เมื่อคู่ต่อสู้ไม่ใช่โจรโง่ๆ...หยุดอ้างชัยชนะบนสงครามตัวเลข!
ทุกครั้งที่มีเหตุรุนแรงขนาดใหญ่ หรือเหตุป่วนขนานใหญ่เกิดขึ้นที่ชายแดนใต้ พื้นที่นี้จะถูกจับจ้องจากคนทั้งประเทศ แล้วก็เริ่มมีการถามหาความรับผิดชอบจาก "หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง" และก็เป็นทุกครั้งเหมือนกันที่ "ผู้เกี่ยวข้อง" จะต้องออกมาบอกว่าสถานการณ์ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด สถิติเหตุรุนแรงลดลงจากช่วงก่อนหน้า ฯลฯ
ปัญญศักย์ โสภณวสุ ผู้ที่เคยเป็นนักวิจัยในโครงการความมั่นคงศึกษาของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เขียนบทความวิพากษ์ตรงๆ กับพฤติกรรมการอ้างสถิติตัวเลขเหตุรุนแรงที่ไม่สามารถอธิบายภาพรวมของสถานการณ์ได้จริง พร้อมข้อเรียกร้องสั้นๆ "ควรเลิกได้แล้ว" เพราะกลุ่มผู้ก่อการไม่ใช่ "โจรโง่ๆ"
เหตุการณ์ลดลงแต่ความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น
คราใดก็ตามที่มีการก่อเหตุร้ายแรงสะเทือนขวัญขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ไม่ว่าจะเป็นการลอบวางระเบิดที่โรงแรมลีการ์เดนส์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ในเขตเทศบาลนครยะลา และ อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี เมื่อ 31 มี.ค.2555 หรือล่าสุดคือเหตุการณ์ยิงหน้ากล้องวงจรปิดสังหารทหาร 4 นายที่ อ.มายอ จ.ปัตตานี เมื่อ 28 ก.ค.2555 และคาร์บอมบ์ด้านหลังโรงแรม ซี.เอส.ปัตตานี เมื่อ 31 กค.2555 ดูเหมือนทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในการยุติปัญหา โดยเฉพาะฝ่ายค้าน รัฐบาล กองทัพ รวมทั้งสื่อ ต่างก็นำเอาตัวเลขและจำนวนครั้งของเหตุการณ์การก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนใต้ตั้งแต่ปี 2547 ถึงปัจจุบันไปใช้เพื่อประโยชน์และสร้างความชอบธรรมให้กับฝ่ายตนทั้งสิ้น
ทุกฝ่ายที่กล่าวมาต่างบรรจงอธิบายโดยใช้ "ต้นไม้เพียงต้นเดียวอธิบายป่าทั้งป่า" มิหนำซ้ำทำให้ "การพยายามแก้ไขปัญหา" จมปลักอยู่ในมิติทางด้านการทหารเพียงเท่านั้น
เมื่อกล่าวถึงจำนวนเหตุการณ์ความไม่สงบที่ลดลงมานับตั้งแต่ปี 2550 ใครๆ ก็เห็นอยู่ว่ามันลดลงจริง แต่ถ้ามันลดลงเพราะฝ่ายรัฐเข้มแข็งและมีความได้เปรียบฝ่ายผู้ก่อการแบ่งแยกดินแดนก็ดีไป เพราะนั่นหมายถึงผู้ก่อความไม่สงบอ่อนแอลง
แต่ทำไมต้องขอประกาศใช้เคอร์ฟิว?
เพราะในข้อเท็จจริงภายหลังเวลาสามทุ่ม ในเขตชนบทก็ไร้การเคลื่อนไหวของผู้คน มันเคอร์ฟิวโดยตัวของมันเองอยู่แล้ว และทำไมนักรบอาวุโสบางท่านเรียกร้องให้ใช้การสู้รบด้วยยุทธวิธี search and destroy
ในเบื้องต้นนี้ลองมาพิจารณาทบทวนดูกันว่ามันเข้าท่าหรือไม่?
การถอดถอนแกนนำ (search and destroy) เคยกระทำมาแล้วมิใช่หรือนับตั้งแต่ปี 2548 รัฐประสบผลสำเร็จในการค้นหาและทำลายแกนนำระดับหมู่บ้าน-ตำบลในพื้นที่ อ.เจาะไอร้อง อ.ระแงะ อ.สุไหงปาดี และ อ.จะแนะ ได้อย่างน่าพอใจ แต่แล้วก็ไม่สามารถยุติสถานการณ์ความเคลื่อนไหวด้วยกำลังอาวุธของฝ่ายก่อการได้ ตรงกันข้ามความรุนแรงมีความเข้มข้นและขยายตัวมากขึ้นภายหลังยุทธการถอนแกนนำไม่นาน
การลอบสังหาร อิหม่ามสะตอฟา ยูโซะ ในเดือน ส.ค.2548 หนึ่งในรูปธรรมของการถอนแกน ยังคงเป็นปริศนาว่า "ใครเป็นผู้ลงมือ" แต่ก่อนตายอิหม่ามได้บอกคนใกล้ชิดว่า "คนที่ยิงเป็นคนที่รู้จักกันดี เพราะคนเหล่านั้นนำของใช้และยาสามัญประจำบ้านมาให้บ่อยครั้ง" และสั่งเสียว่า "ไม่ต้องพาไปโรงพยาบาล ตายแล้วให้ฝังโดยไม่ต้องอาบน้ำศพ"
หลังการตายของอิหม่าม ชาวบ้าน 131 คนอพยพหลบภัยเข้ามาเลเซียจนเป็นข่าวครึกโครม...ชาวบ้านหนีภัยเพราะกลัว "บัญชีดำ" ที่ต้องการแยกปลาออกจากน้ำ
ภววิสัยในปี 2548 นั้นแตกต่างจากปี 2555 โดยสิ้นเชิง การใช้กรอบแนวความคิดทางยุทธศาสตร์-ยุทธวิธีแบบเก่านั้นสุ่มเสี่ยงอย่างยิ่ง
หันกลับมาพิจารณาตัวเลขเหตุการณ์ที่มันลดลง แท้จริงเป็นเพราะความสามารถของนักการเมือง (ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล) ในการกำหนดนโยบายในการแก้ไขปัญหา หรือเพราะฝีมือกองทัพ หรือเพราะเหตุปัจจัยใดกันแน่?
คำตอบคือ "อาจจะถูกทุกข้อ" แต่มันก็เพียงหนึ่งในปัจจัยแวดล้อมอีกหลายประการที่ประกอบขึ้นเป็นเงื่อนไขเฉพาะในแต่ละห้วงเวลาเท่านั้น การเอาจำนวนเหตุการณ์ที่ลดลงไปอธิบายสถานการณ์โดยรวมควรเลิกได้แล้ว เพราะมันไม่ก่อผลดีกับประเทศชาติและประชาชนแม้แต่น้อย
ย้อนกลับไปพิจารณาสถานการณ์ในห้วงเวลานั้น (ช่วงที่เป็นจุดเปลี่ยนทำให้สถิติเหตุรุนแรงลดลงในแง่ตัวเลข) จะพบเหตุปัจจัยหลายประการ
ประการแรก การถอนแกนในปี 2548-2549 ถูกใช้เพื่อตอบโต้สถานการณ์ที่มีความรุนแรงที่ปะทุขึ้นตั้งแต่ปี 2547 แต่มันไม่อาจหยุดยั้งสถานการณ์ได้ ตรงข้ามกลับรุนแรงและขยายตัวครอบคลุมพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้และ 4 อำเภอของ จ.สงขลาด้วย จนรัฐบาลในขณะนั้นถูกวิพากษ์อย่างหนักว่าแม้มาจาก "การรัฐประหาร 2549" ก็ไม่มีน้ำยา
จนในปี 2550 ได้มีการวางกำลังทหารจากทั้ง 4 กองทัพภาคและทหารเรือเต็มพื้นที่ ผลที่ออกมาคือเพียงการจำกัดยุทธบริเวณของฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบลงได้ในระดับหนึ่ง ฝ่ายทหารทำถูกต้องสอดคล้องกับสถานการณ์ แต่ก็หนีไม่พ้นถูกโจมตี
ประการที่สอง เป็นธรรมชาติขององค์กรก่อการร้ายทั่วทั้งโลกที่ต่อสู้ภายใต้ยุทธศาสตร์สงครามยืดเยื้อ สมาชิกในองค์กรย่อมต้องเกิดความเบื่อหน่าย ท้อถอย ไม่เห็นอนาคต บางส่วนปลีกตัวออกจากขบวนกลางคัน จำนวนหนึ่งออกมามอบตัวกับฝ่ายรัฐ จำนวนหนึ่งถูกสังหาร ถูกจับกุม แต่การจัดตั้งเพื่อสร้าง "นักรบรุ่นใหม่" เพื่อทดแทนกำลังเก่าก็เป็นกฎเกณฑ์ปกติ และการผลิตนักรบรุ่นใหม่นี้ดำเนินไปด้วยความรอบคอบรัดกุม ภายใต้การสรุปบทเรียนและคุณภาพใหม่ดังที่สำแดงศักยภาพให้เห็นอยู่ในทุกวันนี้
ประการที่สาม การฆ่ารายวันตั้งแต่ปี 2547-2550 นั้น มีจำนวนครั้งที่สูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับการวางระเบิดและการรวมศูนย์กำลังเข้าที่ตั้งของฝ่ายความมั่นคง ที่เป็นเช่นนี้เพราะกลุ่มแบ่งแยกดินแดนมีเป้าหมายหลักทางยุทธศาสตร์สำคัญประการหนึ่งคือ การกำจัด "สปาย-สายลับ" ของฝ่ายรัฐที่มีอยู่ในพื้นที่ขนานใหญ่ ไม่ว่าเขาจะเป็นมลายูมุสลิมหรือไทยพุทธ หลักฐานเพื่อการนี้ชัดเจนจากบรรดาใบปลิวและสื่ออื่นๆ ในเวลานั้น โดยเฉพาะการใช้คำว่า "มุนาฟิก" เพื่อสื่อถึงมลายูมุสลิมที่ทำงานให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของรัฐ
ประการสุดท้าย การกำจัดสายลับดังกล่าวเป็นผลให้มีการเล่าขานกันในเวลานั้นว่าเริ่มมี "เขตเสมือนเขตปลดปล่อย" เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ แต่ในหลายพื้นที่ในปัจจุบันหลังจากไร้ผู้ให้ข่าวแก่เจ้าหน้าที่รัฐ ประกอบกับคนไทยพุทธ (ทั้งเชื้อสายไทยและจีน) ถูกกำจัดหรือถูกบีบคั้นให้ออกนอกพื้นที่แล้ว ก็ทำให้การเล่าขานนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง
เช่นนี้แล้ว คงเข้าใจได้ว่าจำนวนเหตุการณ์มันลงเพราะสาเหตุใด และสมควรเลิกนำไปใช้ในการปฏิบัติการข่าวสารกันได้แล้ว เพราะกลุ่มคนที่เราต่อสู้ไม่ใช่ "โจรโง่ๆ" ถ้านักรบรุ่นใหม่โง่จริง คงไม่เห็นพัฒนาการในการประกอบระเบิดทำลายรถเกราะ และคงไม่เห็น "เศษทองแดง" ในบาดแผลของกำลังพลในรถหุ้มเกราะรีว่าที่ถูกลอบวางระเบิดที่ อ.บันนังสตา จ.ยะลา
และควรสรุปกันให้ยุติเสียทีว่า มันมีภารกิจในพื้นที่ที่หลายฝ่าย "ต้องทำ" แต่ไม่ใส่ใจ ในที่สุดกองทัพต้องเข้าไปแบกรับโดยไม่จำเป็น
กระทั่ง พ.ศ.นี้แล้วก็ยังมีคนในพื้นที่ "ไม่ยอมเหยียบแผ่นดิน" ปัญหามันจึงเป็นดินพอกหางหมู...
ความจริงมันถูกบันทึกมากว่า 8 ปีแล้ว ไม่ใคร่ครวญกันบ้างหรือ?
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ : เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงเข้าเคลียร์พื้นที่ในจุดที่คนร้ายก่อเหตุป่วนสร้างสถานการณ์เมื่อเช้าวันที่ 31 ส.ค.2555 (ภาพโดย อะหมัด รามันห์สิริวงศ์)