรือก่อเหตุไม่ได้เพราะ รปภ.แน่น
เหตุระเบิดที่ห้องชั้น 3 โรงแรมเอเซีย ตั้งอยู่เลขที่ 18 ถนนเจริญเขต อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส เมื่อช่วงก่อนเที่ยงของวันเสาร์ที่ 18 พ.ค.2556 กลายเป็นประเด็นที่วิเคราะห์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางว่าคนร้ายจงใจวางระเบิดในโรงแรม หรือเป็นความผิดพลาดที่ทำให้ระเบิดทำงานก่อนเวลาขณะรอให้แนวร่วมอีกกลุ่มหนึ่งมารับระเบิดไปวางต่อกันแน่
เพราะทั้งพฤติการณ์ของคนร้าย รวมทั้งสภาพแวดล้อมของจุดเกิดเหตุ ทำให้มีคำถามและข้อสังเกตที่ยังมิอาจสรุปฟันธงได้หลายประการ
หนึ่ง คือ โรงแรมเอเซียเป็นโรงแรมเล็กๆ ที่ไม่น่าจะเป็นเป้าหมายของการลอบวางระเบิด โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเหตุระเบิดครั้งก่อนๆ ที่สุไหงโก-ลก ซึ่งโดยมากต้องเป็นระเบิดลูกใหญ่ระดับ "คาร์บอมบ์"
ทว่าโรงแรมเอเซียก็ตั้งอยู่ริมถนนเจริญเขต ซึ่งอยู่ใน "เซฟตี้โซน" ของเมืองเศรษฐกิจตามนโยบายคุมเข้มหัวเมืองสำคัญในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของรัฐบาลเช่นกัน
สอง คือ โรงแรมเอเซียเป็นโรงแรมประเภทรีสอร์ท ให้บริการทั้งแบบชั่วคราวและค้างคืน เจ้าหน้าที่ตรวจสอบประวัติการเข้าพักพบพฤติการณ์ของคนร้ายเช็คอินเข้าพักตั้งแต่คืนก่อนหน้า และเช็คเอาท์ออกไปก่อนเกิดระเบิดไม่นาน
วัตถุระเบิดถูกบรรจุอยู่ในกระเป๋า และคนร้ายนำไปซุกไว้ในถังเขี่ยบุหรี่ โดยระเบิดจุดชนวนด้วยการตั้งเวลา
ฉะนั้นน้ำหนักของประเด็นเกิดความผิดพลาดระหว่างการประกอบระเบิดน่าจะตัดออกไปได้ เพราะระเบิดถูกประกอบเสร็จแล้ว เหลือเพียงจงใจทำให้เกิดระเบิดในโรงแรม หรือรอให้แนวร่วมอีกกลุ่มหนึ่งมารับระเบิดไปวางจุดอื่น แต่ตั้งเวลาผิดพลาดจนระเบิดทำงานเสียก่อน
แหล่งข่าวจากหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ ให้ข้อมูลว่า มีความเป็นไปได้สูงที่คนร้ายจงใจทำให้เกิดระเบิดในโรงแรมเพื่อให้เป็นข่าวใหญ่โต เพราะแม้ผู้บาดเจ็บจะมีเพียง 6 ราย และได้รับอันตรายไม่สาหัส แต่แรงอัดของระเบิดก็มากพอสมควร ทำให้หลังคาโรงแรมเปิด อาคารใกล้เคียงได้รับความเสียหายไม่น้อยเหมือนกัน
ภาพข่าวที่ปรากฏผ่านสื่อน่าจะสร้างผลกระทบทางจิตวิทยาได้ โดยเฉพาะการเกิดระเบิดในเขต "เซฟตี้โซน" ส่วนข้อสันนิษฐานที่ว่าเป็นการซุกระเบิดเอาไว้เพื่อรอแนวร่วมอีกกลุ่มหนึ่งมารับไปนั้น ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะคนร้ายเช็คเอาท์ออกไปแล้ว
"จุดนี้เป็นเซฟตี้โซนแน่นอน เพราะอยู่ในเขตเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก ไม่ห่างมากนักกับจุดที่คนร้ายวางระเบิดคาร์บอมบ์หน้าบริษัทโปรคอมพิวเตอร์ แอนด์ โอเอ (ไทยแลนด์) จำกัด เมื่อวันที่ 20 ก.ค.ปีที่แล้ว โดยเมื่อปีที่แล้วคนร้ายมีเป้าประสงค์ทำให้เกิดเพลิงลุกไหม้อาคาร ส่วนการวางระเบิดครั้งนี้แม้จะเป็นระเบิดลูกเล็กกว่า แต่เลือกวางในโรงแรม ก็น่าจะหวังผลให้เกิดความตื่นตระหนก และก่อผลทางจิตวิทยาในแง่ของการทำลายความเชื่อมั่นด้านการท่องเที่ยว เพราะจุดเกิดเหตุเป็นสถานบริการในพื้นที่เขตเมือง"
ข้อสังเกตของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงรายนี้ ค่อนข้างสอดรับกับการประเมินสถานการณ์ในพื้นที่ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งคนร้ายพุ่งเป้าโจมตีย่านเศรษฐกิจในเขตเมือง โดยเหตุการณ์ล่าสุดคือเหตุลอบวางระเบิด 2 จุดหน้าห้างสรรพสินค้าไดอาน่า และโชว์รูมรถยนต์กลางเมืองปัตตานี เมื่อวันที่ 9 พ.ค.2556 ส่วนครั้งนี้เป็นการวางระเบิดในโรงแรม
สาเหตุที่เลือกโจมตีโรงแรมขนาดใหญ่ไม่ได้ ทั้งๆ ที่มีอีกหลายแห่งใน อ.สุไหงโก-ลก น่าจะเป็นเพราะการมีระบบการตรวจตราที่ดีกว่า โดยเฉพาะเครื่องสแกนวัตถุระเบิด ประกอบกับการเคลื่อนย้ายระเบิดน่าจะทำได้ลำบาก เพราะเจ้าหน้าที่วางกำลังรักษาความปลอดภัยค่อนข้างแน่นหนามาก
สถานการณ์ภาพรวมตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากเกิดเหตุระเบิด 2 จุดในย่านเศรษฐกิจใจกลางเมืองปัตตานีเมื่อวันที่ 9 พ.ค.แล้ว ก็เกิดเหตุใหญ่อีกเพียงครั้งเดียว คือ เหตุลอบวางระเบิดรถบัสของกรมการขนส่งทหารเรือในท้องที่ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 11 พ.ค. ซึ่งก็คือวันเสาร์ที่แล้ว นับจากนั้นก็ไม่มีเหตุระเบิดเกิดขึ้นอีกเลยเป็นเวลาถึง 7 วัน มีเพียงเหตุยิงรายวันประปรายซึ่งส่วนใหญ่เป็นความขัดแย้งส่วนตัว การเมืองท้องถิ่น และยาเสพติด
สาเหตุสำคัญที่กลุ่มก่อความไม่สงบไม่สามารถปฏิบัติการได้อย่างเสรี เป็นเพราะตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมาฝ่ายความมั่นคงวางกำลังอย่างแน่นหนา เข้มงวด เนื่องจากเป็นสัปดาห์เปิดภาคการศึกษาใหม่ ประกอบกับเพิ่งเกิดเหตุระเบิดในย่านเศรษฐกิจกลางเมืองปัตตานีจนเจ้าหน้าที่เสียหน้าและถูกตำหนิจากผู้บังคับบัญชา จึงมีการปรับแผนวางกำลังกันใหม่ ดึงกำลังจากพื้นที่รอบนอกเข้าไปตรึงเสริมในเขตเมืองมากขึ้น
ที่สำคัญปัจจุบันฝ่ายความมั่นคงใช้ "กองกำลังประจำถิ่น" มากกว่าเดิม โดยลดกำลังทหารจากนอกพื้นที่ หรือทหารจากกองทัพภาคที่ 1, 2 และ 3 เหลือเพียง 5 กองพัน จากกำลังพลรวมทั้งหมด 22 กองพัน และจะทยอยลดลงอีกเรื่อยๆ โดยเน้นใช้กำลังจากกองทัพภาคที่ 4 และนาวิกโยธินกองทัพเรือเป็นหลักแทน
แต่นั่นไม่ใช่การลดกำลังทหาร เพียงแต่สับเปลี่ยนกำลังมาใช้ "กองกำลังประจำถิ่น" ทั้งทหารพราน 12 กรม และอาสารักษาดินแดน (อส.) ซึ่งล้วนเป็นคนท้องถิ่นเข้าไปเสริม จึงมีขีดความสามารถในการเฝ้าระวังสูงขึ้นกว่าเดิม ทั้งการจับพิรุธคนและจุดเสี่ยง ทำให้มาตรการ รปภ.ประสบผลสำเร็จมากขึ้นหากไม่ประมาท
จากการประเมินของฝ่ายความมั่นคงพบว่า สถานการณ์ที่ดีขึ้นในห้วงนี้ยังไม่ใช่ผลจากการพูดคุยสันติภาพระหว่างตัวแทนรัฐบาลกับแกนนำบีอาร์เอ็นกลุ่ม นายฮัสซัน ตอยิบ เพราะจากการตรวจสอบจากสายข่าวยืนยันว่ายังไม่มีการส่งสัญญาณให้ลดระดับการก่อเหตุรุนแรงลง เพียงแต่ยังหาโอกาสเหมาะๆ ไม่ได้เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตรึงกำลังเข้ม
ฉะนั้นสถานการณ์ที่ชายแดนใต้นับจากนี้ โดยเฉพาะห้วงใกล้วันนัดพูดคุยสันติภาพรอบ 3 วันที่ 13 มิ.ย.จึงยังคงอ่อนไหวและมีโอกาสเกิดเหตุรุนแรงได้ทุกเมื่อ โดยมีระเบิด "ชิมลาง" ที่สุไหงโก-ลก เป็นตัวอย่างที่มิอาจวางใจ!
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ : ความเสียหายของห้องพักในโรงแรมเอเซีย อ.สุไหงโก-ลก จากอานุภาพของระเบิด