ผู้นำศาสนา-นักวิชาการมุสลิมแนะรัฐหนุน "หยุดวันศุกร์" ใต้ระอุบึ้มรถตำรวจ
ผู้ทรงคุณวุฒิสำนักจุฬาราชมนตรีประสานเสียงนักวิชาการมุสลิม เสนอรัฐไฟเขียว "หยุดวันศุกร์" ที่ชายแดนใต้ เหตุสอดคล้องวิถีชีวิตและจริตของคนในพื้นที่ มั่นใจลดเงื่อนไขก่อเหตุรุนแรง ส่วนสถานการณ์ในสามจังหวัดยังป่วนหนัก คนร้ายกดบึ้มถังแก๊สถล่มรถตำรวจ สภ.ปะแต พังยับขณะคุมตัวผู้ต้องหาไปฝากขังเจ็บระนาว จ่อยิงหนุ่มใหญ่ดับต่อหน้าภรรยาที่สายบุรี ฝ่ายเจ้าหน้าที่กู้ระเบิดได้เพียบ ตามยึดปืนกลปล้นจากฐานพระองค์ดำ
นายวินัย สะมะอุน อิหม่ามมัสยิดกมาลุลอิสลาม ผู้ทรงคุณวุฒิสำนักจุฬาราชมนตรี และ รศ.ดร.จรัญ มะลูลีม อาจารย์สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวในรายการคมชัดลึก ทางเนชั่นแชนนัล เมื่อคืนวันศุกร์ที่ 5 ต.ค.2555 โดยเห็นพ้องให้รัฐบาลพิจารณาประกาศให้วันศุกร์เป็นวันหยุดราชการในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่ และลดเงื่อนไขการข่มขู่ของกลุ่มผู้ไม่หวังดีที่ให้หยุดทำงานวันศุกร์ ซึ่งกำลังตึงเครียดอยู่ในขณะนี้่
นายวินัย กล่าวว่า ในคัมภีร์อัลกุรอานได้บัญญัติเอาไว้ชัดเจนว่าไม่ได้ห้ามทำงานหรือค้าขายในวันศุกร์ เพียงแต่ให้หยุดกิจกรรมต่างๆ เพื่อไปละหมาดวันศุกร์ (ตอนเที่ยง) ซึ่งเป็นละหมาดกลุ่มที่มัสยิดเท่านั้น
อย่างไรก็ดี นายวินัย ซึ่งเคยไปศึกษาอยู่ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เห็นว่า กระแสข่มขู่ให้หยุดทำงานวันศุกร์ไม่ได้กระทบกับวิถีคนในพื้นที่มากนัก เพราะคนจำนวนไม่น้อยก็หยุดทำงานหรือปิดร้านรวงต่างๆ ในวันศุกร์อยู่แล้ว เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการละหมาดใหญ่ประจำสัปดาห์ ถือเป็นวิถีชีวิตของคนในพื้นที่ และในอดีตคนส่วนใหญ่ก็หยุดทำงานวันศุกร์ แม้แต่มุสลิมในกรุงเทพฯที่อาศัยย่านหนองจอก ในสมัยก่อนก็หยุดวันศุกร์เช่นกัน
"ผมเห็นว่ารัฐบาลควรพิจารณาทำความเข้าใจเรื่องวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของพี่น้องมุสลิมให้ถ่องแท้ และอนุญาตให้คนในพื้นที่ปฏิบัติตามความเชื่อของตน อันจะเป็นการลดเงื่อนไขของกลุ่มผู้ไม่หวังดี ซึ่งที่ผ่านมาเห็นว่าภาครัฐเองเป็นฝ่ายที่สร้างเงื่อนไขมากกว่า" อิหม่ามวินัย ระบุ
ขณะที่ รศ.ดร.จรัญ กล่าวว่า วิถีชีวิตของคนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้คล้ายคลึงกับประชาชนในรัฐทางตอนเหนือของมาเลเซีย คือ รัฐกลันตัน ตรังกานู เปอร์ลิส และเคดาห์ เพราะเป็นเครือญาติกันมาตั้งแต่ในอดีต แต่ถูกเส้นเขตแดนแบ่งให้อยู่คนละประเทศกัน ซึ่งประชาชนในรัฐเหล่านั้นโดยเฉพาะรัฐกลันตันล้วนหยุดทำงานในวันศุกร์ ทำให้คนในพื้นที่ชายแดนใต้คุ้นเคยกับการหยุดวันศุกร์มากกว่าการหยุดเสาร์-อาทิตย์แบบราชการไทย
"ถือว่ากลุ่มที่กระทำการข่มขู่ให้หยุดทำงานวันศุกร์ ก่อผลทางจิตวิทยาอย่างมาก เพราะตรงกับจริตของคนในพื้นที่ เท่าที่ทราบแม้ในช่วงที่ไม่มีการข่มขู่ บางคนก็หยุดวันศุกร์อยู่แล้ว หรือไม่ก็ทำงานแค่ช่วงบ่ายหรือครึ่งวันเช้า จากนั้นก็พากันปิดร้านเป็นปกติ ฉะนั้นเรื่องนี้จึงไม่ใช่ความลำบากหรือกดดันชาวบ้านมากมาย ผมมองว่าหากรัฐไทยยอมประนีประนอมหรือพูดคุยเพื่อปฏิบัติตามวิถีวัฒนธรรมของคนในพื้นที่ เช่น หยุดวันศุกร์ ก็น่าจะเกิดผลดีในแง่จิตวิทยา และช่วยแก้ไขปัญหาความไม่สงบได้มากทีเดียว" รศ.ดร.จรัญ กล่าว
อย่างไรก็ดี นักวิชาการมุสลิมรายนี้ยอมรับว่า ข้อเสนอเรื่องหยุดวันศุกร์คงเกิดขึ้นจริงได้ยาก เพราะหลายภาคส่วนในประเทศไทยน่าจะไม่เห็นด้วย
"นิมุ"ถามหยุดวันศุกร์ใครได้ใครเสีย?
นายนิมุ มะกาเจ ผู้ทรงคุณวุฒิจังหวัดยะลา เขียนบทความตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับกระแสข่มขู่ให้หยุดทำงานหรือหยุดค้าขายในวันศุกร์เอาไว้อย่างน่าสนใจ
"เป็นที่ชัดเจนว่า มีการหยุดธุรกิจวันศุกร์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีผลกระทบต่อการขนส่ง การบริโภคอาหารการกิน การอาชีพประจำถิ่นคือออกทะเล สวนยาง พืชไร่ และกระทบถึงนักธุรกิจ นักเรียน/นักศึกษา ข้าราชการ ผู้คนเดินทางต่างจังหวัด คนทั่วไปที่เช่าหอพัก บ้านเช่า
มุสลิมเข้าใจในศาสนกิจที่ต้องไปละหมาดวันศุกร์ ไปถึงมัสยิดก่อนเวลาก็มี อยู่ในมัสยิดนานๆ ก็มี ละหมาดสุนัต/อ่านกุรอานก็มี ละหมาดเสร็จ/ดุอา (ขอพร) ซีเกร์ (สรรเสริญ) รำลึกถึงอัลลอฮ์ซุบฮานะฮู วาตะอาลาก็ทำ แต่สิ่งที่เขาคับข้องใจคือ เขาเสียสิทธิในด้านธุรกิจ ด้านการค้า การเดินทาง รวมทั้งต้องอดอาหารในช่วงเวลาที่เหลือจากประกอบศาสนกิจวันศุกร์ หากมีในบัญญัติศาสนา มุสลิมยินดีรับไปปฏิบัติ ชาวบ้านเข้าใจตามประกาศสำนักจุฬาราชมนตรีว่า การทำธุรกิจในวันศุกร์ไม่ผิด ไม่เป็นบาปและไม่มีคำสั่งห้ามทางศาสนาอิสลาม แต่ไม่เข้าใจและหวาดระแวงในอันตรายที่จะได้รับ ต้องการความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินมากกว่า
ช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์หยุดธุรกิจนั้น หากรับฟังเสียงมวลชนในพื้นที่ส่วนหนึ่งชมชอบที่ทำให้เห็นความสำคัญของวันศุกร์ แต่อีกส่วนหนึ่งมองในทางเสียมากกว่าทางที่ดี มีเสียงบ่น ต่อว่าต่อขานจากทั้งฝ่ายผู้ทำการค้า/ผู้บริการและฝ่ายผู้จะใช้จ่าย/ผู้รับบริการ ไม่มีดินแดนไหน/ประเทศไหนในโลกที่มีการกำหนดวันห้ามทำธุรกิจการซื้อการขาย
ดังนั้นผลการกระทำครั้งนี้ ใครผู้ใดก็ตามที่เป็นผู้กระทำ มีแต่เสียมากกว่าได้ คือเสียภาพพจน์ เสียความเชื่อถือ เสียมวลชน ได้เป็นอริมากกว่าได้เป็นมิตร"
บึ้มถังแก๊สถล่มรถตำรวจปะแตเจ็บ 3
ด้านสถานการณ์ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงเกิดความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อเวลา 10.32 น.วันเสาร์ที่ 6 ต.ค.2555 พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ มัทยาท ผู้กำกับการ สภ.ลำใหม่ อ.เมือง จ.ยะลา ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่าเกิดเหตุระเบิดที่บ้านกูเบ หมู่ 2 ต.ยะลา บนถนนสายบ้านเนียง-ยะหา (ทางหลวงหมายเลข 4065) จึงนำกำลังรุดไปตรวจสอบ แต่เจอตะปูเรือใบสกัด ต้องระดมกำลังเก็บกวาดอยู่พักใหญ่
ในที่เกิดเหตุพบรถกระบะตราโล่ของ สภ.ปะแต อ.ยะหา จ.ยะลา ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน สภาพใหม่เอี่ยมพลิกคว่ำอยู่ริมถนน ตัวถังบริเวณด้านหน้ารถพังยับเยิน กระจกหน้าและกระจกข้างแตกทั้งหมด ห่างออกไปราว 75 เมตร พบหลุมระเบิดขนาดใหญ่ตรงกับท่อระบายน้ำที่ทำลอดไว้ใต้ผิวถนน พบสะเก็ดระเบิด วงจรอิเลกทรอนิกส์กระจายเกลื่อน รวมทั้งสายไฟฟ้าลากยาวเข้าไปในป่าข้างทางราว 100 เมตร จึงเก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน
ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บมี 3 ราย ทราบชื่อคือ ร.ต.ท.ธนวัฒน์ บุญมาก อายุ 25 ปี รองสารวัตรป้องกันและปราบปราม (รอง สวป.) สภ.ปะแต ส.ต.อ.เปาซี สาแม ผู้บังคับหมู่งานป้องกันและปราบปราม (ผบ.หมู่ ป.) อายุ 30 ปี เป็นพลขับ และ นายอัสมี อาลี อายุ 21 ปี อยู่บ้านเลขที่ 92/1 หมู่ 2 ต.กระหวะ อ.มายอ จ.ปัตตานี เป็นผู้ต้องหาคดีครอบครองยาเสพติดประเภท 5 (ใบกระท่อม)
สอบสวนเบื้องต้นทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ ร.ต.ท.ธนวัฒน์ ได้นำตัว นายอัสมี อาลี ผู้ต้องหาออกจาก สภ.ปะแต เดินทางไปฝากขังที่ศาลจังหวัดยะลา โดยมี ส.ต.อ.เปาซี เป็นพลขับ ขณะเดินทางถึงจุดเกิดเหตุ คนร้ายคาดว่ามีไม่ต่ำกว่า 2 คนซึ่งได้นำระเบิดแสวงเครื่องประกอบใส่ถังแก๊ส 2 ใบน้ำหนักประมาณ 50 กิโลกรัมฝังไว้ในท่อระบายน้ำกลางถนนแล้วแอบซุ่มอยู่ในป่าข้างทาง ได้กดจุดชนวนระเบิดด้วยระบบแบตเตอรี่จนเกิดระเบิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว แรงระเบิดทำให้รถพลิกคว่ำหลายตลบ เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 2 นายพร้อมผู้ต้องหาอีกรายได้รับบาดเจ็บดังกล่าว ส่วนคนร้ายคาดว่าเป็นกลุ่มก่อความไม่สงบ
ยิงหนุ่มใหญ่ดับคารถ-ภรรยารอดหวุดหวิด
เวลา 13.00 น.วันเดียวกัน พ.ต.ท.นราวี บินอารง รองผู้กำกับการ สภ.สายบุรี จ.ปัตตานี รับแจ้งมีเหตุยิงกันบริเวณปากทางถนนสายปัตตานี-นราธิวาส (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 42) ท้องที่บ้านกะลุบี หมู่ 11 ต.เตราะบอน อ.สายบุรี จึงนำกำลังรุดไปตรวจสอบ พบรถกระบะแบบตอนครึ่ง หมายเลขทะเบียน บจ 189 นราธิวาส จอดเสียหลักอยู่บนถนน ภายในรถมีรอยเลือดจำนวนมาก และมีปลอกกระสุนปืนขนาด 9 มม.ตกอยู่ 5 ปลอก จึงเก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน
ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บมี 2 ราย พลเมืองดีช่วยกันนำส่งโรงพยาบาลไปก่อนแล้ว ทราบชื่อคือ นายนฤดม แถบเงิน อายุ 48 ปี อยู่บ้านเลขที่ 84 บ้านไอปาโจ หมู่ 1 ต.ภูเขาทอง อ.สุคิริน จ.นราธิวาส ถูกยิงที่หน้าอกและคอ เสียชีวิตที่โรงพยาบาล ส่วนอีกรายคือ น.ส.เลียบ สายยศ อายุ 42 ปี ภรรยาของนายนฤดม ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย
สอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุนายนฤดมได้ขับรถกะบะพร้อมภรรยามุ่งหน้ากลับบ้านที่ อ.สุคิริน โดยได้แวะจอดข้างทางเพื่อซื้อน้ำมันขวดเติมรถ จังหวะนั้นมีคนร้าย 2 คนขี่รถจักรยานยนต์เข้าไปจอดประกบและจ่อยิง นายนฤดม จนเสียชีวิตดังกล่าว เบื้องต้นตำรวจสันนิษฐานว่าเป็นการกระทำของกลุ่มก่อความไม่สงบ
เวลา 15.45 น.คนร้าย 2 คนมีรถจักรยานยนต์เป็นพาหนะ ใช้อาวุธปืนพกไม่ทราบขนาดยิง นายธีรเดช พันธ์วงศ์ อายุ 23 ปี อาชีพทำประมง อยู่บ้านเลขที่ 7/1 ถนนเจริญประดิษฐ์ ซอย 5 ต.สะบารัง อ.เมือง จ.ปัตตานี กระสุนเจาะเข้าที่บริเวณศีรษะ ได้รับบาดเจ็บสาหัส เหตุเกิดขณะที่นายธีรเดชขี่รถจักรยานยนต์อยู่บนถนนหน้าศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสาธารณสุข ถนนปากน้ำ ต.สะบารัง โดยมีภรรยาและบุตรสาววัย 6 ขวบนั่งซ้อนท้ายมาด้วย แต่ทั้งสองปลอดภัย เบื้องต้นตำรวจยังไม่สรุปสาเหตุการสังหาร แต่ให้น้ำหนักไปที่เรื่องส่วนตัวหรือยาเสพติด
เวลา 20.30 น.คนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิดและขนาดยิง นายลัมซูดิง ดามะยะ อายุ 39 ปี อยู่บ้านเลขที่ 50/3 หมู่ 1 ต.ปะโด อ.มายอ จ.ปัตตานี ได้รับบาดเจ็บ เหตุเกิดขณะนายลัมซูดิงขี่รถจักรยานยนต์อยู่บริเวณสามแยกในหมู่บ้านบูดน หมู่ 1 ต.ปะโด อ.มายอ หลังเสร็จจากการดื่มน้ำชา กำลังมุ่งหน้ากลับบ้าน เบื้องต้นตำรวจยังไม่สรุปสาเหตุการลอบยิง
ยิงรายวันชาวบ้านสังเวยอีก 2 ศพ
วันศุกร์ที่ 5 ต.ค.เวลา 19.00 น.คนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 ยิง นายมะอีลา สะอง อายุ 49 ปี อยู่บ้านเลขที่ 61/1 บ้านตาเนาะปูโย๊ะ หมู่ 3 ต.เกะรอ อ.รามัน จ.ยะลา เสียชีวิตคาที่ เหตุเกิดขณะที่นายมะอีลากำลังเดินไปเปิดไฟฟ้าที่ลานกีฬา องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เกะรอ บ้านตาเนาะปูโย๊ะ หมู่ 3 ต.เกะรอ อ.รามัน เบื้องต้นตำรวจยังไม่สรุปสาเหตุการสังหาร
เวลา 23.30 น.คนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิดและขนาดยิง นายมะดอเตะ ดือเร๊ะ อายุ 40 ปี อยู่บ้านเลขที่ 123 บ้านโป หมู่ 3 ต.เฉลิม อ.ระแงะ จ.นราธิวาส เสียชีวิตคาที่ ขณะนายมะดอเตะกำลังขับรถยนต์เก๋งยี่ห้อมิตชูบิชิ รุ่นแลนเซอร์ สีน้ำเงิน หมายเลขทะเบียน 3429 กรุงเทพมหานคร มุ่งหน้ากลับบ้าน เหตุเกิดบนถนนสายชนบท บ้านตราแดะ หมู่ 3 ต.บาโงสะโต อ.ระแงะ เบื้องต้นตำรวจยังไม่สรุปสาเหตุการสังหารเช่นกัน
กู้ระเบิดถังแก๊ส-บึ้มปลากระป๋อง
ด้านผลการปฏิบัติของฝ่ายความมั่นคง เมื่อวันเสาร์ที่ 6 ต.ค.หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพราน 41 ได้จัดกำลังเข้าตรวจสอบแหล่งซุกซ่อนอาวุธปืนตามที่ได้รับแจ้งจากสายข่าว โดยเข้าตรวจค้นบ้านต้องสงสัยจำนวน 2 หลัง ในท้องที่หมู่ 2 และหมู่ 3 ต.เปาะเส้ง อ.เมือง จ.ยะลา ยึดอาวุธปืน เครื่องกระสุน และเครื่องกระสุนได้จำนวนหนึ่ง จึงเชิญตัวเจ้าของบ้านไปสอบปากคำ
วันศุกร์ที่ 5 ต.ค.เวลา 23.30 น.ขณะที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจยะลา 15 กำลังตั้งจุดตรวจยุทธศาสตร์ที่บ้านรานอ หมู่ 8 ต.ตาเนาะปูเต๊ะ อ.บันนังสตา จ.ยะลา สามารถควบคุมตัว นายมะรอแปอิง ซาอุ อายุ 28 ปี ภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 75 บ้านกระเสาะ หมู่ 2 ต.กระเสาะ อ.มายอ จ.ปัตตานี ซึ่งขับรถยนต์เก๋งติดแผ่นป้ายทะเบียนปลอม และเมื่อตรวจค้นรถยังพบยาแก้ไอ (ใช้เป็นสารเสพติดได้) จำนวน 200 ขวดซุกซ่อนอยู่ด้วย
เวลา 12.30 น.วันเดียวกัน เจ้าหน้าที่ทหารพรานหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 48 ได้เข้าตรวจสอบวัตถุต้องสงสัยบริเวณสามแยกบ้านกะลูบี หมู่ 6 ต.สากอ อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส หลังรับแจ้งจากชาวบ้าน จากนั้นได้ประสานชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดเข้าทำการเก็บกู้เอาไว้ได้ พบว่าเป็นระเบิดแสวงเครื่องบรรจุในถังแก๊สสีส้ม น้ำหนักประมาณ 5 กิโลกรัม ถูกฝังไว้ใต้ผิวถนน และต่อสายไฟยาวไปในป่าข้างทาง คาดว่าคนร้ายนำมาวางดักไว้เพื่อลอบทำร้ายเจ้าหน้าที่
เช่นเดียวกับที่ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส เจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 30 พบวัตถุต้องสงสัยเป็นกล่องสีดำวางไว้ริมทางหลวงหมายเลข 4107 บริเวณรอยต่อ บ้านบริจ๊ะกับบ้านบือแรง ต.ลาโล๊ะ อ.รือเสาะ จึงได้ประสานให้ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดเข้าตรวจสอบ พบกับระเบิดแบบเหยียบ บรรจุอยู่ในกระป๋องปลากระป๋อง จำนวน 3 ลูก ฝังดินไว้ตามไหล่ทางห่างจากวัตถุต้องสงสัยประมาณ 10 เมตร ส่วนวัตถุต้องสงสัยเป็นเพียงปี๊บเปล่า คาดว่าวางดักไว้เพื่อลอบทำร้ายเจ้าหน้าที่
ค้นบ้านที่รือเสาะยึดปืนกลปล้นจากฐานพระองค์ดำ
วันพฤหัสบดีที่ 4 ต.ค.หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 30 ได้นำกำลังเข้าปิดล้อมตรวจค้นบ้านบาโงมือลือบา หมู่ 1 ต.สาวอ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ภายหลังได้รับแจ้งว่ามีกลุ่มติดอาวุธเข้าไปเคลื่อนไหวหลบซ่อนตัว
จากการค้นบ้าน 2 หลังในหมู่บ้านดังกล่าว สามารถควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยได้ 7 ราย มีทั้งผู้ชายและผู้หญิง บางรายมีพฤติกรรมเป็นแนวร่วมกลุ่มก่อความไม่สงบ ทั้งยังสามารถยึดของกลางเป็นปืนกลมืออูซี่ที่ถูกปล้นมาจากฐานปฏิบัติการ กองร้อยทหารราบที่ 15121 หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 38 (ฐานพระองค์ดำ) เมื่อวันที่ 19 ม.ค.2554 พร้อมเครื่องกระสุน และอาวุธปืนชนิดอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ :
1 (ซ้าย) จรัญ มะลูลีม (ขวา) วินัย สะมะอุน (ภาพจากอินเทอร์เน็ต นำมาตกแต่งโดยฝ่ายศิลป์ ทีมข่าวอิศรา)
2 รถตำรวจ สภ.ปะแต ในสภาพพลิกคว่ำเพราะแรงระเบิด (ภาพโดย อะหมัด รามันห์สิริวงศ์)