คนครึ่งหมื่นสักขีพยานทีวีมลายู "สุรินทร์"แนะเปิดพื้นที่สื่อสารผุดนโยบายดับไฟใต้
เปิดตัว "ทีวี-วิทยุมลายู" สุดคึกคัก ประชาชนครึ่งหมื่นแห่ร่วมงาน "เลขาฯศอ.บต." ชูภาษามลายูคือภาษาอาเซียน เป็นภาษาแห่งโอกาสสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ไม่ใช่ความรุนแรง ขณะที่ "สุรินทร์ พิศสุวรรณ" ชี้ เป็นแนวโน้มที่ดีของการยอมรับอัตลักษณ์และความแตกต่าง แนะเปิดพื้นที่สื่อสารสร้างนโยบายดับไฟใต้ ด้านสถานการณ์ในพื้นที่เงียบสงบ มีป่วนย่อยๆ 2 จุดรับปีใหม่ ยึดปืนเจาะไอร้องพุ่ง 18 กระบอก
งานเปิดตัวสถานีโทรทัศน์และวิทยุกระจายเสียงภาษามลายู ซึ่งจัดโดยศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ภายใต้ชื่องานว่า "วันแห่งเสียงประชาชน" หรือ Hari Suara Kita (ภาษามลายูแปลว่า "เสียงของเรา") ที่หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา อ.เมือง จ.ยะลา เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 3 ม.ค.2556 ผ่านไปแล้วด้วยดี โดยมีประชาชนจากทุกภาคส่วน ส.ส.ในพื้นที่จากทุกพรรค ส.ว. (สมาชิกวุฒิสภา) และข้าราชการทุกระดับเข้าร่วมงานกว่า 5,000 คน
ชูภาษามลายู "ภาษาอาเซียน"
พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการ ศอ.บต. กล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่า ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาฝ่ายรัฐได้มียุทธศาสตร์ในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงอยู่เป็นประจำ ส่วนยุทธศาสตร์ภาคประชาชนนั้น ถ้าศึกษาให้ดีแล้วจะต่อเนื่องเป็น 100 ปีไม่เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะความต้องการด้านภาษามลายูซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่นหรือภาษาเกิดของประชาชนเชื้อสายมลายูที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
วันนี้ภาษามลายูเป็นภาษาที่มีผู้ใช้มากที่สุดในประเทศสมาชิกอาเซียน เป็นภาษาทางการหรือภาษาราชการใน 4 ประเทศ คือ ประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และบรูไนดารุสลาม มีผู้ใช้ภาษานี้ราว 300 ล้านคนในการติดต่อสื่อสารในชีวิตประจำวัน
จากปฏิญญาร่วมปัตตานีในการสัมมนานานาชาติเรื่อง "เสริมสร้างความเข้มแข็งภาษามลายูสู่ประชาคมอาเซียน" เมื่อวันที่ 14 ต.ค.2555 ที่โรงแรมปาร์ควิว รีสอร์ท ปัตตานี ทำให้ตระหนักดังนี้
1.ภาษามลายูคือมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญยิ่งในกลุ่มประเทศประชาคมอาเซียน จึงเป็นหน้าที่ของทุกคนต้องช่วยกันสืบสาน เรียนรู้ ศึกษา ทำความเข้าใจ รักษาปกป้อง และถ่ายทอดให้คนรุ่นต่อไป ภาษามลายูไม่ใช่เป็นภาษาที่กระทบกับความมั่นคงของประเทศ แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างสังคมสมานฉันท์และอารยธรรม
2.ภาษาและวัฒนธรรมมลายูคืออัตลักษณ์อันทรงคุณค่าของกลุ่มประเทศประชาคมอาเซียน ในประเทศไทยมีประชากรเกือบ 2 ล้านคนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ใช้ภาษามลายูในการติดต่อสื่อสารในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตาม ภาษามลายูในประเทศไทยยังไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ ทั้งที่ภาษามลายูเป็นภาษาของผู้รักสันติ เรื่องนี้สามารถตั้งข้อสังเกตได้จากคำกล่าวในภาษามลายู เช่น Selamat pagi โดยคำว่า "ซือลามัต" แปลว่า สันติภาพและความสงบสุข
ธงนำสร้างความมั่งคั่ง-มั่นคง
พ.ต.อ.ทวี กล่าวต่อว่า รัฐบาลมีนโยบายในการส่งเสริมภาษามลายู โดยได้ปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ที่เคารพและให้เกียรติ เห็นว่าภาษามลายูไม่ใช่ภาษาแห่งการคุกคามต่อเอกภาพและความมั่นคงของชาติ แต่ในความจริงเป็นความหลากหลายที่สร้างความเข้มแข็ง สร้างความมั่งคั่ง มั่นคง ความสวยงาม นำความเจริญให้กับประเทศ
การเปิดตัวรายการโทรทัศน์และวิทยุภาษามลายูจึงเป็นก้าวสำคัญในการสร้างบรรยากาศของความเป็นเอกภาพของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้วยการพัฒนาภาษามลายูในพื้นที่ จะทำให้สังคมมลายูเป็นสื่อกลางระหว่างประเทศไทยกับโลกมลายูที่สื่อสารสร้างความเข้าใจที่ดีไม่ให้ถูกแยกจากกัน
สถานีวิทยุโทรทัศน์และวิทยุกระจายเสียงภาษามลายูนี้ รัฐบาลต้องการให้เป็นสถานีของประชาชน ในเบื้องต้นมีตัวแทนของประชาชนที่เลือกกันเองเป็นผู้คิด ผลิต สื่อสาร บริหาร และดำเนินการกันเอง ในช่วงแรกมีคณะผู้ก่อตั้งที่ตัวแทนเครือขายของประชาชนเลือกประธานและคณะกรรมการดำเนินงานขึ้น มีระยะเวลาทำงานประมาณ 1 ปีเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ และคณะกรรมการต้องฟังเสียงสะท้อนของประชาชนเพื่อให้เป็นสถานีของประชาชนอย่างแท้จริง รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์ในการดำเนินการให้คณะกรรมการชุดต่อไป
"หมอเพชรดาว"ชงยุทธศาสตร์สื่อสารเพื่อสันติ
หลังจากนั้น นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ได้ปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ "ก้าวสู่สันติภาพชายแดนใต้" และมีบุคคลต่างๆ ร่วมแสดงความคิดเห็นมากมาย
เช่น นพ.เพชรดาว โต๊ะมีนา นักจิตวิทยาชื่อดังในพื้นที่ ผู้อำนวยการศูนย์สุขภาพจิตที่ 15 กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นนักศึกษาหลักสูตรการเสริมสร้างสังคมสันติสุข รุ่นที่ 2 หรือ "4 ส.2" ของสถาบันพระปกเกล้า ได้นำเสนอยุทธศาสตร์การสื่อสารเพื่อสันติในตามแนวทาง "สันติธานี" ที่นักศึกษา 4 ส.2 เคยศึกษา จัดทำรายงาน และนำเสนอต่อรัฐบาล เป็นต้น
"สุรินทร์"ชี้จุดเริ่มเคารพอัตลักษณ์ – จี้นำไปกำหนดนโยบาย
ขณะที่ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีตเลขาธิการอาเซียน ได้ปาฐกถาในหัวข้อ "ภาษามลายูสู่ประชาคมอาเซียน" จากนั้นได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า การเปิดสถานีโทรทัศน์และวิทยุภาษามลายูถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีอันหนึ่ง และเป็นแนวโน้มที่ดีในการยอมรับในความแตกต่างหลากหลาย และเคารพในอัตลักษณ์พิเศษที่มีอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ อันที่จริงการมี ศอ.บต.ก็เป็นการยอมรับการมีคุณลักษณะพิเศษของพื้นที่นี้อยู่แล้ว ฉะนั้นนโยบายอะไรก็ตามที่ทำให้เกิดความรู้สึกว่าประเทศนี้เคารพและยอมรับความแตกต่างย่อมเป็นสิ่งที่ดี
การมีเครื่องมือในการสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นสถานีวิทยุ โทรทัศน์ หรือหนังสือพิมพ์ เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้พูดจาระหว่างกัน และพูดจากับผู้มีหน้าที่ในการแก้ไขปัญหา แล้วก็ค้นหาข้อเท็จจริง ค้นหาความเป็นธรรมร่วมกัน ก็จะช่วยในการบรรเทาสถานการณ์ความไม่สงบได้
"สิ่งที่ต้องระวังก็คือ เมื่อมีการแสวงหาความจริงร่วมกันและพบความจริงแล้ว ต้องเคารพในความคิดเห็น ต้องยอมรับ แล้วใช้เป็นพื้นฐานในการวางนโยบายสำหรับการแก้ปัญหาต่อไป แต่ถ้ามีส่วนร่วมแล้ว ค้นหาความจริงร่วมกันแล้ว และพบทางออกแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการยอมรับ ไม่ได้รับการนำไปเป็นส่วนหนึ่งของการกำหนดนโยบาย ก็จะมีปัญหามากขึ้นตามมา เพราะไม่เป็นไปตามความคาดหวังของประชาชน" นายสุรินทร์ ระบุ
ป่วนนราฯ 2 จุดรับปีใหม่ – ยอดยึดปืนเจาะไอร้องพุ่ง 18 กระบอก
สำหรับสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ค่อนข้างเงียบสงบ มีเหตุการณ์ในลักษณะก่อกวนเกิดขึ้นเพียงเหตุการณ์เดียว โดยเมื่อวันอังคารที่ 1 ม.ค.2556 เวลา 19.10 น. คนร้ายไม่ทราบจำนวนลอบวางเพลิงศาลาที่พักริมทาง ที่บ้านมะนังกาหยี หมู่ 1 ต.มะนังตายอ อ.เมือง จ.นราธิวาส ได้รับความเสียหายเล็กน้อย โดยคนร้ายใช้ยางรถจักรยานยนต์เป็นเชื้อเพลิง ผูกกับเสาศาลาแล้วจุดไฟเผา เมื่อประชาชนที่อยู่ในละแวกที่เกิดเหตุพบเห็น ได้ช่วยกันดับไฟไว้ได้ก่อนลุกลาม
อีกจุดหนึ่ง คนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 ยิงถล่มบ้านเลขที่ 24/2 บ้านทุ่งงาย หมู่ 9 ต.ลำภู อ.เมือง จ.นราธิวาส ซึ่งเป็นบ้านของ นายเจ้ย หิรัญวงส์ สมาชิกกองอาสารักษาดินแดน (อส.) อ.เมืองนราธิวาส ทำให้บ้านได้รับความเสียหาย แต่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ เบื้องต้นตำรวจสันนิษฐานว่าทั้งสองเหตุการณ์เป็นการกระทำของกลุ่มก่อความไม่สงบ
ส่วนการปิดพื้นที่ตรวจค้นแหล่งซุกซ่อนอาวุธปืนในสวนยางพาราที่บ้านดารุลอีซาน หมู่ 14 ต.บูกิต อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ตั้งแต่กลางดึกคืนวันศุกร์ที่ 28 ธ.ค.2555 และตรวจค้นต่อเนื่องมาจนถึงหลังปีใหม่นั้น ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่พบอาวุธปืนรวมทั้งสิ้น 18 กระบอก ส่วนใหญ่เป็นปืนเอ็ม 16 ที่ปล้นจากกองพันพัฒนาที่ 4 ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 4 ม.ค.2547
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ :
1 บรรยากาศงานเปิดตัว "ทีวี-วิทยุมลายู" ที่จัดอย่างยิ่งใหญ่
2 การปาฐกถาพิเศษของ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ (ภาพทั้งหมดโดย อับดุลเลาะ หวังหนิ)