WHO พบ คนเดินเท้า- คนขี่จักรยาน 27% ตายจากอุบติเหตุ
องค์การอนามัยโลกเผยรายงานสถานะประเทศ 2013 ประเทศไทยมีอัตราส่วนผู้เสียชีวิต จากอุบัติเหตุทางถนนสูงเป็นที่ 3 ของโลก
เมื่อเร็วๆ นี้ ผู้แทนองค์การอนามัยโลก (WHO) ประจำประเทศไทย เปิดเผยรายงานความปลอดภัยทางถนนของโลกปี พ.ศ.2556 (Global Status Report on Road Safety 2013) พบอัตราผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนของไทยพุ่งสูงขึ้นเป็นอันดับ 3 ของโลก เสียชีวิตถึง 38.1 คนต่อประชากร 1 แสนคน รองจากประเทศเกาะนีอูเอ และ สาธารณรัฐโดมินิกัน
Dr.Nima Asgari – Jirhandeh รักษาการณ์ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย ได้เปิดเผยในรายงานความปลอดภัยทางถนนของโลก พ.ศ.2556 (Global Status Report on Road Safety 2013) พบว่า การบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนน นำมาซึ่งเหตุการเสียชีวิตเป็นอันดับ 8 ของโลก เกิดกับเด็ก เยาวชน และคนวัยหนุ่มสาว อายุระหว่าง 15 – 29 ปี
"ถ้าแต่ละประเทศทั่วทั้งโลกไม่ดำเนินการจัดการอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว การเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนจะขึ้นมาเป็นอันดับที่ 5 ในปี 2030 (พ.ศ.2573) ทั้งนี้ปี พ.ศ.2553 รัฐบาลของทุกประเทศได้ประกาศอย่างเป็นทางการ ในการเข้าร่วม “ทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน พ.ศ.2554-2563” ที่มีเป้าหมายในการลดจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน ช่วยชีวิตคนกว่า 5 ล้านคนภายในเวลา 10 ปี"
ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลกกำลังเป็นห่วงสถานการณ์ความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน เพราะมีข้อมูลชี้ชัดว่า แต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติหตุจำนวน 1.24 ล้านคน ในขณะที่ตัวเลขยานพาหนะที่จดทะเบียนทั่วทั้งโลกเพิ่มขึ้น 15% อย่างไรก็ตามประชากรโลกจำนวน 1.6 พันล้านคนที่อาศัยอยู่ใน 88 ประเทศ ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ช่วงเวลาจากปี 2007-2010 (พ.ศ. 2550-2553) แต่ละประเทศสามารถช่วยชีวิตประชาชนไว้ได้เป็นจำนวนมากจากอุบัติเหตุทางถนน
รักษาการณ์ผู้แทนองค์การอนามัยโลก กล่าวอีกว่า ยิ่งประเทศใดดำเนินการอย่างจริงจังยิ่งช่วยได้มาก ภาพรวมของการสำรวจจาก 182 ประเทศ มี 6 ประเทศที่สามารถลดจำนวนผู้เสียชีวิตได้อย่างน่าชื่นชม ได้แก่ ออสเตรเลีย แคนาดา ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ สวีเดน และอังกฤษ ขณะที่ 87 ประเทศ ยังน่าเป็นห่วงเพราะมีสถิติผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น
Dr. Nima กล่าวต่อว่า Dr. Magaret Chang ผู้อำนวยการใหญ่ของการอนามัยโลก ส่งสารถึงทั่วโลกว่า ประเทศที่มีรายได้ต่ำ กับ ปานกลาง มียอดผู้เสียชีวิตสูงถึง 33% บางประเทศสูงถึง 75% เรียกว่า “สูงจนรับไม่ได้” เพราะส่วนใหญ่เกิดกับครอบครัวที่มีรายได้น้อย ไม่มีความสามารถพอจะจ่ายค่ารักษาพยาบาล
“ถึงแม้ว่าจุดมุ่งหมายของการลดจำนวนการตายบนท้องถนนต่อปียังไม่สามารถทำให้เห็นเป็นจริงได้ แต่การที่ไม่มีจำนวนเพิ่มขึ้นแสดงให้เห็นว่า การแทรกแซงในเรื่องการปรับปรุงและพัฒนาความปลอดภัยบนท้องถนนระดับโลกช่วยบรรเทาและลดจำนวนผู้ตายซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้”
ทั้งนี้ ข้อมูลที่สำคัญยังพบอีกว่า 27% ของการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทั่วโลกเกิดกับ “คนเดินเท้า” และ “คนขี่จักรยาน” โดยเฉพาะในประทศที่มีรายได้ระดับปานกลางและต่ำ มีผู้เสียชีวิตมากเกือบ 3 ส่วนในจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมด แต่มีบางประเทศสูงถึง 75% ซึ่งรัฐบาลของแต่ละประเทศต้องคำนึงถึงการสร้างความปลอดภัยให้กับคนกลุ่มนี้ด้วย
อย่างไรก็ตาม องค์การอนามัยโลกใช้ตัวชี้วัดทั้งหมด 12 ตัว ในการประเมินสถานะของแต่ละประเทศ ได้แก่ GDP ของประเทศ, จำนวนยานพาหนะจดทะเบียนต่อประชากร 1 แสนคน, จำนวนถนนต่อพื้นที่เฮคเตอร์, การใช้ความเร็วบนถนนในเมือง,การใช้ความเร็วบนถนนชนบท, การเข้าถึงการรักษาพยาบาล, ปริมาณการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์, จำนวนผู้มีงานทำ, อ้ตราส่วนของรถจักรยานยนต์, ดัชนีชี้วัดด้านการทุจริตคอรัปชั่น, นโยบายชาติสำหรับคนเดินเท้าและนักปั่นจักรยาน, จำนวนประชากร
เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว องค์การอนามัยโลก มีข้อเสนอถึงรัฐบาลแต่ละประเทศว่า รัฐบาลของแต่ละที่ควรเร่งให้มีการจัดทำและผ่านกฎหมายเกี่ยวกับความปลอดภัยทางถนนเพื่อป้องกันการบาดเจ็บ เสียชีวิตและพิการจากอุบัติเหตุทางถนนโดยเร็ว ให้การสนับสนุนทั้งทางงบประมาณและกำลังคนในการบังคับใช้กฎหมายและสร้างความตระหนักให้เกิดขึ้นกับสาธารณะ รวมถึงร่วมมือกันสร้างความปลอดภัยพื้นฐานให้กับ “คนเดินเท้า” และ “คนขับขี่จักรยาน” โดยกำหนดให้เป็นเรื่องเร่งด่วนทั้งในนโยบาย ในแผนการจราจรขนส่ง
ในส่วนของประเทศไทยนั้น นพ.วิทยา ชาติบัญชาชัย ผู้อำนวยการศูนย์ความร่วมมือระหว่างองค์การอนามัยโลกและโรงพยาบาลขอนแก่น กล่าวว่า หลายฝ่ายตะลึงถึงข้อมูลที่ประเทศไทยรายงานผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเรียกว่าเป็นการประเมินตนเอง กับ จำนวนจากการคาดการณ์ขององค์การอนามัยโลก
ข้อมูลของสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ.2554 (ปี 2010) มีจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน รวมจากทุกพาหนะและคนเดินเท้าแล้วจำนวนถึง 13,766 คน
"แต่จากการประมาณการการเสียชีวิตจากอุบัติภัยบนท้องถนน ของประเทศไทย โดยองค์การอนามัยโลก ในปี 2010 มีจำนวนสูงถึง 26,312 คน คิดเป็นอัตรา 38.1 ต่อ ประชากร 100,000 คน."นพ.วิทยา กล่าว และว่า สำหรับตัวเลขที่ต่างกันมีความเป็นไปได้สูง เพราะการเก็บข้อมูลของไทย โดยหลักการมี 2 แบบ คือ การเก็บข้อมูลที่เป็นคดีความของทางตำรวจ กับ ข้อมูลจากการบันทึกของทางสาธารณสุขภายใน 30 วัน ประกอบกับความเชื่อของชาวบ้านที่ว่า ต้องนำญาติที่บาดเจ็บสาหัสหรือใกล้เสียชีวิตกลับไปบ้านเพื่อให้วิญญาณกลับเข้าบ้านได้ อาจทำให้การบันทึกข้อมูลขาดหายไป
องค์การอนามัยโลกทำการสำรวจจากสถิติ จากเป็นอันดับ 1 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อัตราการเสียชีวิตของแต่ละประเทศด้วยบรรทัดฐานเดียวกันคือ จำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนต่อประชากร 1 แสนคน พบว่า ประเทศไทยมีอัตราผู้เสียชีวิต 38.1 คนต่อจำนวนประชากร 1 แสนคน นับเป็นอันดับ 3 รองจากอันดับ 1 คือ นิว (Niue) มีอัตราผู้เสียชีวิต 68.3 คน ต่อจำนวนประชากร 1 แสนคน อันดับ 2 คือ สาธารณรัฐโดมินิกัน มีอัตราผู้เสียชีวิต 41.7 คนต่อจำนวนประชากร 1 แสนคน
ประเทศไทย มียานพาหนะจดทะเบียน (ข้อมูลก่อนนโยบายรถคันแรก) เป็นรถยนต์ 4 ล้อ 9,887,706 คัน รถ 2 ล้อ และ 3 ล้อ จำนวน 17,322,538 คัน รถบรรทุกหนัก 816,844 คัน รถบัส 137,943 คัน อื่นๆ 319,798 คัน จำนวนผู้เสียชีวิตตามรายงาน 13,766 คน เป็นชาย 79% หญิง 21% ความสูญเสียทางเศรษฐกิจ 3% ของ GDP
ด้านความช่วยเหลือฉุกเฉินทางการแพทย์หลังอุบัติเหตุเรามีเกือบครบ มีศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) สังเกตุได้ว่า ทั้ง 3 ประเทศมีสิ่งที่เหมือนกันอยู่อย่างเดียว คือ ยังไม่มีการบังคับใช้กฎหมายในเรื่องของการใช้เบาะที่นั่งสำหรับเด็กเล็กในรถยนต์ ส่วนคะแนนที่เหลือถ้าไม่นับเรื่องการสวมหมวกนิรภัยแล้ว เราเหนือกว่าอีก 2 ประเทศทุกด้าน เสียแต่ยังไม่สูงพอที่จะทำให้จำนวนอุบัติเหตุกับจำนวนผู้เสียชีวิตลดลงได้
- ที่มาภาพ : moph-news.blogspot.com