สองอารมณ์ "เปิด" กับ "ปิด" ในวิกฤติ "หยุดวันศุกร์"
เป็นไปตามคาดสำหรับสถานการณ์ "หยุดวันศุกร์" ที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะในสามจังหวัด คือ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส มีร้านรวงเปิดค้าขายไม่ถึง 10% แม้แต่ในเขตเมือง ทั้งๆ ที่หน่วยงานภาครัฐโหมรณรงค์ให้เปิดกิจการตามปกติตลอดหลายวันที่ผ่านมา
ที่นราธิวาสดูจะอาการหนัก เพราะไม่ใช่แค่เพียงร้านค้า แต่คิวรถตู้ รถโดยสารที่เป็นหัวใจสำคัญของการคมนาคมก็พากันหยุดด้วย ส่วนที่ อ.เมืองปัตตานี แม้จะมี พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) กับ นายประมุข ลมุล ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานีคนใหม่ พร้อมผู้นำศาสนา ไปเดินตลาดเทศวิวัฒน์ 1 ซึ่งเป็นตลาดสดของเทศบาลเพื่อปลุกความคึกคัก แต่ก็มีแผงค้าเปิดไม่มากนัก
เช่นเดียวกับที่ตลาดสดพิมลชัยในเขตเทศบาลนครยะลา ก็มีแผงค้าเปิดขายของบางตา แม้จะมี นายเดชรัฐ สิมศิริ ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา เดินเคียงคู่กับรองผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจยะลา 11 เพื่อสร้างความมั่นใจก็ตาม
ส่วน 4 อำเภอของ จ.สงขลา ซึ่งเป็นพื้นที่รอยต่อกับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ อ.จะนะ เทพา สะบ้าย้อย และนาทวีนั้น นายกฤษฎา บุญราช ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา รายงานว่า ที่ อ.นาทวี มีร้านค้าเปิดประมาณ 50% ส่วนที่เทพากับสะบ้าย้อยอำเภอละประมาณ 20% ที่หนักสุดคือ อ.จะนะ เปิดเพียง 10% เพราะมีขบวนการข่มขู่เข้าไปป้วนเปี้ยนอยู่ตลอดทั้งสัปดาห์ จนมีข่าวจับกุมได้จำนวนหนึ่ง
แม้สถานการณ์ในภาพรวมดูจะไม่กระเตื้องขึ้นเท่าใดนัก แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีร้านค้าจำนวนหนึ่ง "กล้าเปิด" ซึ่งมีทั้งที่กล้าด้วยตัวเอง กับกล้าเพราะเกรงใจเจ้าหน้าที่รัฐ และแน่นอนก็ยังมีผู้ประกอบการอีกจำนวนมากที่ยังไม่กล้า
พวกเขาคิดต่างกันอย่างไร อารมณ์ความรู้สึกของคนที่กล้าเปิดกับคนที่ยังปิดอยู่แตกต่างกันขนาดไหน เป็นเรื่องที่น่าติดตามไม่น้อย...
พลิก"วิกฤติ"เป็น"โอกาส"
นายสมเดช รายีกัน พ่อค้ามุสลิมขายโรตีในตลาดโคกโพธิ์ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ซึ่งเปิดขายตั้งแต่เวลา 06.00-10.00 น. บอกว่า ตั้งแต่มีข่าวลือมาก็ยังเปิดขายปกติ วันศุกร์ที่แล้วก็ไม่ได้หยุด เพราะรู้สึกว่าเป็นโอกาสของตนเองที่สามารถขายของได้เยอะเนื่องจากคนอื่นไม่ได้ขาย เมื่อคนอื่นหยุดหมด ไม่มีอะไรกิน ก็ต้องมาซื้อ
"ปกติผมขายแป้งโรตีได้ 1-2 กิโลฯต่อวัน แต่วันนี้ขายได้ 5 กิโลฯ รู้สึกดีใจที่ร้านอื่นปิด เพราะเราขายได้คนเดียว พอขายได้เยอะก็ได้เงินเพิ่มขึ้น ส่วนเรื่องความกลัวนั้นก็กลัวทุกวันอยู่แล้วไม่เฉพาะวันศุกร์ ทุกๆ วันก็จะขายแบบระวังตลอดว่าจะมีอะไรในถังขยะบ้าง จะมีรถมาจอดแถวข้างร้านไหม เมื่อทุกวันก็กลัวอยู่แล้ว ก็เลยคุยกับภรรยาว่าเราจะหยุดทำไม ถ้าหยุดเราก็ขาดรายได้ แล้วเราจะกินอะไร แต่ถ้าขายเราก็จะได้เงินเพิ่มกว่าทุกๆ วัน ก็เลยเลือกขายดีกว่า"
"คนเราทำงานหาเช้ากินค่ำก็ต้องทำงาน ถ้าไม่ทำงานก็ไม่มีอะไรกิน วันนี้เราขายของได้เยอะ ก็ตั้งใจจะซื้อเนื้อกลับไปให้ลูกกิน ทุกๆ วันเรากินแต่ไข่เจียว แต่วันนี้พิเศษหน่อยเพราะขายได้เยอะ ถือว่าเป็นโอกาสของครอบครัวเรา" นายสมเดช กล่าว
นางจีรวรรณ วิพุทฌ์กุลางทอ แม่ค้าไทยพุทธขายอาหารทะเลอบแห้งใน อ.เมืองปัตตานี เล่าว่า วันศุกร์ที่แล้วไม่ได้ขาย เพิ่งเปิดขายสัปดาห์นี้ แต่ก็ไม่กล้านำของมาเยอะเพราะกลัวไม่มีคนซื้อ อีกอย่างถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจะได้เก็บของวิ่งได้ทัน
"วันนี้ก็ขายหมดหลายอย่าง ถือว่าขายดีกว่าทุกๆ วัน เราต้องเสี่ยงเพราะเรามีลูกพิการอายุ 17 ปี ถ้าไม่ทำงาน ลูกก็ไม่มีอะไรกิน แม้จะได้กินข้าวแต่ก็กินได้แค่ไข่เจียว ไม่มีกับข้าวอื่นให้ลูก ถ้าหากว่าเสี่ยงก็พอมีรายได้เข้ามาบ้าง เมื่อศุกร์ที่แล้วหยุดไม่มีรายได้อะไรเลย"
ได้ไม่คุ้มเสี่ยง
ด้านความรู้สึกของผู้ประกอบการที่ยังคงไม่เปิดขาย นางไซนับ สะตำ แม่ค้ามุสลิมขายข้าวแกงตลาดโคกโพธิ์ กล่าวว่า หยุดขายไปเลยเพราะไม่กล้าเสี่ยง เรื่องแบบนี้ไม่ควรเสี่ยง เพราะคนที่โดนคือตัวเรา เสี่ยงไปก็เท่านั้น มีแต่เสียกับเสีย ไม่ขายก็ไม่มีกินแค่วันเดียว ก็ใช้อย่างประหยัด แต่ถ้าขายมีโอกาสถูกทำร้าย หรือถ้าเกิดอะไรร้ายแรงขึ้นครอบครัวจะยิ่งแย่ ก็เลยไม่ประมาทดีกว่า
ขณะที่ น.ส.ไพรหงส์ ไม้ขาม แม่ค้าไทยพุทธขายเสื้อผ้าใน จ.ยะลา เล่าว่า ตอนเช้าก็ลังเลว่าจะขายหรือไม่ขาย จากนั้นก็นั่งดูลาดเลา เห็นว่าไม่ค่อยมีคนเดินผ่านไปมาสักเท่าไหร่ ก็เลยตัดสินใจปิดดีกว่า เพราะเปิดไปก็ไม่มีคนซื้อ
"เสี่ยงไปก็เท่านั้น ไปเที่ยวดีกว่า สบายใจ ไม่ต้องมาเสี่ยงกับปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น วันนี้เราไม่ขาย เราขาดรายได้ พรุ่งนี้เราหาใหม่ได้ วันนี้เราไม่ขาย เราก็ประหยัดกว่าทุกๆ วันเพราะเราไม่มีรายได้ ก็เท่านั้น แค่วันเดียวไม่ถึงขนาดต้องอด" น.ส.ไพรหงส์ กล่าว
วอนหยุดพูด"มาถูกทาง"
เป็นที่น่าสังเกตว่าจากการสอบถามความเห็นของพ่อค้าแม่ขายส่วนใหญ่ ตลอดจนชาวบ้านทั่วไป พบว่าผู้คนจำนวนมากยังเชื่อว่าต้นตอข่าวลือให้หยุดทำงานไม่ได้มาจากกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดน ซึ่งยังเป็นความเชื่อเดิมตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
เมื่อถามถึงข้อเสนอที่อยากส่งถึงรัฐบาล ชาวบ้านหลายรายพูดตรงกันว่า อยากให้สร้างความเชื่อมั่นมากกว่านี้ด้วยวิธีการอะไรก็ได้ เช่น เปิดร้านธงฟ้าราคาประหยัด แต่ไม่อยากให้ทหารมายืนเฝ้า เพราะเกรงจะตกเป็นเป้าถูกทำร้าย และไม่อยากให้รัฐพูดคำว่า "มาถูกทางแล้ว" เพราะเมื่อไรที่พูดคำนี้ คนที่เดือดร้อนคือชาวบ้าน
"วันนี้เจ้าหน้าที่รัฐและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่มาให้กำลังใจพ่อค้าแม่ค้า แต่ก็แค่เวลานี้เท่านั้น พอกลับไปชาวบ้านก็ต้องขายของเหมือนเดิม ก็ต้องอยู่กับอีกฝ่าย อยู่ท่ามกลางความไม่ปลอดภัย จึงอยากให้รัฐทำอะไรที่สามารถดูแลประชาชนได้จริงๆ บ้าง" เป็นเสียงจากประชาชนในพื้นที่
รวบ 2 ผู้ต้องสงสัย
สำหรับความเคลื่อนไหวด้านอื่นๆ ที่ชายแดนใต้นั้น มีการจับกุมผู้ต้องสงสัย 2 รายที่ อ.ยะหา จ.ยะลา ซึ่งมีพฤติการณ์ข่มขู่ผู้ประกอบการร้านค้าให้ปิดกิจการในวันศุกร์ ได้แก่ นายอับดุลรอเซะ ยูโซ๊ะ อายุ 25 ปี และ นายฮาซัน ปานาวา อายุ 22 ปี โดยนายอับดุลรอเซะไปพูดกับเด็กปั๊มขณะเข้าไปเติมน้ำมันในสถานีบริการแห่งหนึ่งใน อ.ยะหา ทำนองว่า "ทำไมไม่หยุดขายน้ำมันวันศุกร์ ถ้าวันศุกร์หน้ายังเปิดขาย เด็กปั๊มมีปัญหาแน่ๆ"
ส่วน นายฮาซัน ถูกเจ้าของร้านขายของชำแห่งหนึ่งย่านตลาดเก่า ในเขตเทศบาลนครยะลา แจ้งความว่า นายฮาซันเข้ามาซื้อของแล้วถามว่าทำไมไม่หยุดขายของวันศุกร์
ทั้งนี้ นายเดชรัฐ สิมศิริ ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา เดินทางไปสอบปากคำผู้ต้องสงสัยทั้งสองคนด้วยตนเอง ซึ่งทั้งคู่ยอมรับว่า ได้พูดตามที่ถูกกล่าวหาจริง แต่ไม่ได้มีเจตนาข่มขู่ เพียงแค่พูดด้วยความคึกคะนอง ไม่คิดว่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้
บทพิสูจน์ฝีมือรัฐบาล
ส่วนความเคลื่อนไหวของฝ่ายการเมือง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า อยากเห็นฝ่ายนโยบายลงไปเกาะติดพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนมีความมั่นใจ แต่ที่ผ่านมารัฐบาลไม่มีท่าทีที่ชัดเจน และคนที่จะแก้ปัญหาได้คือ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ต้องไปกำกับดูแลติดตามการทำงานของหน่วยงานต่างๆ อย่างแท้จริง
"ถ้าหากว่ารัฐบาลทำให้เกิดความเชื่อมั่นไม่ได้ ก็เท่ากับว่าการท้าทายอำนาจรัฐประสบผลสำเร็จ ฝ่ายที่ต้องการให้มีปัญหาในพื้นที่ก็จะขยายผลไปสู่เรื่องอื่นๆ ด้วย ประชาชนก็จะยิ่งหวาดกลัวมากขึ้น เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องใหญ่" นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ขณะที่ นายอนุศาสน์ สุวรรณมงคล สมาชิกวุฒิสภา ซึ่งเป็นคนปัตตานี กล่าวว่า เป็นโจทย์ข้อใหญ่ที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ไข เพราะเมื่อค้าขายในพื้นที่ไม่ได้ จะกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม ทำให้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภาคใต้ตามที่นายกรัฐมนตรีประกาศไว้ล้มเหลว
"สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ถือว่าอำนาจรัฐถูกท้าทายจากอำนาจนอกระบบ ดังนั้นผมจึงมองว่าปัญหานี้จะเป็นบทพิสูจน์การทำงานของหน่วยงานความมั่นคงและรัฐบาลว่ามีเอกภาพจริงหรือไม่" นายอนุศาสน์ ระบุ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ :
1 (ซ้าย) ร้านขายของที่ยังคงปิดในวันศุกร์ที่ 5 ต.ค. (ขวา) ร้านของนางจีรวรรณที่ตัดสินใจเปิดขายแล้ว
2 นายเดชรัฐ สิมศิริ ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา (ใส่สูท) รุดสอบปากคำผู้ต้องสงสัยที่มีพฤติกรรมข่มขู่ชาวบ้านให้ปิดกิจการวันศุกร์ ซึ่งถูกควบคุมตัวได้ที่ อ.ยะหา จ.ยะลา
หมายเหตุ : พรางภาพโดยฝ่ายศิลป์ ทีมข่าวอิศรา
ขอบคุณ : เนื้อหาข่าวเฉพาะส่วนความเคลื่อนไหวของฝ่ายการเมือง เอื้อเฟื้อโดยสำนักข่าวเนชั่น