ข่าวกรอง-ศรภ.ห่วงไฟใต้ไม่ดับหลังลงนามสันติภาพ
กลไกรัฐสภาเดินหน้าตรวจสอบ "ลงนามสันติภาพดับไฟใต้" ผอ.สำนักข่าวกรองฯ ประสานเสียงรอง ผอ.ศรภ.ห่วงไฟใต้ไม่คลี่คลายหลังรัฐบาลริเริ่มพูดคุยกับบีอาร์เอ็น เหตุในพื้นที่มีหลายกลุ่ม แถมแนวร่วมรุ่นใหม่ไม่สนใจ กอ.รมน.ย้ำสถานการณ์ยังเสี่ยง อย่าเพิ่งลดการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ "เฉลิม" ไปอีกทางเตรียมลุยมาตรา 21 อบรม 15 วันปล่อยตัว ยอมรับเตรียมย้าย "นักโทษชรา" ไปคุมขังเรือนจำบ้านเกิด ยะลาระทึก ตรวจสอบรถต้องสงสัยหวั่นเป็นมอเตอร์ไซค์บอมบ์ ลูกจ้างแขวงการทางยะลาสารภาพร่วมวงป่วนเมือง
หลายฝ่ายได้ขับเคลื่อนตรวจสอบการลงนามในข้อตกลงริเริ่มกระบวนการพูดสันติภาพ ระหว่าง พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กับ นายฮัสซัน ตอยิบ ที่อ้างตัวเป็นแกนนำขบวนการบีอาร์เอ็น เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 28 ก.พ.2556 ทั้งนี้ เพื่อแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้
การประชุมคณะกรรมาธิการการทหาร (กมธ.ทหาร) สภาผู้แทนราษฎร เมื่อเช้าวันพฤหัสบดีที่ 7 มี.ค.2556 พล.อ.สมชาย วิษณุวงศ์ ประธาน กมธ.ทหาร ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจงกรณีดังกล่าว ซึ่งยังคงเป็นที่วิเคราะห์วิจารณ์ของหลายฝ่ายอย่างกว้างขวาง
ทั้งนี้มีผู้บริหารหน่วยงานด้านความมั่นคงเข้าร่วมชี้แจงอย่างพร้อมเพรียง อาทิ พล.ท.ภราดร นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ (สขช.) พล.ต นักรบ บุญบัวทอง รองผู้อำนวยการศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 5 (ศปป.5) กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาศ ผู้อำนวยการสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า เป็นต้น
ข่าวกรองฯห่วงลงนามแล้วเหตุรุนแรงไม่ยุติ
นายสุวพันธุ์ กล่าวตอนหนึ่งว่า การลงนามเป็นขั้นตอนหนึ่งของโรดแมพ (แผนที่เดินทาง) ที่จะนำไปสู่สันติภาพ ซึ่งการพบปะอย่างเป็นทางการครั้งที่ 2 วันที่ 28 มี.ค.ถือเป็นการเข้าสู่กระบวนการขั้นตอนที่ 2 ในการทำความเข้าใจหลักการให้ตรงกันเพื่อให้เกิดความไว้วางใจ แต่ฝ่ายไทยต้องรักษาอำนาจการต่อรองเอาไว้ และประสานงานกับรัฐบาลมาเลเซียด้วย สำหรับภาพรวมทั่วไปนั้นเห็นว่าการลงนามเป็นการปรับแนวการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เป็นแนวทางสันติวิธี
"เรื่องนี้ได้รับการคาดหวังจากประชาชนและนักวิชาการว่าสถานการณ์จะดีขึ้น แต่ก็ยังรู้สึกกังวลว่าหลังการลงนามแล้วจะยุติเหตุความรุนแรงได้หรือไม่ เพราะปัญหานี้เกิดขึ้นมายาวนาน ส่วนการดึงประเทศมาเลยเซียให้เข้ามาร่วมในฐานะผู้อำนวยความสะดวกให้เกิดการพูดคุยอย่างเป็นทางการ จะทำให้การเคลื่อนไหวของกลุ่มก่อความไม่สงบทำได้ยากขึ้นในอนาคต ขณะเดียวกันมาเลเซียเองก็ต้องดำเนินการเรื่องนี้อย่างเต็มที่ด้วย เพราะมิฉะนั้นก็เสี่ยงที่จะเกิดความล้มเหลวในอนาคตเช่นกัน"
"การลงนามเป็นเรื่องดีที่ ทำให้กลุ่มก่อความไม่สงบออกจากที่ลับมาอยู่ในที่แจ้ง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ไม่มีการแสดงตัว ผมเชื่อว่าหลังจากนี้จะมีกลุ่มอื่นๆ ทยอยออกมาพูดคุยมากขึ้น แต่ในพื้นที่ยังมีปัญหาเรื่องของความไม่เป็นเอกภาพ เนื่องจากบีอาร์เอ็นมีหลายกลุ่ม ทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย รวมถึงกลุ่มผลประโยชน์และยาเสพติดแอบแฝงอยู่ เชื่อว่าความรุนแรงในพื้นที่ยังไม่ยุติ การต่อสู้ก็ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง แต่ถ้าในอนาคตสามารถดึงกลุ่มอื่นมาพูดคุยได้ก็เชื่อว่าปัญหาต่างๆ น่าจะดีขึ้น" ผู้อำนวยการ สขช.ระบุ และว่า อยากฝากให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ใช้ความเข้มงวดในการดูแลสถานการณ์และใช้กฎหมายที่เข้มข้นต่อไป เพราะการพูดคุยต้องใช้เวลายาวนานกว่าจะสำเร็จ การลงนามเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
ศรภ.ชี้แนวร่วมรุ่นใหม่ไม่สนใจสันติภาพ
พล.ต.ธนเกียรติ ชอบชื่นชม รองผู้บัญชาการศูนย์รักษาความปลอดภัย (ศรภ.) กล่าวว่า การลงนามในข้อตกลงฯเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ไขปัญหา แต่ระยะสั้นยังบอกไม่ได้ว่าการก่อเหตุรุนแรงจะลดลง เนื่องจากผู้ก่อเหตุได้วางแผนมาล่วงหน้า ที่สำคัญเด็กรุ่นใหม่ที่ลงมือก่อเหตุไม่ได้สนใจกับการหารือเพื่อนำไปสู่สันติภาพ ขณะเดียวกันยังไม่มีความชัดเจนว่าแกนนำอาวุโสที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่มานานจะพูดคุยกับแนวร่วมรุ่นใหม่ได้หรือไม่
อย่างไรก็ดี จากการสอบถามความเห็นของประชาชนในพื้นที่ ส่วนใหญ่เห็นด้วยกับกระบวนการสันติภาพ แม้จะมีข้อห่วงใยว่าอาจไม่ได้ผลก็ตาม จึงขอให้รัฐบาลยึดหลักเอกภาพ และพยายามสื่อสารความคืบหน้าเพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นและตั้งใจจริง
กอ.รมน.บอกยังมีความเสี่ยง-ขวางเลิก พ.ร.ก.
พล.อ.เอกชัย จากสถาบันพระปกเกล้า กล่าวว่า แนวทางการเจรจาถือเป็นแนวทางที่ดี แต่ก็ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะอาจมีทั้งกลุ่มที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย อีกทั้งในระยะหลังที่เห็นว่ากลุ่มผู้ก่อความไม่สงบลดลงนั้น อาจเป็นเพราะมีการรวมกลุ่มกัน แต่เป็นการรวมที่ไม่เป็นเอกภาพ กลุ่มที่ไทยไปพูดคุยเจรจาเป็นเพียงหนึ่งในหลายกลุ่ม
ขณะที่ตัวแทนจาก กอ.รมน. กล่าวว่า ฝ่ายทหารอยากให้มีการพูดคุยกับผู้นำฝ่ายกองกำลังของกลุ่มผู้ก่อการด้วย และสถานการณ์ช่วงนี้ยังมีความเสี่ยง จึงไม่อยากให้ลดอำนาจการใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ) ลง
เตือนมาเลย์อาจไม่อยากให้ใต้สงบจริง
พล.อ.สมชาย ในฐานะประธาน กมธ.ทหาร กล่าวว่า เหตุการณ์ความไม่สงบนั้น ถ้าคนที่อยู่เบื้องหลังไม่อยากให้ประเทศไทยสงบสุข มีแต่ความทุกข์ยาก มีแต่ความตายและความเดือดร้อน การพูดคุยก็จะไม่สัมฤทธิ์ผล ถึงจะแก้บางส่วนได้ แต่คนที่เสียผลประโยชน์ในเรื่องอื่น เช่น ยาเสพติด น้ำมันเถื่อน ก็คงไม่ต้องการให้จบ
"ประเด็นของผมคือเราไม่รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง ที่สำคัญที่สุดคือถ้าคนที่ร่วมทำให้เกิดการเจรจาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเสียเองจะทำอย่างไร ผมคิดว่าเราเหมือนคลำถูกทางบางส่วน แต่เมื่อคลำๆ ไปคล้ายกับว่าอันตรายกำลังอยู่ใกล้ตัวเราหรือเปล่า แล้วเราจะอยู่อย่างไร" พล.อ.สมชาย ตั้งข้อสังเกต
พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ อดีตผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวว่า อย่าคิดว่ามาเลเซียจะมีความจริงใจกับเรา 100% ฉะนั้นต้องยอมรับความจริง ประเด็นสำคัญคือรัฐไทยต้องเข้าไปยึดครองหัวใจคนในพื้นที่ให้ได้
"เฉลิม"อ้างลุยใช้ ม.21 อบรม 15 วันปล่อย
วันเดียวกัน ที่รัฐสภา ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ผอ.ศปก.กปต.) ได้ตอบกระทู้ถามสดของ นายเจะอามิง โตะตาหยง ส.ส.นราธิวาส พรรคประชาธิปัตย์ ที่ถามถึงการทำข้อตกลงริเริ่มกระบวนการพูดคุยสันติภาพกับกลุ่มบีอาร์เอ็น โดยยืนยันว่า ข้อตกลงฯที่ไปลงนามไม่ใช่สนธิสัญญา เพราะคนที่ไปคุยด้วยเป็นคนไทย ไม่ใช่คนประเทศอื่น จึงไม่ต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 พร้อมย้ำว่าสถานการณ์ในพื้นที่ไม่ได้รุนแรงเพิ่มขึ้นหลังลงนามข้อตกลงสันติภาพ
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวด้วยว่า ได้เดินหน้านำมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 (พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ) มาใช้แก้ปัญหาภาคใต้ โดยได้เชิญ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มาพบ ในฐานะพนักงานสอบสวนคดีความมั่นคง 20 คดี ถือว่ามีประสบการณ์ และได้ติดต่อเจ้าหน้าที่ศาล และอธิบดีศาลยุติธรรมภาค 9
"ง่ายๆ ผู้มีหมายจับคดีความมั่นคงมาพบแม่ทัพภาคที่ 4 แล้วแม่ทัพจะมาพบผม จะเชิญนายธาริตมาคุย หากตกลงก็จะถอนหมายจับ จากนั้นจะนำเข้าไปอบรม 15 วันผมก็จะปล่อย ไม่ต้องถึง 6 เดือน ผมรับผิดชอบ ไม่มีความรุนแรง” ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
แจง กมธ.วิฯภาคใต้ มาเลย์จัดฮัสซันมาให้เซ็น
ก่อนหน้านั้น เมื่อวันพุธที่ 6 มี.ค.2556 คณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาและติดตามการแก้ไขปัญหาและการฟื้นฟูการพัฒนาตามวิถีวัฒนธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ วุฒิสภา ที่มี พล.อ.เกษมศักดิ์ ปลูกสวัสดิ์ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) สายสรรหา เป็นประธาน ได้เชิญ ร.ต.อ.เฉลิม และ พล.ท.ภราดร เข้าชี้แจงประเด็นการลงนามพูดคุยสันติภาพกับกลุ่มบีอาร์เอ็น
พล.อ.เกษมศักดิ์ กล่าวภายหลังการประชุมว่า ร.ต.อ.เฉลิม ชี้แจงว่า การพูดคุยยังไม่ได้มีการกำหนดกรอบหรือรายละเอียด รวมถึงเป้าหมายของการเจรจาสันติภาพ เพียงแต่เป็นการเปิดช่องให้กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่ที่มี 5- 6 กลุ่มเห็นว่ารัฐบาลไทยมีความปรารถนาที่จะเปิดช่องทางการเจรจา จากเดิมที่รัฐบาลหลายชุดที่ผ่านมาประกาศว่าจะไม่เจรจา
"รองนายกฯ บอกว่าคนที่มาลงนามไม่ใช่ผู้ก่อการร้ายหรือผู้ก่อความไม่สงบ แต่เป็นเพียงผู้ที่มีปัญหาอยู่ในพื้นที่ โดยยังไม่เคยถูกออกหมายจับ จึงลงนามสันติภาพเพื่อปูทางไปสู่การพูดคุยกับกลุ่มอื่นๆ เบื้องต้นรัฐบาลจะยึดการพูดคุยตามกฎหมายและรัฐธรรมนูญของประเทศไทย" พล.อ.เกษมศักดิ์ กล่าว
นายอนุศาสน์ สุวรรณมงคล ส.ว.สรรหา ในฐานะโฆษก กมธ.วิสามัญฯ กล่าวว่า ประเด็นที่ กมธ.ติดใจซักถามคือประวัติของนายฮัสซัน ตอยิบ แต่ ร.ต.อ.เฉลิม ก็ไม่ได้ตอบคำถามโดยตรง เพียงอธิบายว่าเป็นบุคคลที่ทางรัฐบาลมาเลเซียให้การรับรองและเป็นผู้ที่เลือกมาให้ลงนาม ดังนั้นเมื่อรัฐบาลประเทศมาเลเซียลงมาเป็นคนกลางเจรจา เท่ากับว่ารัฐบาลประเทศมาเลเซียให้การค้ำประกัน
"ความเห็นส่วนตัวผมขอให้รัฐบาลไทยระวังที่จะนำประเด็นการเจรจาไปเป็นประเด็นทางการเมืองในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และอยากให้รัฐบาลไทยรับฟังความเห็นของประชาชนในพื้นที่ด้วย" นายอนุศาสน์ กล่าว
"เฉลิม"ยอมรับย้ายนักโทษชรากลับคุกบ้านเกิด
ที่ทำเนียบรัฐบาล มีคณะหัวหน้าส่วนราชการและผู้บริหารท้องถิ่นในโครงการศึกษาดูงานตามโครงการสี่ประสานประจำปีงบประมาณ 2556 จาก อ.เมือง จ.ปัตตานี จำนวน 100 คน เข้าเยี่ยมคารวะ ร.ต.อ.เฉลิม โดยเจ้าตัวกล่าวตอนหนึ่งว่า ในวันที่ 28 มี.ค. จะเดินทางไปพบ นายมหาธีร์ มูฮำหมัด อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ที่เกาะลังกาวี เพราะนายมหาธีร์อนุญาตให้เข้าพบแล้ว
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวด้วยว่า กำลังประสานอธิบดีกรมราชทัณฑ์ว่าคนที่ถูกคุมขัง โดยเฉพาะคนที่มีอายุมากๆ จะสามารถผ่อนปรนอย่างไรได้หรือไม่ หรือให้ย้ายที่คุมขังไปอยู่ในพื้นที่ (จังหวัดชายแดนภาคใต้) เพื่อให้พี่น้องครอบครัวสามารถเยี่ยมได้ง่ายๆ
อนึ่ง ก่อนหน้านี้มีข่าวว่ารัฐบาลเตรียมหาช่องทางให้นักโทษเด็ดขาดที่เป็นอดีตแกนนำองค์กรพูโล 4 คน ซึ่งถูกศาลฎีกาพิพากษาจำคุกตลอดชีวิตและจำคุก 50 ปี ย้ายกลับไปคุมขังยังเรือนจำในภูมิลำเนาบ้านเกิด เช่น เรือนจำจังหวัดปัตตานี เรือนจำจังหวัดยะลา เป็นต้น
ปชป.หวั่นรัฐแบไต๋-ไร้ข้อผูกมัดบีอาร์เอ็น
ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวกรณี สมช.ลงนามในข้อตกลงริเริ่มกระบวนการพูดคุยสันติภาพกับกลุ่มบีอาร์เอ็นว่า ภารกิจหลักของรัฐบาลในตอนนี้คือต้องไปดึงกลุ่มอื่นเข้ามาร่วมกระบวนการพูดคุย เพราะคนที่มาลงนามก็ชัดเจนว่าไม่สามารถสั่งการในพื้นที่ได้ และเมื่อรัฐบาลตัดสินใจที่จะพูดคุยอย่างเปิดเผย ก็ต้องดูว่าอะไรคือขอบเขตของการพูดคุย เพราะประชาชนก็อยากรู้และมีความเป็นห่วง
"เอกสารที่รัฐบาลไปลงนาม หากอ่านตามตัวอักษรจะเป็นการแสดงเจตนาฝ่ายเดียวของรัฐบาลไทย ไม่มีอะไรผูกมัดผู้มาลงนามด้วย รัฐบาลไทยแสดงเจตนาฝ่ายเดียวว่ามอบหมายให้ สมช.เป็นตัวแทน และแสดงเจตนาฝ่ายเดียวว่าพร้อมที่จะให้กลุ่มบีอาร์เอ็นเข้ามาพูดคุยสันติภาพ โดยให้รัฐบาลมาเลเซียเป็นผู้อำนวยความสะดวกและคุ้มครองปลอดภัยคนที่เข้ามาพูดคุย แต่กลับไม่มีประโยคใดเลยที่ผูกมัดผู้ก่อความไม่สงบ นอกจากนั้นรัฐบาลต้องไปนิยามว่า 'คุ้มครองความปลอดภัย' หมายความว่าอะไร ซึ่งต้องให้ชัดเจน เพราะจะไปเกี่ยวกับทางมาเลเซียด้วย ซึ่งหากเป็นคนที่มีคดีติดตัว มาเลเซียต้องมีแนวทางปฏิบัติ" นายอภิสิทธิ์ ระบุ
ยิงถล่มสายข่าวปัตตานี-กู้บึ้มรือเสาะ
ด้านสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนใต้ วันพฤหัสบดีที่ 7 มี.ค.2556 คนร้ายไม่ทราบจำนวนลอบวางระเบิดดักสังหารเจ้าหน้าที่บริเวณคอสะพานบ้านปูโป หมู่ 1 ต.สามัคคี อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส โดยใช้วิธีจุดชนวนด้วยการต่อสายเชื้อปะทุพ่วงกับขดยากันยุงที่จุดไฟเอาไว้ โชคดีเจ้าหน้าที่พบก่อน จึงประสานให้หน่วยเก็บกู้ทำลายวัตถุระเบิด (อีโอดี) เข้าเก็บกู้เอาไว้ได้อย่างปลอดภัย
ก่อนหน้านั้น เมื่อเวลา 22.30 น.วันพุธที่ 6 มี.ค. ขณะที่ นายสะรี เจ๊ะอาลี อายุ 42 ปี สายข่าวของหน่วยงานความมั่นคงหลายหน่วยกำลังขับรถยนต์เก๋งยี่ห้อนิสสัน รุ่นซันนี่ สีเทา หมายเลขทะเบียน กข 4530 นราธิวาส เลี้ยวเข้าบ้านของตนเอง เลขที่ 128/4 หมู่ 8 บ้านแหลมแป้ง ต.บ้านกลาง อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี ได้มีคนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 ยิงถล่มจนนายสะรีเสียชีวิตคารถ เบื้องต้นตำรวจสันนิษฐานว่าเป็นการกระทำของกลุ่มก่อความไม่สงบ
เวลา 19.50 น.วันเดียวกัน คนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้อาวุธปืนพกขนาด 11 มม.ยิง นายสุกรี ดาหะแมง อายุ 42 ปี อยู่บ้านเลขที่ 99/2 บ้านลูโป๊ะดีแย หมู่ 6 ต.ตันหยงลิมอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ได้รับบาดเจ็บ เหตุเกิดขณะที่นายสุกรีกำลังยืนอยู่หน้าบ้านของตนเอง เบื้องต้นตำรวจยังไม่สรุปสาเหตุการลอบยิง
ระทึกกลางยะลา-เคลียร์รถจักรยานยนต์ต้องสงสัย
เวลา 18.40 น.วันพฤหัสบดีที่ 7 มี.ค. พ.ต.อ.พชรพล ณ นคร ผู้กำกับการ สภ.เมืองยะลา พร้อมด้วยชุดอีโอดี ได้เข้าตรวจสอบรถจักรยานยนต์ที่ชาวบ้านแจ้งว่ามีชายต้องสงสัยท่าทางมีพิรุธ นำไปจอดทิ้งไว้บริเวณหน้าร้านข้าวต้มคนจน เลขที่ 6 ถนนรวมมิตร ในเขตเทศบาลนครยะลา เพราะเกรงว่าจะมีระเบิดซุกซ่อนอยู่
จากการตรวจสอบพบเป็นรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นเวฟ 100 เอส สีน้ำเงินคาดดำ หมายเลขทะเบียน กมย 910 ยะลา โดยเจ้าหน้าที่ได้ประกาศหาเจ้าของแต่ไม่มีผู้แสดงตัว จึงตัดสินใจดำเนินกรรมวิธีตรวจค้น แต่ไม่พบระเบิด ต่อมา นายวันตูรอฮิง หะยีบือราเฮง อายุ 54 ปี อยู่บ้านเลขที่ 149 หมู่ 6 ต.ยะหา อ.ยะหา จ.ยะลา ได้แสดงตัวเป็นเจ้าของ ท่ามกลางความโล่งใจของประชาชนในละแวกดังกล่าว
ลูกจ้างแขวงการทางยะลาสารภาพร่วมป่วนเมือง
ด้านความคืบหน้ากรณีเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ นำกำลังเข้าตรวจค้นห้องพักหมายเลข 541/97 ของอาคารที่พักในแขวงการทางยะลา สำนักงานทางหลวงที่ 15 ซึ่งเป็นห้องที่ นายมะเสาพี คอแม อายุ 26 ปี อยู่บ้านเลขที่ 90 หมู่ 2 ต.สามัคคี อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ตำแหน่งพนักงานไฟฟ้าและสื่อสาร กลุ่มงานเทคนิค ของแขวงการทางยะลา ใช้เป็นที่พักอาศัย กระทั่งพบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และโทรศัพท์มือถือรุ่นต่างๆ จำนวนมาก จึงได้เชิญตัวไปสอบปากคำ เพราะสงสัยว่าน่าจะเกี่ยวพันกับการก่อเหตุลอบวางระเบิดในพื้นที่ จ.ยะลา และต่อมาได้ขยายผลเชิญตัวผู้ต้องสงสัยเพิ่มอีก 2 ราย คือ นายอัสมาน กาเจ อายุ 23 ปี และ นายอาซูอัล กาเจ อายุ 24 ปี สองพี่น้องจาก ต.เรียง อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ซึ่งเป็นลูกจ้างชั่วคราวของแขวงการทางยะลานั้น
ล่าสุด นายอัสมาน ได้ให้การรับสารภาพว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการเผากล้องโทรทัศน์วงจรปิดในเขต อ.เมืองยะลา โดยมี นายมะเสาพี เป็นผู้สั่งการ ทั้งนี้ ปฏิบัติการเผากล้องครั้งล่าสุดคือเมื่อ 19 ม.ค.2556 ที่หลังโรงเรียนเทศบาล 5 (บ้านตลาดเก่า) ริมถนนเลี่ยงเมือง และที่บริเวณปากทางเข้าโรงเรียนอิสลาฮียะห์ ดารุลอิสลาฮ์ หมู่ 9 ต.สะเตงนอก อ.เมืองยะลา ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพแล้ว
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ : เจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบรถจักรยานยนต์ต้องสงสัยที่ถูกจอดทิ้งไว้ในย่านการค้ากลางเมืองยะลา เพราะเกรงว่าจะเป็นมอเตอร์ไซค์บอมบ์ จนสร้างความตื่นตระหนักไปทั่ว (ภาพโดย อะหมัด รามันห์สิริวงศ์)