สำรวจทางเลือกหลังไฟใต้โชน...ทบทวนเจรจาหรือเดินหน้าพูดคุย
"ละครที่รัฐบาลแสดง สังเวยด้วยชีวิตและคราบน้ำตาของประชาชนชายแดนใต้ ความจริงใจอยู่ที่ไหน?"
เป็นประโยคสั้นๆ แต่กินใจจากผู้ที่ใช้นามว่า "คนยะลา" ส่งข้อความถึง ส.ว.อนุศาสน์ สุวรรณมงคล ซึ่งเป็นดั่งที่พึ่งหวังของพี่น้องประชาชนทั้งไทยพุทธและมุสลิมจำนวนไม่น้อยในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในนาทีที่เกิดเหตุระเบิดป่วนเมืองยะลา เมื่อตอนค่ำของวันอาทิตย์ที่ 7 เม.ย.2556
ความหมายของคำว่า "ละคร" ที่ "คนยะลา" พูดถึง ย่อมหนีไม่พ้นกระบวนการพูดคุยสันติภาพแบบ "เปิดเผย-เอิกเกริก" ของรัฐบาล ที่ไปทำกับกลุ่มบุคคลที่อ้างตัวว่าเป็นแกนนำขบวนการบีอาร์เอ็น นำโดย นายฮัสซัน ตอยิบ
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นต่อเนื่องตลอดเดือน มี.ค.ถึงต้นเดือน เม.ย.2556 หลังรัฐบาลเปิดหน้าพูดคุยสันติภาพกับกลุ่มของนายฮันซัน ทำให้หลายฝ่ายออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนกระบวนการที่ได้ดำเนินการไป
ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลตั้งแต่นายกรัฐมนตรีลงมา จนถึงเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ผู้นำการพูดคุยสันติภาพ รวมทั้งผู้สนับสนุน ยังคงยืนกรานว่าเหตุรุนแรงที่ปรากฏเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เกิดขึ้นได้ระหว่างการดำเนินกระบวนการสันติภาพ และไม่ส่งผลต่อการพูดคุยที่กำลังดำเนินการอยู่ ยังพร้อมเดินหน้าต่อ
ถึงนาทีนี้สภาพการณ์เกี่ยวกับปัญหาชายแดนภาคใต้จึงเหมือนมี 2 แนวคิด ประหนึ่งเดินถึง "ทางสองแพร่ง" ที่ยังหา "จุดร่วม" ที่ลงตัวมิได้ "ทีมข่าวอิศรา" จึงขออาสารวบรวมเหตุผลของแต่ละฝ่ายมานำเสนอ
"อนุศาสน์"จี้ทบทวนเจรจา-ย้ำไม่ใช่สถานการณ์ปกติ
บุคคลที่เรียกร้องอย่างแข็งขันให้รัฐบาลทบทวน "วิธีการพูดคุยเจรจา" นอกจากคนของพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นพรรคฝ่ายค้านแล้ว ยังมี นายอนุศาสน์ สุวรรณมงคล สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ชาว จ.ปัตตานี ด้วย
ส.ว.อนุศาสน์ บอกว่า เหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นในระยะนี้ซึ่งก่อความสูญเสียกับข้าราชการระดับกลางและระดับสูง ตั้งแต่รองผู้กำกับการ สภ.รือเสาะ จ.นราธิวาส (เจ้าของฉายาชุมแพ) นายทหารยศร้อยเอก ตำแหน่งผู้บังคับกองร้อย (ผบ.ร้อย) ร้อย ร.15123 เหตุการณ์อุ้มฆ่าพลทหารที่ประจำฐานนาวิกโยธินที่ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส มาจนถึงป้องกันจังหวัดยะลา (นายเชาวลิตร ไชยฤกษ์) และรองผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา (นายอิศรา ทองธวัช) จากเหตุลอบวางระเบิดที่ อ.บันนังสตา จ.ยะลา เป็นผลมาจากการพูดคุยสันติภาพแบบเปิดเผยที่รัฐบาลทำกับกลุ่มบีอาร์เอ็นแน่นอน
"เมื่อก่อนถึงจะมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นแทบจะรายวัน แต่เหตุใหญ่ๆ ที่สร้างความสูญเสียมากๆ โดยเฉพาะกับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ไม่เคยเกิดต่อเนื่องกันแบบนี้ ผมคิดว่านี่คือผลจากการพูดคุยเจรจาแบบเอิกเกริกและยกระดับกลุ่มที่อ้างตัวว่าเป็นแกนนำบีอาร์เอ็นอย่างชัดเจน สาเหตุก็เกิดจากความใจร้อนของคนบางคนที่ต้องการให้ปัญหาจบโดยคิดแบบง่ายๆ แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นการสร้างเงื่อนไขใหม่ให้เกิดขึ้น"
ส.ว.อนุศาสน์ กล่าวต่อว่า ขอเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนกระบวนการพูดคุยสันติภาพ โดยเฉพาะการพูดคุยแบบเปิดเผยที่เป็นการยกระดับอีกฝ่ายหนึ่งดังที่ทำอยู่ เพราะก่อผลกระทบค่อนข้างรุนแรง ในขณะที่รัฐเองไม่ได้มีความรอบคอบในการวางแผนรับมือเหตุร้ายที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่ในช่วงของการดำเนินกระบวนการพูดคุย
"มีข่าวว่าทางเราไปเสนอข้อเรียกร้องให้ฝ่ายบีอาร์เอ็นหยุดโจมตีเป้าหมายอ่อนแอ ทำให้กลุ่มผู้ก่อเหตุเบนเป้ามาโจมตีเป้าหมายเข้มแข็งแทน แต่ผมว่าวันนี้เป้าหมายอ่อนแอก็โดนแล้ว มีระเบิดในเมืองยะลาถึง 4-5 จุด (ค่ำวันอาทิตย์ที่ 7 เม.ย.) ผมมองว่าเป็นความพยายามใช้ความรุนแรงเพื่อสร้างเงื่อนไขหรือเพิ่มอำนาจต่อรองในการเจรจา เพราะเราไปเจรจาแบบเปิดเผย"
เมื่อถามว่ารัฐบาลชี้แจงว่าเหตุรุนแรงลักษณะนี้ก็เกิดขึ้นอยู่แล้ว และยังถือเป็นเรื่องปกติของการพูดคุยสันติภาพ เพราะจะต้องมีกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยออกมาก่อเหตุเชิงสัญลักษณ์ ถือเป็นเหตุผลที่ฟังขึ้นหรือไม่ ส.ว.อนุศาสน์ กล่าวว่า คงสรุปไม่ได้ว่าเป็นเหตุการณ์ปกติ เพราะในอดีตก็ไม่เคยเกิดต่อเนื่องมากขนาดนี้
ข้อเสนอปรับกระบวนการ-แนะส่งสัญญาณตรงกับคนพื้นที่
สำหรับข้อสังเกตและข้อเสนอที่ได้พูดคุยรับฟังจากฝ่ายต่างๆ ทั้งฝ่ายการเมือง เจ้าหน้าที่รัฐ ประชาชนในพื้นที่ และนักวิชาการ ที่มีต่อกระบวนการพูดคุยสันติภาพของรัฐบาล สรุปได้ดังนี้
1.รัฐบาลต้องยอมรับได้แล้วว่าเหตุรุนแรงที่เกิดถี่ขึ้น พุ่งเป้าไปยังตำรวจ ทหาร และข้าราชการระดับสูงมากขึ้นในระยะหลัง เป็นการเร่งสร้างสถานการณ์ที่สอดรับกับจังหวะเวลาของการพูดคุยสันติภาพ จะพูดลอยๆ ว่าไม่เกี่ยวกันคงไม่ได้
2.รัฐบาลต้องยอมรับว่าไม่ว่าตนเองจะใช้ศัพท์แสงหรูหราหลบเลี่ยงไปมาอย่างไร แต่การพูดคุยเจรจาระหว่าง 2 ฝ่าย คือตัวแทนรัฐไทยกับตัวแทนกลุ่มแบ่งแยกดินแดนได้เริ่มขึ้นแล้ว และเป็นการเริ่มอย่างเปิดเผย เอิกเกริกโดยรัฐบาลเอง ซึ่งเท่ากับเป็นการยอมรับการมีอยู่ของอีกฝ่ายหนึ่งอย่างชัดแจ้ง
3.การพูดคุยเจรจาของรัฐบาลที่ด่วนกระทำอย่างเปิดเผย เอิกเกริก ขัดกับหลักทฤษฎีการพูดคุยหรือเจรจาสันติภาพ ซึ่งนักวิชาการและผู้มีประสบการณ์จำนวนไม่น้อยก็มองเห็นตรงกัน ถือเป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้สถานการณ์ไฟใต้เลวร้ายลง จึงควรทบทวนแก้ไขในประเด็นต่างๆ เช่น
- ดึงการพูดคุยเจรจากลับมาอยู่ในโหมดปิดลับ หรือยุติการพูดคุยในทางเปิดเอาไว้ก่อน เพื่อลดแรงกดดันจากฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย ทั้งยังป้องกันการสร้างสถานการณ์จากกลุ่มที่ร่วมพูดคุยเอง ซึ่งอาจทำไปเพื่อยกระดับตัวเองและเพิ่มอำนาจต่อรอง
- จากสภาพการณ์ในพื้นที่ มีความเป็นไปได้สูงที่กลุ่มบุคคลที่พูดคุยกับตัวแทนรัฐบาลไทยไม่ได้มีอิทธิพลหรือมีศักยภาพมากพอที่จะควบคุมกลุ่มติดอาวุธรุ่นปัจจุบันซึ่งเคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่ได้ ฉะนั้นแทนที่รัฐจะแสดงท่าทียอมพูดคุยเจรจาและโอนอ่อนผ่อนตามข้อเรียกร้องของกลุ่มนายฮัสซัน ตอยิบ ทุกอย่าง รัฐบาลน่าจะหันมาทุ่มแก้ปัญหาโดยตรงกับกลุ่มที่เคลื่อนไหวในพื้นที่ขณะนี้ โดยเฉพาะปัญหาความไม่เป็นธรรม เพราะจะเป็นการแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด ตรงเป้า ถูกฝาถูกตัว ไม่ต้องผ่านโบรกเกอร์อย่างนายฮัสซันและพวก
- นโยบายที่รัฐบาลทำได้ทันทีก็เช่น ลดพื้นที่การใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ (พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548) สลับกำลังให้ฝ่ายพลเรือนมีบทบาทดูแลพื้นที่มากขึ้น หรือยื่นไต่สวนหมายจับใหม่ทั้งหมด ทั้งหมาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ (หมาย ฉฉ.) และหมาย ป.วิอาญา (ออกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา) หากหมายไหนพิจารณาแล้วไม่มีหลักฐานหนักแน่นพอ หรือมีหลักฐานเพียงคำซัดทอดบอกเล่า ก็ให้ถอนหมายเหล่านั้นเสีย รวมทั้งพิจารณาให้ประกันตัวหรือปล่อยชั่วคราวผู้ต้องขังคดีความมั่นคงระหว่างการต่อสู้คดี ฯลฯ
การให้ความเป็นธรรมทางคดีและการลดการบังคับใช้กฎหมายพิเศษลักษณะนี้ จะช่วยลดทอนความรู้สึกคับแค้นหรือไม่พอใจนโยบายของรัฐจากคนรุ่นปัจจุบันที่อยู่ในพื้นที่ได้มากกว่า และน่าจะสร้างบรรยากาศหนุนเสริมการพูดคุยสันติภาพจากในพื้นที่อย่างแท้จริง ไม่ต้องรอการประสานงานจากมาเลเซียแต่เพียงด้านเดียว
เป็นไปไม่ได้ "พูดคุยปุ๊บ สันติภาพเกิดปั๊บ"
ทางด้านฝ่ายที่มองว่าเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ห้วงนี้เป็นเรื่องปกติธรรมดาระหว่างการดำเนินกระบวนการสันติภาพ นอกจาก นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการ สมช.ที่ให้สัมภาษณ์แทบจะรายวันแล้ว ยังมีการวิเคราะห์จากนักวิชาการด้านความมั่นคงอย่าง พ.อ.ดร.ธีรนันท์ นันทขว้าง ที่เสนอมุมมองเอาไว้อย่างน่าสนใจ
พ.อ.ดร.ธีรนันท์ กล่าวว่า การพูดคุยมีการใช้คำว่า "สันติภาพ" ทำให้เกิดความคาดหวังในหมู่ประชาชนว่าเมื่อพูดคุยแล้วสถานการณ์ต้องดีขึ้น ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่ได้เป็นอย่างนั้น เพราะกระบวนการสันติภาพต้องใช้เวลานานหลายปี เป็นไปไม่ได้ที่พอเริ่มพูดคุยแล้วสถานการณ์จะดีขึ้นทันที
"ยิ่งในภาคใต้ของเรายิ่งเป็นไปไม่ได้ หากเข้าใจการทำงานของขบวนการก่อความไม่สงบยุคใหม่ จะเข้าใจว่าการจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นทันทีจากการพูดคุยเจรจาเพียงครั้งสองครั้ง เป็นเรื่องที่เป็นไปไมได้เลย เพราะกลุ่มบุคคลที่เคลื่อนไหวก่อเหตุอยู่ในพื้นที่นั้นถูกสร้างขึ้นด้วยอุดมการณ์หรือชุดความคิดชุดหนึ่งจากแกนนำขบวนการรุ่นหนึ่ง จากนั้นคนเหล่านั้นก็ถูกปล่อยออกไป และไปดำเนินการตามแนวทางของตนเองในลักษณะเซลล์อิสระ พอถึงวันหนึ่งที่แกนนำรุ่นแรกๆ ออกมาพูดคุยเจรจา บอกว่าสิ่งที่ทำมานั้นขอให้ยุติ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่บรรดาเซลล์อิสระทั้งหลายจะหยุดเคลื่อนไหวและเข้าสู่กระบวนการสันติภาพทันที"
พ.อ.ดร.ธีรนันท์ ยังวิเคราะห์ว่า เหตุรุนแรงที่เกิดขึ้น นอกจากจะเกิดจากกลุ่มที่ต่อต้านการพูดคุยสันติภาพ หรือไม่เอาด้วยกับกระบวนการนี้ หรือบรรดาเซลล์อิสระที่ยังไม่หยุดเคลื่อนไหวแล้ว ก็ยังอาจเป็นไปได้ที่กลุ่มคนที่เข้าร่วมเจรจาเองพยายามสร้างสถานการณ์เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองของตน
"ผมคิดว่าเหตุรุนแรงแต่ละเหตุการณ์ต้องนำมาวิเคราะห์แยกแยะว่าเกิดจากอะไรแน่ หลายๆ เรื่องอาจเป็นการสร้างสถานการณ์ที่ฝ่ายผู้ก่อการต้องการทำอยู่แล้วก็เป็นได้ โดยไม่เกี่ยวข้องกับการพูดคุยสันติภาพเลย ผมไม่อยากให้มองแบบเหมารวมว่าเหตุรุนแรงที่เกิดถี่ในช่วงนี้เป็นผลมาจากการพูดคุยสันติภาพ เพราะถ้าเราวิเคราะห์ผิด ก็จะส่งผลให้กำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาผิดไปด้วยในอนาคต" นักวิชาการด้านความมั่นคง ระบุ
อย่าให้ยุทธศาสตร์ดีๆ ทุกทำลายด้วยยุทธวิธีบางอย่าง
แหล่งข่าวจากหนึ่งในแกนนำคณะทำงานพูดคุยสันติภาพฝ่ายตัวแทนรัฐบาลไทย แสดงทัศนะว่า ไม่อยากให้ด่วนสรุปว่าเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นในช่วงนี้เป็นผลมาจากการพูดคุยสันติภาพเท่านั้น เพราะการลอบสังหารข้าราชการระดับสูงก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วตลอด 9 ปีไฟใต้ ไม่ใช่เพิ่งจะเกิดขึ้นในช่วงนี้ครั้งแรก
"ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์สังหารผู้พิพากษา (ผู้พิพากษาศาลจังหวัดปัตตานี เมื่อปี 2547) หรือแม้แต่เหตุลอบวางระเบิดรถยนต์ของผู้ว่าราชการจังหวัด (ผู้ว่าฯปัตตานี เมื่อปี 2554) ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว จึงไม่อยากให้ด่วนสรุป แล้วทำให้ยุทธศาสตร์ดีๆ ถูกทำลายด้วยยุทธวิธีบางอย่างของฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย" แหล่งข่าวจากแกนนำคณะพูดคุย กล่าว
ว่าที่ ร.ต.เลิศเกียรติ วงศ์โพธิพันธ์ รองเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) หนึ่งในองค์กรที่มีบทบาทสำคัญในกระบวนการพูดคุยสันติภาพ กล่าวว่า ต้องแยกระหว่างเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้น กับกระบวนการพูดคุยสันติภาพออกจากกัน เพราะไม่เกี่ยวข้องกันเลย การทำร้ายเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงและทหาร ตำรวจ เป็นแนวทางของผู้ก่อเหตุรุนแรงที่กระทำอยู่ปกติ ประกอบกับการพูดคุยสันติภาพไม่ใช่คำตอบว่าเหตุรุนแรงต้องยุติลงทันที
"การเจรจายื่นเงื่อนไขยังไม่เกิดขึ้นเลย ยังไม่เคยมีการเสนอเงื่อนไขให้หยุดยิง มีแค่การพูดคุยเบื้องต้นว่าจะตั้งคณะทำงานร่วมกันทั้งสองฝ่ายเพื่อพูดคุยกันเรื่องอะไรบ้าง ฉะนั้นต้องแยกสองเรื่องนี้ออกจากกัน เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องกัน"
ว่าที่ ร.ต.เลิศเกียรติ กล่าวด้วยว่า เหตุลอบวางระเบิดที่ทำให้รองผู้ว่าราชการจังหวัดยะลาเสียชีวิต พร้อมกับปลัดป้องกันจังหวัดยะลานั้น เป็นการตอบโต้ของกลุ่มขบวนการหลังจากฝ่ายความมั่นคงจับกุมแกนนำผู้ก่อความไม่สงบคนสำคัญที่เคลื่อนไหวอยู่ใน อ.บันนังสตา และ อ.ธารโต จ.ยะลา จึงไม่เกี่ยวกับเรื่องพูดคุยสันติภาพ
"วันนั้นใครผ่านไปก็ต้องโดน ไม่ได้จำเพาะว่าต้องเป็นท่านรองผู้ว่าฯยะลา เพราะเขาต้องการตอบโต้ที่เราไปจับแกนนำคนสำคัญของเขา" รองเลขาธิการ ศอ.บต.ระบุ
เขาย้ำด้วยว่า เหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นไม่ใช่การสร้างเงื่อนไขหรือเพิ่มอำนาจต่อรองของกลุ่มที่ร่วมพูดคุยกับตัวแทนรัฐบาลไทย และไม่ได้ต้องการดิสเครดิตกระบวนการพูดคุยด้วย เนื่องจากการยื่นเงื่อนไขเจรจายังไม่เกิดขึ้นเลย
"ถ้ามีการยื่นเงื่อนไขแล้วว่าต้องหยุดยิง จากนั้นก็ยังมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นอีก อย่างนี้ถึงจะเรียกว่าเกี่ยวข้องชัดเจน ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ต้องมาว่ากัน แต่ที่ผ่านมาถือว่ายังไม่เกี่ยวข้องเลย" ว่าที่ ร.ต.เลิศเกียรติ กล่าว
ทั้งหมดคือเหตุผลของทั้งสองฝ่ายท่ามกลางกระบวนการพูดคุยสันติภาพที่ยังคงฝุ่นตลบ และยังมีความไม่แน่นอนอย่างสูง โดยเฉพาะการเลือกตั้งทั่วไปในมาเลเซียที่อาจเป็น "ตัวแปรแทรก" กระทบต่อกระบวนการพูดคุยสันติภาพได้เหมือนกัน!
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ : เหตุระเบิด 1 ใน 4 จุดกลางเมืองยะลา เมื่อค่ำวันอาทิตย์ที่ 7 เม.ย.2556 (ภาพโดย อะหมัด รามันห์สิริวงศ์)