คาร์บอมบ์ที่ชุมชนเข้มแข็งหน้าวัดปิยาราม กับป้าย"รวมพลัง"ที่ไม่ถูกทำลาย...
ตอนเย็นใกล้ค่ำของวันพฤหัสบดีที่ 17 พ.ย.59 เกิดเหตุร้ายแรงที่สุดของพี่น้องชาวชุมชนปิยา หมู่ 3 ต.ปิยามุมัง อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี เมื่อเสียงระเบิดจากคาร์บอมบ์ดังขึ้นกลางชุมชน ระหว่างร้านสหกรณ์ชุมชน “รวมพลัง” กับร้านจำหน่ายน้ำมันแบบหยอดเหรียญ
จุดเกิดเหตุอยู่ไม่ห่างจากสามแยกหน้าวัดปิยาราม มองเห็นวัดอยู่ใกล้ๆ แรงระเบิดสร้างความเสียหายในวงกว้าง อาคารสหกรณ์ได้รับความเสียหายทั้งหลัง รวมทั้งอาคารสำนักงานบริหารราชการตำบลปิยามุมัง ซึ่งปิดทำการ และอาคารผลิตน้ำดื่มในบริเวณโรงเรียนวัดปิยาราม มีประชาชนและอาสาสมัครทหารพรานได้รับบาดเจ็บรวม 5 ราย
ภาพความเสียหายทั้งจากแรงระเบิดและเพลิงไหม้ ดูย้อนแย้งกับป้ายชื่อสหกรณ์ “รวมพลัง” ซึ่งสะท้อนความเข้มแข็งของชุมชนแห่งนี้ซึ่งเป็นแหล่งรวมทั้งพี่น้องพุทธและมุสลิม
วิถีชีวิตประจำวันของชาวปิยาราม สถานที่แห่งนี้เป็นที่พบปะ พูดคุย และหาซื้อข้าวของ ผู้คนทั้งสองศาสนิกอยู่ร่วมกันมานาน เป็นหมู่บ้านเข้มแข็งที่ได้รับการยอมรับและมีงบประมาณสนับสนุนการทำกิจกรรมอยู่เสมอ เหตุร้ายครั้งนี้จึงเสมือนเป็น “โศกนาฏกรรม” ที่ผู้กระทำต้องการทำลายวิถีชีวิต แม้จะไม่มีชีวิตของพี่น้องในชุมชนต้องสังเวยก็ตาม
“ชุมชนเราไม่เคยเกิดเหตุอะไรเลย ครั้งนี้เป็นครั้งแรกและรุนแรงที่สุด” ยินดี คงถาวร เจ้าของบ้านตรงข้ามจุดเกิดเหตุและได้รับผลกระทบจากเหตุร้ายครั้งนี้บอก
เธอเล่าว่า ช่วงเกิดเหตุเป็นช่วงใกล้ค่ำ หากเป็นวันปกติจะมีชาวบ้านมาซื้อของ พูดคุยกัน แต่วันนั้นฝนตก ทำให้มีคนน้อย
“ไม่อยากคิดเลยว่าถ้ามีคนอยู่กันเยอะๆ เหมือนทุกวัน หรือเกิดในช่วงที่มีนักเรียนและผู้ปกครองมารับส่งกันที่โรงเรียน จะโกลาหลและวุ่นวายขนาดไหน แต่ที่แน่ๆ คงมีการตายเกิดขึ้นและสูญเสียกันมากกว่านี้”
“เราอยู่กันมาอย่างสงบสุข ไม่เคยเกิดเหตุอะไร พี่น้องพุทธและมุสลิมอยู่ใกล้กัน ช่วยกันเกือบทุกกิจกรรม ทำนา ลงแขกเกี่ยวข้าว เป็นหมู่บ้านเข้มแข็งที่มีหลายๆ โครงการเข้ามาทำงาน คิดว่าเป็นการดิสเครดิตกันมากกว่าว่าสามารถเข้ามาก่อเหตุที่นี่ได้ ช่วงเกิดเหตุทหารพรานก็อยู่ที่ป้อมด้านหน้า มีคนอยู่ตลอด แต่ยังเข้ามาก่อเหตุได้อีก” ยินดี บอกพลางชี้ให้ดูป้อมทหารพราน
ที่น่าตกใจก็คือข้อมูลจากตำรวจที่บอกว่ารถยนต์ที่คนร้ายใช้ทำคาร์บอมบ์ คือรถเก๋งยี่ห้อฮอนด้า รุ่นแอคคอร์ด สีดำ ที่เป็นรถต้องสงสัยแจ้งเตือนเฝ้าระวังอันดับ 1 มานานนับเดือน เคยมีข่าวคนร้ายจะนำไปทำคาร์บอมบ์ที่กรุงเทพฯด้วยซ้ำ
ยินดี เล่าต่อว่า อาคารสหกรณ์เพิ่งก่อสร้างมาได้ 3 ปี มูลค่าเกือบ 2 ล้านบาท สินค้าภายในเต็มแน่น มีตู้แช่นับสิบเครื่อง แรงระเบิดและเพลิงไหม้ทำให้เสียหายเกือบทั้งหมด ส่วนสินค้าต้องประเมินราคากันว่าเสียหายไปเท่าไหร่
เรื่องการติดตามตัวผู้ก่อเหตุ ยินดี เชื่อว่ามีความเป็นไปได้ เพราะหลักฐานสำคัญอยู่ในกล้องโทรทัศน์วงจรปิดของสหกรณ์ที่สมบูรณ์พร้อมใช้งานทุกตัว ส่วนบ้านชาวบ้านรวมทั้งบ้านของเธอที่ได้รับความเสียหายส่วนใหญ่เป็นกระจกแตก ประตูพัง ก็ต้องรอการเยียวยาจากหน่วยงานรัฐ
ลม้าย มานะการ แกนนำเครือข่ายชาวพุทธ บอกว่า ขณะนี้คนเข้าถึงความจริงไม่ได้ว่าผู้กระทำเป็นใคร แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นคือ คนพุทธเป็นเหยื่อมาตลอดปี 59
“จากสถานการณ์ทำให้คิดว่าเขาไม่ต้องการให้คนพุทธอยู่หรือเปล่า รัฐคุ้มครองคนพุทธ โดยส่งทหารไปอยู่ใกล้ๆ หรืออยู่ร่วมกับคนพุทธ เพื่อดูแลคุ้มครองคนพุทธไม่ให้ถูกกระทำง่ายเกินไป คนพุทธต้องพึ่งทหาร ซึ่งเราก็เห็นว่าคนพุทธมีสิทธิ์ แต่ก็มีเสียงบอกว่าเพราะอยู่ใกล้ทหาร ตำรวจจึงโดน ไปอยู่กับเป้าหมายแข็ง กลายเป็นความผิดของคนพุทธที่อยู่ใกล้กองกำลัง จริงๆ มันเป็นความผิดของคนทำมากกว่า”
ลม้าย ยังเชื่อว่า ผู้ก่อเหตุไม่น่าจะเลือกเป้าหมายเป็นวัด แต่เป้าหมายน่าจะคือคนพุทธมากกว่า เพ่ยงแต่จุดเกิดเหตุอยู่ใกล้วัดเท่านั้น
“เรายังคิดว่าเขาไม่ชั่วเลวถึงกับใช้วัดเป็นเป้า เรายังคิดบวก แต่คนพุทธเป็นเป้าแน่นอน บ้านเราไม่มีสุภาพบุรุษสงคราม รัฐเองบอกว่าที่นี่ึคือสงคราม แต่เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ไม่ได้ดำรงชีวิตอยู่ที่นี่ เขาไม่รู้หรอกว่าชีวิตคนที่นี่แขวนบนเส้นด้ายทุกวัน ไม่มีใครรับผิดชอบ”
“เคยได้ยินผู้หญิงคนหนึ่งอวยพรคนที่ไม่รู้จักที่จะเดินทางกลับบ้านหลังเกิดเหตุตอนหัวค่ำว่า...เดินทางปลอดภัยนะคะ ทุกๆ คน เป็นห่วงค่ะเพราะเข้าใจเรื่องการสูญเสีย สามีก็เสียค่ะ ไม่ต้องการให้เกิดกับครอบครัวใครอีก...นี่เป็นประโยคที่วิเศษที่สุด และเป็นประโยคทองของผู้สูญเสียทุกคนที่ได้รู้จัก เขาพูดจากข้างใน สัมผัสได้ถึงความเมตตาและกรุณาของเธอ แต่คนที่ก่อเหตุเขาไม่เห็น” ลม้าย กล่าว
แม้ป้ายชื่อสหกรณ์ “รวมพลัง” จะดูย้อนแย้งกับสภาพความเสียหายโดยรอบจากแรงระเบิดคาร์บอมบ์ แต่ก็น่าแปลกที่ป้ายนี้ไม่ได้ถูกทำลายหรือถูกไฟเผา เปรียบเสมือนพลังแห่งชุมชนเข้มแข็งแห่งนี้ ที่มิได้สูญหายไปหลังเสียงระเบิดดัง...