"คุกเหยื่อซ้อม-คนหาย-ถูกใส่ร้าย" สามคดีร้องเรียนแดนใต้พิสูจน์นโยบาย"คืนความเป็นธรรม"
คดีคาใจยังเพียบหลังแม่ทัพภาค 4 ประกาศนโยบาย "คืนความเป็นธรรม" ผู้เสียหายถูกซ้อมทรมานจากคดีปล้นปืนเจอตำรวจแจ้งความกลับ ศาลสั่งคุก 2 ปีฐานแจ้งความเท็จ ทั้งๆ ที่เป็นพยานให้ดีเอสไอ แถมรัฐธรรมนูญมีบทบัญญัติให้ความคุ้มครอง ส่วนที่บันนังสตา สองหนุ่มไปทวงถามเรือที่ถูกยึดจากหน่วยงานรัฐแล้วหายตัวลึกลับ รองปลัดยุติธรรมแย้มจ่อแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ อีกรายเจอจับคดีฆ่าทั้งๆ ที่ญาติยันช่วงเกิดเหตุยังเป็นนักศึกษาร่วมกิจกรรมกับมหาวิทยาลัย แฉถูกเก็บดีเอ็นเอ-ถ่ายรูปแม้ไม่ได้ตกเป็นผู้ต้องสงสัย ด้านสถานการณ์ไฟใต้เกือบ 1 สัปดาห์ ยิง-ฆ่าแทบทุกวัน
ในขณะที่ พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 ประกาศนโยบาย “คืนความเป็นธรรม” ให้กับพี่น้องประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้เมื่อปลายเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา ด้วยการสั่งรื้อคดีคาใจทุกคดีเพื่อหวังลดเงื่อนไขและแสวงหาแนวทางสร้างสันติสุขนั้น ปรากฏว่ายังมีคดีความและข้อร้องเรียนอีกหลายกรณีจากในพื้นที่ซึ่งผู้ที่เกี่ยวข้องเชื่อว่าตนเองหรือบุคคลในครอบครัวไม่ได้รับความเป็นธรรม
ผู้เสียหายถูกซ้อมทรมานโดนโทษแจ้งเท็จ
คดีแรกคือคดีที่ผู้เสียหายกรณีซ้อมทรมานอันสืบเนื่องจากคดีปล้นอาวุธปืนจากกองพันพัฒนาที่ 4 ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ บ้านปิเหล็งใต้ ต.มะรือโบออก อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 4 ม.ค.2547 ถูกตำรวจฟ้องกลับในข้อหาแจ้งความเท็จ และศาลพิพากษาลงโทษจำคุก 2 ปี
ผู้เสียหายกรณีซ้อมทรมานดังกล่าว คือ นายซูดีรือมัน มาเละ ขณะที่ตำรวจที่กล่าวหานายซูดีรือมัน คือ พล.ต.ต.จักรทิพย์ ชัยจินดา ปัจจุบันครองยศพลตำรวจโท ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.)
ข้อหาของ พล.ต.ท.จักรทิพย์ ที่กล่าวหาว่านายซูดีรือมันแจ้งความเท็จ คือการร้องเรียนและให้ข้อมูลต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ของนายซูดีรือมัน กล่าวหาว่า พล.ต.ท.จักรทิพย์ และพวก ซ้อมทรมานพวกตนเพื่อให้รับสารภาพหรือให้ข้อมูลในคดีปล้นปืน
เมื่อวันที่ 10 ส.ค.2554 ศาลอาญาได้อ่านคำพิพากษาคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.2161/2552 กรณี พล.ต.ต.จักรทิพย์ (ยศในขณะนั้น) เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายซูดีรือมัน ในข้อหาแจ้งความอันเป็นเท็จต่อพนักงานสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และต่อคณะกรรมการไต่สวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
ทั้งนี้ ศาลได้พิจารณาพยานหลักฐานโจทก์ (พล.ต.ต.จักรทิพย์) ที่ได้นำสืบเรื่องสถานที่เกิดเหตุ มีพยานหลักฐานเป็นบัตรโดยสารการเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่อื่นที่มิใช่สถานที่เกิดเหตุ ประกอบพยานหลักฐานของโจทก์ที่เป็นเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.ว่าจำเลยมาให้ถ้อยคำแก่ ป.ป.ช.จริง และจากการตรวจสอบของ ป.ป.ช.พบว่าไม่มีหลักฐานเพียงพอที่แสดงว่ามีการซ้อมทรมานตามที่มีการร้องเรียน แม้จำเลย (นายซูดีรือมัน) จะได้นำพยานที่เป็นเจ้าหน้าที่จากดีเอสไอมาเบิกความว่า จำเลยไม่ได้พูดถึงโจทก์ในคำให้การ (ต่อ ป.ป.ช.) แต่เมื่อมีการชี้ภาพบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการทำร้ายจำเลย จำเลยก็มิได้นำภาพที่จะต้องพิสูจน์ว่ามิได้ชี้ภาพโจทก์มาเสนอต่อศาล พยานจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักมาหักล้างพยานของโจทก์ จึงพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 173 ประกอบมาตรา 174 วรรค 2 และมาตรา 187 (2) ลงโทษจำคุก 2 ปี
ชี้ขัด รธน.-โดนคุกทั้งๆ ที่เป็นพยานดีเอสไอ
น.ส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม กล่าวว่า การร้องเรียนให้มีการตรวจสอบการกระทำความผิดกรณีซ้อมทรมานตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมหรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (Convention Against Torture and Other Cruel Inhuman or Degrading Treatment or Punishment-CAT) ซึ่งประเทศไทยได้ลงนามเป็นภาคีของอนุสัญญามาตั้งแต่ปี 2550 ประกอบกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 62 นั้น ผู้ร้องเรียนโดยสุจริตต้องได้รับการคุ้มครอง เพื่อเป็นหลักประกันว่าผู้เสียหายที่ได้ร้องเรียนโดยสุจริตมีความกล้าเผชิญให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อนำผู้กระทำผิดโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐมาลงโทษ อันเป็นการส่งเสริมไม่ให้เกิดวัฒนธรรมผู้กระทำผิดลอยนวล แต่หากรัฐไม่สามารถคุ้มครองเหยื่อการซ้อมทรมานได้ การบังคับใช้อนุสัญญาฯและรัฐธรรมนูญก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง อีกทั้งยังทำให้การซ้อมทรมานเพื่อให้รับสารภาพยังคงดำรงอยู่ในสังคมไทย
ดังเช่นกรณีของ นายซูดีรือมัน มาเละ ซึ่งได้ร้องเรียนกรณีการตกเป็นเหยื่อของการซ้อมทรมาน ภายหลังจากที่ถูกควบคุมตัวเนื่องจากต้องสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ปล้นปืนที่กองพันทหารพัฒนาที่ 4 อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เมื่อปี 2547 และต่อมา นายสมชาย นีละไพจิตร อดีตประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม ทนายความของนายซูดีรือมัน ซึ่งได้ออกมาเรียกร้องถึงความเป็นธรรมแก่ลูกความของตน ได้ถูกบังคับให้สูญหาย (อุ้มหาย) กลางกรุงเทพมหานครในปีเดียวกัน (มี.ค.2547) ที่สำคัญปัจจุบันนายซูดีรือมันยังอยู่ในโปรแกรมคุ้มครองพยานของดีเอสไอในฐานะพยานในคดีที่ตนเองถูกซ้อมทรมานด้วย
สำหรับรัฐธรรมนูญมาตรา 62 บัญญัติว่า บุคคลย่อมมีสิทธิติดตามและร้องขอให้มีการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หน่วยงานของรัฐ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ บุคคลซึ่งให้ข้อมูลโดยสุจริตแก่องค์กรตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐหรือหน่วยงานของรัฐเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐย่อมได้รับความคุ้มครอง
น.ส.พรเพ็ญ กล่าวด้วยว่า หลังจากนี้จะต้องช่วยเหลือให้นายซูดีรือมันยื่นอุทธรณ์ โดยหลังศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา ได้ประกันตัวนายซูดีรือมันออกมาแล้ว คิดว่ายังมีหนทางสู้คดีต่อไป โดยเฉพาะการสรุปสำนวนของ ป.ป.ช.ในบางประเด็นซึ่งไม่ได้พูดถึงโจทก์ (พล.ต.ท.จักรทิพย์) ในคำให้การ แต่ในการสรุปสำนวนกลับมีการระบุ ซึ่งส่งผลต่อการพิพากษาคดีนายซูดีรือมัน
คดีแจ้งความเท็จเข้าคิวอีกเพียบ
ยังมีคดีแจ้งความเท็จที่ตำรวจแจ้งความกลับเพื่อดำเนินคดีต่อกลุ่มพยานจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้อีกหลายคดี โดยเมื่อวันศุกร์ที่ 10 มิ.ย.ที่ผ่านมา พยานจำนวน 14 คนในคดีที่พนักงานอัยการยื่นฟ้อง นายนัจมุดดีน อูมา อดีต ส.ส.นราธิวาส ในข้อหากบฏแบ่งแยกดินแดนและอั้งยี่ซ่องโจร จากเหตุการณ์ปล้นอาวุธปืนจำนวน 413 กระบอกจากกองพันพัฒนาที่ 4 ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ บ้านปิเหล็งใต้ ต.มะรือโบออก อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 4 ม.ค.2547 ได้ถูกพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เรียกตัวมาแจ้งข้อหา “แจ้งข้อความอันเป็นเท็จ” หลังจากทั้งหมดกลับคำให้การในชั้นศาล ทำให้ศาลพิพากษายกฟ้องคดีนายนัจมุดดีน
ขณะเดียวกัน พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ได้แจ้งความดำเนินคดีกับพยานกลุ่มนี้ด้วย หลังจากเข้าให้ถ้อยคำกับพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พร้อมร้องทุกข์กล่าวโทษต่อ ป.ป.ช.เพื่อเอาผิดกับ พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ กับพวกรวม 19 คนในข้อหาร่วมกันกักขังหน่วงเหนี่ยวและทำร้ายร่างกาย (ซ้อมทรมาน) ระหว่างที่ถูกสอบปากคำในคดีปล้นอาวุธปืนจากกองพันพัฒนาที่ 4 ซึ่งพยานกลุ่มนี้บางส่วนตกเป็นผู้ต้องหา แต่ท้ายที่สุด ป.ป.ช.ไม่รับคำร้องไว้พิจารณา โดยสรุปว่าข้อกล่าวหาที่มีต่อ พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ และพวกไม่มีมูล
คนหาย 2 รายหลังเข้าค่าย ตชด.ตามเรือ
คดีที่ 2 เป็นคดีที่ญาติของนายอิบรอเฮง กาโฮง และนายดุลหามิ มะแร ภูมิลำเนาอยู่ที่ อ.บันนังสตา จ.ยะลา เข้าร้องเรียนต่อมูลนิธิผสานวัฒนธรรม และมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม เมื่อปลายเดือน ก.ค.ที่ผ่านมาว่า ทั้งสองหายตัวไปตั้งแต่วันที่ 30 เม.ย.2554 และจนถึงขณะร้องเรียนก็ยังไม่พบตัวหรือได้ข่าวคราว
ข้อมูลเบื้องต้นที่ญาติของทั้งคู่ให้ไว้กับมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม สรุปได้ว่า เมื่อวันที่ 30 เม.ย.2554 นายอิบรอเฮงและนายดุลหามิได้ไปติดตามเรือที่ถูกเจ้าหน้าที่ยึดไป ที่ค่ายตำรวจตระเวนชายแดน (ค่ายนเรศวร) บ้านสันติ 1 ต.เขื่อนบางลาง อ.บันนังสตา จ.ยะลา ซึ่งชาวบ้านเรียกกันว่า “ค่ายตำรวจพลร่ม” แล้วก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ทั้งนี้ นับจากวันที่ 30 เม.ย.เป็นต้นมา ญาติของบุคคลทั้งคู่ได้ไปยังค่ายดังกล่าวเพื่อติดตามตามหานายอิบรอเฮงและนายดุลหามิ ทั้งยังแจ้งความร้องทุกข์ต่อสถานีตำรวจท้องที่ตั้งแต่วันที่ 2 พ.ค. รวมทั้งขอความช่วยเหลือจากหลายหน่วยงาน แต่กลับไมมีความคืบหน้าใดๆ โดยทางศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอบต.) ยอมรับว่าบุคคลทั้งสองสูญหายจริง
จ่อแจ้งความดำเนินคดี จนท.รัฐอุ้ม
หลังเข้าร้องเรียนต่อมูลนิธิผสานวัฒนธรรมและมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม ทั้งสององค์กรจึงได้พาญาติของนายอิบรอเฮงและนายดุลหามิไปยื่นเรื่องต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กรุงเทพฯ เพื่อให้รับเป็นคดีพิเศษ และติดตามหาตัวเพื่อให้ญาติได้ทราบว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ โดยระหว่างวันที่ 26-27 ก.ค. ญาติของบุคคลทั้งสองได้เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนกับอีกหลายหน่วยงาน รวมทั้ง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
ต่อมาเมื่อวันจันทร์ที่ 15 ส.ค.2554 พ.ต.อ.ทวี กล่าวกับ “ทีมข่าวอิศรา” ถึงความคืบหน้าของคดีว่า ทราบจากเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ว่าจะมีการแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ที่เข้าข่ายกระทำผิดในเรื่องนี้ ซึ่งผลการตรวจสอบเบื้องต้นระบุว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ
ญาติอดีตนักศึกษาร้องถูกจับไม่เป็นธรรม
คดีที่ 3 คือคดีของ นายสุกรี คาเดร์ ซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาและจำเลยในคดีฆ่าผู้อื่น เหตุเกิดเมื่อวันที่ 25 พ.ย.2549 แต่ญาติของนายสุกรีร้องเรียนว่า ในวันเกิดเหตุตามที่กล่าวหานั้น นายสุกรีเข้าค่ายซึ่งเป็นกิจกรรมของนักศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในส่วนกลาง
ข้อมูลจากญาติระบุว่า เมื่อปี 2549 นายสุกรีเรียนอยู่ชั้นปีที่ 1 ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมเป็นเวลา 15 วัน แต่ประกันตัวออกมา ทำให้นายสุกรียังเรียนต่อได้จนจบการศึกษาชั้นปีที่ 4 และทำงานอยู่ในแผนกแพทย์แผนไทย โรงพยาบาลรัฐชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ
ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีฆ่าผู้อื่น โดยสั่งให้จำคุกตลอดชีวิต จากนั้นศาลศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุก 21 ปี 6 เดือน กระทั่งวันที่ 21เม.ย.2554 นายสุกรีถูกจับกุมอีกครั้ง และถูกคุมขังที่เรือนจำจังหวัดสงขลาโดยญาติไม่ทราบว่าถูกจับไปเรื่องอะไร หรือถูกถอนประกันตัว เพราะคดียังไม่ถึงที่สุด
แฉถูกเก็บดีเอ็นเอ-ถ่ายรูปทั้งๆ ที่ไม่เป็นผู้ต้องสงสัย
ญาติของนายสุกรีให้ข้อมูลด้วยว่า ก่อนที่นายสุกรีจะไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ เขาเรียนศาสนาอยู่ชั้น 10 ของโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ อ.เมือง จ.ยะลา ช่วงนั้นตำรวจยะลามีนโยบายให้เก็บหลักฐานดีเอ็นเอของนักเรียนชั้น 10 ทุกคน รวมทั้งถ่ายรูปเก็บไว้ด้วย ต่อมาเมื่อวันที่ 25 พ.ย.2549 เกิดเหตุฆ่ากันตาย เจ้าหน้าที่ได้นำรูปถ่ายที่เก็บเอาไว้ไปให้พยานในที่เกิดเหตุดู ปรากฏว่ามีพยานชี้รูปนายสุกรี ซึ่งญาติเชื่อว่าน่าจะเป็นเพราะหน้าคล้ายคลึงกับคนร้าย แต่นั่นได้ทำให้นายสุกรีถูกดำเนินคดี
ภาคประชาสังคมหนุน"คืนความเป็นธรรม" แต่ขอให้ทำจริง
ด้านความเห็นของฝ่ายต่างๆ หลังจากแม่ทัพภาคที่ 4 ประกาศนโยบาย "คืนความเป็นธรรม" ด้วยการสั่งรื้อคดีคาใจทุกคดีของประชาชนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยประสานความร่วมมือกับหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม มูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม องค์กรภาคประชาสังคม และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาตินั้น
นางอังคณา นีละไพจิตร ประธานคณะทำงานยุติธรรมเพื่อสันติภาพ กล่าวว่า ถ้ากองทัพมีนโยบายเช่นนี้จริงก็ถือว่าเป็นนิมิตมายที่ดี ที่สำคัญควรสรุปบทเรียนของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น ไอร์ปาแย (เหตุการณ์คนร้ายกราดยิงเข้าไปในมัสยิดอัลฟุรกอน บ้านไอร์ปาแย ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ขณะชาวบ้านกำลังละหมาด เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.2552 ทำให้มีผู้เสียชีวิต 10 คน) เห็นชัดว่าเจ้าหน้าที่เลือกปฏิบัติ โดยหลังเกิดเหตุการณ์ไม่มีการปิดล้อมตรวจค้น ต่อมาเมื่อผู้ต้องสงสัยเข้ามอบตัวก็สามารถประกันตัวได้ ทั้งๆ ที่อีกหลายๆ เหตุการณ์ที่เกิดกับพี่น้องมุสลิม เจ้าหน้าที่จะทำการปิดล้อมตรวจค้น เมื่อเจอผู้ต้องสงสัยก็จะเอาตัวไปก่อน ไม่มีการให้ประกันตัว
"ถ้ารื้อคดีเหล่านี้ได้จริงก็อาจทำให้ความยุติธรรมเกิดขึ้นได้ แม้แม่ทัพภาคที่ 4 จะเพิ่งคิดได้แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าช้าเกินแก้ เพราะเรื่องความเป็นธรรม ความยุติธรรม ไม่มีคำว่าช้าเกินไปหรือสายเกินไป แต่ขอให้ทำอย่างเอาจริงเอาจัง เพราะความเป็นธรรมต้องใช้ใจทำจึงจะสำเร็จ"
อย่างไรก็ดี นางอังคณา ตั้งคำถามว่า การรื้อฟื้นคดีนั้น คำนิยามของกองทัพเป็นอย่างไร ขอบเขตของความยุติธรรมอยู่ตรงไหน ถ้าพูดในความหมายแค่เยียวยาก็เชื่อว่าจะไม่เกิดผลดีอะไรเลย ถ้าแค่รับผิดชอบในบางกรณีแต่ไม่ได้ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าได้รับความเป็นธรรมมากกว่าที่ผ่านมา ทุกอย่างที่ประกาศก็สูญเปล่า เพราะปัญหาที่ผ่านมาคือการบังคับใช้กฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์ กองทัพปกป้องคนของตัวเอง
นายสิทธิพงษ์ จันทรวิโรจน์ เลขาธิการศูนย์ทนายความมุสลิม กล่าวว่า ที่ผ่านมาทางแม่ทัพภาคที่ 4 ได้ขอหารือร่วมกับมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมจริง เกี่ยวกับการคืนความเป็นธรรม และรื้อฟื้นคดีต่างๆ ที่ประชาชนยังค้างคาใจ เช่น คดีไอร์ปาแย คดีนายสุไลมาน แนซา ที่เสียชีวิตในห้องควบคุมตัวศูนย์เสริมสร้างความสมานฉันท์ ภายในค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เป็นต้น เพื่อเอาคดีเหล่านั้นมาบอกให้สังคมรับรู้ว่าคืบหน้าถึงไหนแล้ว หรือคดีอยู่ในขั้นตอนใด
"พ่อสุไลมาน"ซัดของจริงไม่สวยหรูเหมือนนโยบาย
ด้าน นายเจ๊ะแว แนซา บิดาของนายสุไลมาน แนซา ซึ่งเสียชีวิตระหว่างถูกควบคุมตัวภายในค่ายอิงคยุทธบริหาร กล่าวว่า ถ้ารัฐสามารถรื้อคดีใหญ่ๆ เช่น คดีตากใบ กรือแซะ ไอร์ปาแย และคดีของนายสุไลมานได้ ประชาชนจะมองเห็นความจริงใจจริงจังที่รัฐพยายามทำ แม้จะคิดทำเพื่ออะไรก็ตาม ก็ขอให้ทำจริง ถ้าทำจริงประชาชนรับได้ และดีใจมากถ้ารัฐจะทำให้ความเป็นธรรมเกิดขึ้น เพราะที่ผ่านมารัฐพยายามสร้างเงื่อนไขมาตลอด
"แม้ผู้บังคับบัญชาจะมีนโยบายที่สวยหรู แต่สำหรับชาวบ้านที่ต้องเผชิญกับสภาพความเป็นจริงจากการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ระดับหน่วยเฉพาะกิจนั้น ไม่ได้สวยหรูหรือเป็นไปตามนโยบายที่ผู้บังคับบัญชาประกาศไว้เลย ระดับปฏิบัติแตกแถวตลอด สุดท้ายชาวบ้านก็ตกเป็นผู้ถูกกระทำเหมือนเดิม" นายเจ๊ะแว กล่าว
ยธ.พร้อมชงข้อมูลคดีความมั่นคง
พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม (ยธ.) กล่าวว่า เห็นด้วยกับนโยบายของแม่ทัพภาคที่ 4 และเท่าที่ทราบจะมีแนวทางการให้ความช่วยเหลือเรื่องประกันตัวของผู้ต้องหาคดีความมั่นคงด้วย ซึ่งกองทุนยุติธรรมในความรับผิดชอบของกระทรวงยุติธรรมก็พร้อมดูแลเพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
"คนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมไม่ควรถูกขังคุกอยู่แล้ว เขาควรจะได้ต่อสู้อย่างเป็นธรรมตามวิถีทางและกระบวนการยุติธรรม ฉะนั้นหากท่านแม่ทัพมีนโยบายอย่างนี้ ทางกระทรวงยุติธรรมก็พร้อมเข้าไปพบเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล เนื่องจากกระทรวงยุติธรรมศึกษาเอาไว้เกือบทุกคดี น่าจะทำให้มีการต่อยอดได้เร็วขึ้น" พ.ต.อ.ทวี ระบุ
ยิงอดีตผู้ใหญ่บ้านดับคารถ-บึ้มประทัดยักษ์เจาะไอร้อง
ด้านสถานการณ์ในพื้นที่ช่วงเกือบ 1 สัปดาห์ที่ผ่านมายังคงมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นรายวัน โดยเฉพาะเหตุการณ์ยิงด้วยอาวุธปืน โดยเมื่อเวลา 06.15 น.วันอังคารที่ 16 ส.ค.2554 คนร้ายจำนวน 2 คนมีรถจักรยานยนต์เป็นพาหนะ ใช้อาวุธปืนพกไม่ทราบขนาดยิง นายเสถียร บัวทอง อายุ 68 ปี อยู่บ้านเลขที่ 46 บ้านดอนยาง หมู่ 4 ต.บางเขา อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ได้รับบาดเจ็บสาหัส เหตุเกิดบนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 43 (ปัตตานี-หาดใหญ่) ท้องที่บ้านดอนยาง หมู่ 4 ขณะนายเสถียรกำลังขี่รถจักรยานไปดื่มน้ำชาที่ร้านในหมู่บ้าน เบื้องต้นตำรวจยังไม่สรุปสาเหตุการลอบยิงดังกล่าว
ก่อนหน้านั้น เมื่อวันจันทร์ที่ 15 ส.ค.ช่วงเช้า เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองยะลา พบศพชายกับหญิงภายในรถกระบะสี่ประตูยี่ห้ออีซูซุ สีน้ำตาล หมายเลขทะเบียน วจ 9080 กรุงเทพมหานคร ซึ่งจอดติดเครื่องอยู่บนทางหลวงสาย 418 ท้องที่บ้านบ่อเจ็ดลูก หมู่ 6 ต.ยุโป อ.เมืองยะลา ตรวจสอบประวัติทราบว่าผู้เสียชีวิตทั้ง 2 รายคือ นายมะสูยี จีเลาะ อายุ 48 ปี อยู่บ้านเลขที่ 61/36 บ้านตือเบาะ หมู่ 4 ต.สะเตงนอก อ.เมืองยะลา โดยนายมะสูยีเป็นอดีตผู้ใหญ่บ้านหมู่ 4 บ้านตือเบาะ ส่วนอีกรายคือ นางนาฟีเสาะ มูกะ อายุ 49 ปี อยู่บ้านเลขที่ 44/16 บ้านตือเบาะ หมู่ 4 สภาพศพทั้งคู่ถูกจ่อยิงที่ศีรษะคนละ 2 นัด เสียชีวิตคาที่ คาดว่าคนร้ายน่าจะนั่งอยู่เบาะหลัง ก่อนเกิดเหตุน่าจะพูดคุยตกลงด้วยเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่ตกลงกันไมได้ คนร้ายจึงใช้อาวุธปืนพกไม่ทราบขนาดจ่อยิงจนเสียชีวิต เบื้องต้นตำรวจยังไม่สรุปสาเหตุการสังหาร แต่ให้น้ำหนักไปที่ความขัดแย้งส่วนตัว และขัดผลประโยชน์ทางธุรกิจ
เวลา 09.30 น.วันเดียวกัน คนร้ายจุดประทัดยักษ์หลายลูกซึ่งนำมาผูกรวมกัน บริเวณเชิงสะพานท้องที่บ้านยานิง หมู่ 2 ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ทำให้เกิดเสียงดังคล้ายระเบิด แต่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ เบื้องต้นสันนิษฐานว่าเป็นการก่อกวนของกลุ่มก่อความไม่สงบ
ยิง 3 เหตุ 3 อำเภอดับ 1 เจ็บ 3
วันอาทิตย์ที่ 14 ส.ค. เวลา 20.00 น. คนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้อาวุธปืนสงครามยิง นายปิยะมิตร ดอเลาะ อายุ 41 ปี ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ 1 อยู่บ้านเลขที่ 92 บ้านโคกนิบง หมู่ 1 ต.ไทรทอง อ.ไม้แก่น จ.ปัตตานี ได้รับบาดเจ็บสาหัส และไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล เหตุเกิดขณะนายปิยมิตรเดินกลับบ้านหลังจากรับประทานอาหารที่มัสยิดในหมู่บ้าน เบื้องต้นตำรวจยังไม่สรุปสาเหตุการสังหาร
ส่วนเมื่อกลางดึกคืนวันเสาร์ที่ 13 ส.ค.ต่อเนื่องวันอาทิตย์ที่ 14 ส.ค. คนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิดและขนาดยิง นายยูโซะ มะตีเย๊าะ อายุ 63 ปี อยู่บ้านเลขที่ 88 บ้านท่าด่าน หมู่ 3 ต.ตะโละกาโปร์ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี ได้รับบาดเจ็บขณะยืนอยู่หน้าบ้าน เบื้องต้นตำรวจยังไม่สรุปสาเหตุการลอบยิงดังกล่าว
ช่วงเวลาใกล้เคียงกัน คนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิดและขนาดยิง นายมะดาโอ๊ะ แมรูแล อายุ 40 ปี และ น.ส.สีดีรอปิยะห์ กาบู อายุ 41 ปี ซึ่งเป็นสามีภรรยากัน อยู่บ้านเลขที่ 4/3 บ้านบันนังกูแว หมู่ 4 ต.บันนังสตา อ.บันนังสตา จ.ยะลา ได้รับบาดเจ็บขณะพักผ่อนอยู่ภายในบ้าน เบื้องต้นตำรวจยังไม่สรุปสาเหตุที่ถูกยิงเช่นกัน
ยิงไม่โดน-คนร้ายไว้ชีวิตสาวไม้แก่น
เวลา 12.15 น.วันเสาร์ที่ 13 ส.ค. คนร้ายจำนวน 2 คนขี่รถจักรยานยนต์ไล่ยิง นางเสาวนีย์ โสมนัส อายุ 30 ปี อยู่บ้านเลขที่ 114 หมู่ 1 ต.ไม้แก่น อ.ไม้แก่น จ.ปัตตานี โดยใช้เท้าถีบรถของนางเสาวนีย์ให้ล้มลงก่อนจะใช้ปืนยิงซ้ำ แต่กระสุนพลาดเป้า ทำให้นางเสาวนีย์ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจากรถล้ม จากนั้นคนร้ายได้ลงจากรถเล็งปืนมาที่นางเสาวนีย์ แต่เจ้าตัวร้องขอชีวิต คนร้ายจึงให้นางเสาวนีย์หลบลงไปข้างทาง และชิงรถจักรยานยนต์ของนางเสาวนีย์หลบหนีไป เหตุเกิดบนทางหลวงสาย 4136 ท้องที่บ้านบือแนปีแย หมู่ 1 ต.ปะลุกาสาเมาะ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส
เวลา 19.45 น. คนร้ายไม่ทราบจำนวนดักซุ่มอยู่ข้างทาง ใช้อาวุธปืนพกขนาด 11 มม.ยิง นายซูเฟียน สือลี อายุ 23 ปี อยู่บ้านเลขที่ 49/2 บ้านลิดล หมู่ 1 ต.ลิดล อ.เมืองยะลา เสียชีวิตคาที่ขณะนายซูเฟียนกำลังขี่รถจักรยานยนต์อยู่บนถนนในหมู่บ้านเพื่อเติมเงินโทรศัพท์ให้มารดา เบื้องต้นตำรวจยังไม่สรุปสาเหตุการสังหาร
บึ้ม 3 จุด "ตากใบ-ธารโต" ไร้เจ็บ
วันศุกร์ที่ 12 ส.ค.เวลา 10.10 น. คนร้ายไม่ทราบจำนวนลอบวางระเบิดบริเวณหน้าร้านน้องฟ้าคาราโอเกะ ชุมชนเมืองใหม่ บ้านตาบา หมู่ 1 ต.เจ๊ะเห อ.ตากใบ จ.นราธิวาส แต่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ โดยระเบิดที่คนร้ายใช้เป็นชนิดแสวงเครื่อง จุดชนวนด้วยระบบตั้งเวลาจากนาฬิกาข้อมือแบบดิจิตอล
ต่อมาเวลา 21.45 น. คนร้ายลอบวางระเบิดบริเวณหน้าร้านกิ่งแก้วคาราโอเกะ ชุมชนเมืองใหม่ บ้านตาบา หมู่ 1 ต.เจ๊ะเห แต่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บเช่นกัน เบื้องต้นตำรวจสันนิษฐานว่าทั้งสองเหตุการณ์เป็นกระทำของกลุ่มก่อความไม่สงบ
ช่วงค่ำวันเดียวกัน คนร้ายไม่ทราบจำนวนลอบวางระเบิดเสาไฟฟ้าริมทางหลวงหมายเลข 410 ท้องที่บ้านฆอแย หมู่ 5 ต.แม่หวาด อ.ธารโต จ.ยะลา แรงระเบิดไม่ได้ทำให้ไฟฟ้าดับหรือมีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ เบื้องต้นสันนิษฐานว่าเป็นความพยายามสร้างสถานการณ์ของกลุ่มก่อความไม่สงบ
ยิงอีก 3 จุดในท้องที่ปัตตานีเจ็บ 1 ดับ 3
เวลา 20.20 น.วันเดียวกัน คนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้อาวุธปืนพกไม่ทราบขนาดยิง นายรุสลัน โพธิ์ศร อายุ 33 ปี อยู่บ้านเลขที่ 64/4 บ้านมอแซง หมู่ 4 ต.ปล่องหอย อ.กะพ้อ จ.ปัตตานี ได้รับบาดเจ็บสาหัส เหตุเกิดขณะนายรุสลันกำลังขี่รถจักรยนยนต์กลับจากดื่มน้ำชาภายในหมู่บ้าน เบื้องต้นตำรวจยังไม่สรุปสาเหตุการลอยยิง แต่ให้น้ำหนักไปที่ความขัดแย้งส่วนตัว
วันพฤหัสบดีที่ 11 ส.ค. เวลา 16.30 น. คนร้ายไม่ทราบจำนวนมีรถจักรยานยนต์เป็นพาหนะ ใช้อาวุธปืนพกไม่ทราบขนาดประกบยิง นายวิชัย ขวัญเต่า อายุ 48 ปี ชาว จ.สมุทรสาคร อาชีพรับซื้อหอย ปัจจุบันอาศัยอยู่กับภรรยาที่บ้านไม่มีเลขที่ ท้องที่บ้านปากบางตาวา หมู่ 1 ต.บางตาวา อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เสียชีวิตคาที่ขณะนายวิชัยกำลังขี่รถจักรยานยนต์กลับจากหาหอย เหตุเกิดในท้องที่บ้านสายหมอ หมู่ 6 ต.บางเขา อ.หนองจิก เบื้องต้นสันนิษฐานว่าเป็นการกระทำของกลุ่มก่อความไม่สงบ
เวลา 18.00 น. คนร้ายจำนวน 2 คนมีรถจักรยานยนต์เป็นพาหนะ ใช้อาวุธปืนพกขนาด 9 มม.ประกบยิง นายสมจิตย์ บุญสุข อายุ 33 ปี และ น.ส.พุฒิ ตันศิริ อายุ 49 ปี เสียชีวิต โดยทั้งคู่เป็นสามีภรรยากัน นายสมจิตย์เป็นพนักงานรักษาความปลอดภัย (รปภ.) สถานีรถไฟโคกโพธิ์ ส่วน น.ส.พุฒิ เป็นลูกจ้างทำความสะอาดสถานีรถไฟ อยู่บ้านเลขที่ 27/1 หมู่ 4 ต.บ้านโหนด อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา เหตุเกิดขณะที่ทั้งสองกำลังขี่รถจักรยานยนต์อยู่บนถนนสายโคกโพธิ์-ช้างให้ตก บ้านป่าบอน หมู่ 1 ต.ป่าบอน อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี เพื่อมุ่งหน้ากลับบ้าน
คืนวันพุธที่ 10 ส.ค. คนร้ายใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิดและขนาดยิงใส่กระจกโชว์รูมจำหน่ายรถยนต์ยี่ห้อเชฟโรเล็ตของบริษัทยะลาออโตเซลล์ จำกัด เลขที่ 928 ถนนสิโรรส ย่านตลาดเก่า ในเขตเทศบาลนครยะลา ทำให้กระจกโชว์รูมเสียหาย แต่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ เบื้องต้นตำรวจยังไม่สรุปสาเหตุของการลอบยิง
----------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ : สภาพกระจกโชว์รูมจำหน่ายรถยนต์ของบริษัทยะลาออโต้เซลล์ที่ถูกคนร้ายยิงใส่เมื่อคืนวันที่ 10 ส.ค. (ภาพโดย อะหมัด รามันห์สิริวงศ์)