ใครจะล้มโต๊ะเจรจา?
ข้อเสนอจากหลายคนหลายฝ่าย (ไม่เฉพาะตัวผม) ให้ทบทวน "วิธีการ" พูดคุยสันติภาพ หลังจากดำเนินกระบวนการมาระยะหนึ่งแล้วแต่ยังไม่มีแม้สัญญาณใดๆ ว่าความรุนแรงที่ชายแดนใต้จะมีแนวโน้มลดลง ได้กลายเป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์จากบางฝ่ายอย่างกว้างขวาง พร้อมๆ กับข้อกล่าวหา "จ้องล้มโต๊ะเจรจาหรือเปล่า?"
ผมคิดว่าไม่มีใครที่มีสติสัมปชัญญะ และไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในเกมการเมืองที่ฟาดฟันกันทุกเรื่องไม่เว้นแม้แต่ปัญหาภาคใต้ ที่เสนอให้ล้มโต๊ะเจรจาสันติภาพ มีแต่เขาเสนอให้ทบทวนวิธีการพูดคุยเจรจาเพื่อให้ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างเป็นประโยชน์กับประชาชนสูงสุด
ฝ่ายที่กล่าวหาว่าอีกฝ่ายคับแคบเพราะไม่ยอมให้โอกาสกระบวนการสันติภาพได้ทำงาน หรือตื่นตกใจกับความรุนแรงที่พุ่งสูงขึ้นในช่วงนี้มากเกินไป ทั้งๆ ที่ปกติก็ตายกันอยู่แล้วนั้น ผมคิดว่าฝ่ายที่กล่าวหาอย่างนั้นก็ไม่ควรมองอย่างคับแคบและเหมารวมว่าฝ่ายที่เสนอให้ทบทวนการพูดคุยสันติภาพเป็นพวกจ้องล้มโต๊ะเจรจาไปเสียทั้งหมด
ต้องยอมรับว่าการเจรจาแบบ "เปิดเผย" มีจุดอ่อนในตัวของมันเอง ซึ่งก็แน่นอนว่าการเจรจาแบบ "ปิดลับ" ที่ทำกันมาหลายรัฐบาลก็มีจุดอ่อนเช่นกัน วันนี้คนที่เสนอให้ทบทวน เขาเสนอให้ปิดจุดอ่อนของกระบวนการแบบเปิด ไม่ได้เสนอให้ล้มโต๊ะ
บางคนบอกว่า 9 ปีที่ผ่านมารัฐไทยใช้ปฏิบัติการทางทหารมามากพอแล้ว และสร้างเรื่องเลวร้ายไว้มากมาย วันนี้ได้เวลาเปิดพื้นที่ทางการเมือง (โดยกระบวนการพูดคุยเจรจา) กันเสียที ประเด็นนี้ผมอยากบอกว่าอย่าพูดข้างเดียวว่าปฏิบัติการทางทหารของรัฐเป็นฝ่ายสร้างปัญหาในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้งหมด โดยละเลยที่จะพูดถึงปฏิบัติการความรุนแรงของฝ่ายขบวนการที่อ้างอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดนที่ทำทุกอย่างเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายโดยไม่ละเว้นแม้แต่ชีวิตคน
ถึงขั้นหลอกให้พวกเดียวกันไปตายก็ยังมีให้เห็นในหลายเหตุการณ์ หลอกให้กดโทรศัพท์ไปหาอีกคน แต่จริงๆ เป็นการกดจุดชนวนระเบิด ก็มีให้เห็นไม่น้อย หลายคนถูกจับทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้ตัวว่าได้กระทำความผิดเพียงเพราะตกเป็นเครื่องมือพวกนักบงการ (บางราย) ที่อ้างอุดมการณ์ทั้งหลาย
ไม่อย่างนั้นคนทั้งโลกเขาคงไม่เชิดชูยกย่องนักต่อสู้ที่ยึดแนวทางสันติวิธี เพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิ ความเท่าเทียม หรือแม้แต่อิสรภาพ อย่าง เนลสัน แมนเดลา หรือ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง กันหรอก
แน่นอนว่ารัฐไทย (หมายถึงรัฐบาลทุกชุดที่ผ่านมาตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ปล้นปืนปี 2547 หรือก่อนหน้านั้น) อาจจะเลือกใช้วิธีผิด หรือเครื่องมือผิดในการแก้ไขปัญหาภาคใต้ และผมเองก็ไม่เห็นด้วยกับปฏิบัติการทางทหารที่รัฐบาลทุกชุดให้น้ำหนักมากที่สุดในการแก้ปัญหา เพราะวันนี้มันก็ได้พิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้อง แต่เราก็ไม่ควรละเลยที่จะมองว่า รัฐไทยเองก็ได้ปรับปรุงแนวทางการแก้ปัญหาไปในทิศทางที่ดีขึ้นเป็นลำดับพอสมควร แม้จะยังไม่ดีที่สุด ถึงระดับมี base practice ให้กับหน่วยกำลังที่ลงไปในพื้นที่เหมือนกับที่หลายๆ ประเทศเคยทำก็ตาม แต่หากพิจารณา ณ วันนี้ เทียบกับเมื่อ 8-9 ปีก่อน ย่อมมองเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน
แต่ถึงกระนั้น ผมก็เห็นด้วยว่ารัฐไทยน่าจะให้น้ำหนักกับการจัดการปัญหาเสียใหม่ โดยเฉพาะน้ำหนักการแก้ปัญหาทางการเมืองผ่านกระบวนการพูดคุยเจรจา แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพอจะเปลี่ยนจากปฏิบัติการทางหารทหารไปเป็นการเจรจาแล้วต้องกระโจนลงไปโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ ไม่ฟังใครทั้งสิ้น และไม่แม้แต่จะปรับขบวนเมื่อรู้สึกว่ามันชักถลำลึก สถานการณ์ไม่ได้ดีขึ้นเลย หรือมีเสียงทักท้วงมากมายจาก "จุดอ่อนโดยสภาพ" ของการ "เจรจาแบบเปิด" ดังที่ได้พูดถึงในตอนต้น
ทั้งนี้ เพียงเพื่อยืนกรานความเชื่อที่ว่าการเจรจาเป็นแนวทางที่ดีที่สุด และการเจรจาเท่านั้นที่จะยุติปัญหาความขัดแย้งได้ (ซึ่งจริงๆ ก็พิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่การเจรจาอย่างเดียวที่จะแก้ได้ ต้องมีกลไกอื่นช่วยขับเคลื่อนไม่น้อย โดยเฉพาะการจัดการปัญหาที่คาใจประชาชนให้ปรากฏผลเป็นรูปธรรม เช่น ความไม่เป็นธรรม)
อีกอย่างคือการพูดสบประมาทสังคมไทย เสมือนหนึ่งว่าไม่เคยยอมรับการเจรจา หรือไม่ยอมรับความเห็นต่างในอุดมการณ์รัฐปัตตานี (ปัจจุบันหลายคนเลือกใช้คำว่า "ปาตานี") เสมือนหนึ่งเป็นพวกล้าหลัง คับแคบ ผมอยากให้มองอีกมุมหนึ่งว่าถึงวันนี้สังคมไทยก็ได้คลี่คลายปมเงื่อนเหล่านั้นไปมากพอสมควร เพียงแต่ต้องอาศัยเวลาอยู่บ้างในการปรับจูนความคิด การยอมรับความเห็นต่างอย่างแท้จริงและตั้งใจ
ฝ่ายที่กล่าวหาว่าสังคมไทยใจร้อน ก็อย่าแสดงท่าทีใจร้อนเสียเองในการเปลี่ยนแปลงทัศนคติสังคมไทย เพราะทุกเรื่องต้องใช้เวลาทั้งสิ้น แต่ที่แน่ๆ คือการเสนอให้ทบทวนการพูดคุยเจรจาไม่ใช่การด่วนสรุป โดยเฉพาะหากมองในเหตุผลของ "จุดอ่อนโดยสภาพ" ของการเจรจาแบบเปิด
เหตุรุนแรงต่างๆ ที่เกิดขึ้นหลังวันที่ 28 ก.พ.ที่ผ่านมา ไม่ว่าใครหรือองค์กรไหนมาประเมินก็คงยากที่จะให้คำตอบว่ามันเกี่ยวข้องกับการเจรจา หรือเป็นเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นอยู่แล้วไม่ว่าจะมีโต๊ะเจรจาหรือไม่ก็ตาม เพราะความล้มเหลวของกระบวนการเก็บรวบรวมพยานหลักฐาน กับจุดแข็งของการก่อความรุนแรงด้วยเทคนิคก่อการร้าย มีระบบคัทเอาท์-ตัดตอนในตัวเองตามโครงสร้างองค์กรลับ ย่อมเป็นเรื่องยากที่จะไปสรุปหรือประเมิน ฉะนั้นงานนี้จึงไม่มีใครด่วนสรุป ฝ่ายที่เรียกร้องให้ทบทวน "วิธีการพูดคุยสันติภาพ" ก็ใช้มาตรวัดทางความรู้สึกของผู้คนในสังคมเป็นหลัก
ตื่นเช้าวันพรุ่งนี้เดินไปหน้าบ้าน ลองถามใครก็ได้ว่าสถานการณ์ที่ภาคใต้ดีขึ้นหรือไม่ ผมคิดว่าคำตอบที่ได้น่าจะพอเดาได้กระมัง
ใครกันที่เคยพูดว่าสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็น "สงครามความรู้สึก" วันนี้กำลังละเลยหรือหลงลืมที่จะให้ความสำคัญกับ "ความรู้สึก" ของผู้คนเสียแล้วหรือ
ผู้นำอาวุโสของขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่เคยเคลื่อนไหวในอดีตรายหนึ่ง เคยให้สัมภาษณ์ "สื่อทางเลือก" แห่งหนึ่งในพื้นที่ว่า ปัญหาภาคใต้เป็นเรื่องความรู้สึก แม้รัฐไทยจะบอกว่าทำดีแล้ว ทำดีขึ้นมากแล้ว แต่ประชาชนในพื้นที่ก็ยังรู้สึกไม่ดีอยู่ เพราะมันเป็นเรื่องทางความรู้สึก จึงเป็นสิ่งที่รัฐไทยต้องหาทางแก้ไข ขบคิดกันต่อไปว่าทำอย่างไรจึงจะทำให้ความรู้สึกของคนสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ดีขึ้นและให้การยอมรับ
ใครกันที่ตื่นเต้นกับทัศนะของอดีตผู้นำขบวนการแบ่งแยกดินแดนรายนี้ ที่่มีการแปรมาเป็นถ้อยคำสวยๆ ว่า "สงครามความรู้สึก" เพื่ออธิบายปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แล้ววันนี้จะมองข้ามความรู้สึกของสังคมไทย ซึ่งก็คือ "ผู้เล่น" คนหนึ่งที่สำคัญในปัญหานี้ด้วยละหรือ
ไม่ว่าฝ่ายใดที่ทุ่มเถียงกล่าวหากันอยู่ทั้งผ่านหน้ากระดาษและในโลกไซเบอร์ น่าจะมาร่วมกันหาทางสร้างความเข้าใจและลดทอนความร้อนแรงของ "สงครามความรู้สึก" ทั้งของพี่น้องมลายูมุสลิมและพี่น้องไทยในภาคส่วนต่างๆ ของประเทศดีกว่าไหม...เพราะนี่ต่างหากที่น่าจะเรียกว่าการประคับประคองกระบวนการสันติภาพอย่างแท้จริง หาใช่การชี้นิ้วบริภาษอีกข้างหนึ่งว่าโง่ คับแคบ หรือจ้องล้มโต๊ะ
ถ้า "ขาโต๊ะ" ซึ่งเปรียบเสมือนความเข้าใจของผู้คนในสังคมไม่ว่าฝ่ายใดมันแข็งแรง โต๊ะจะล้มแค่เพียงจากลมปากของคนบางคนได้อย่างไร
ปิดท้ายอยากฝากไปถึงคนที่ต่อว่าบทความในคอลัมน์นี้ทำนองว่าเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคลที่ไม่สมควรนำเสนอในเว็บข่าว ขออธิบายว่าคอลัมน์นี้ชื่อ "คุยกับบรรณาธิการ" จึงต้องเป็นการแสดงความเห็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สาระในความเห็นนั้นทุกท่านสามารถวิจารณ์ได้ ตำหนิได้ ชี้ได้ว่าถูกหรือผิดตามทัศนะและวิจารณญาณของแต่ละบุคคล แต่ไม่ใช่มาบอกว่าคอลัมน์นี้ไม่ควรเป็นการแสดงความเห็น เพราะคอลัมน์คือการแสดงความเห็น ไม่ให้แสดงความเห็นแล้วจะให้เขียนอะไร
ที่สำคัญ "สื่อสารมวลชน" ไม่ได้มีหน้าที่แค่รายงานข่าวที่เป็นข้อเท็จจริงเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงการทำหน้าที่เป็น "ตัวผ่าน" หรือ "สื่อกลาง" นำความคิดความเห็นของผู้คน ผู้รู้ หรือแม้แต่ผู้ที่ไม่มีพื้นที่ในการสื่อสาร รายงานออกสู่สังคมใหญ่ด้วย
เกือบทุกเรื่องในคอลัมน์ "คุยกับบรรณาธิการ" นี้ ก็รวบรวมข้อมูล ความเห็น และทัศนะมาจากผู้รู้หลากหลายแขนง ผสมไปกับความรู้จากประสบการณ์ของผู้เขียนเอง ก่อนจะกลั่นกรองออกมาเป็นบทความแต่ชิ้นแต่ละบท
คอลัมน์ในสื่อไหนๆ ก็เป็นเช่นนี้ทั้งนั้น...
การพยายามปิดกั้นความเห็น ซึ่งกล่าวให้ชัดก็คือความเห็นที่แตกต่างจากตน มีความหมายว่าอะไร ผมคงไม่ต้องอธิบายให้มากความ
----------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ : พิธีลงนามในข้อตกลงริเริ่มกระบวนการพูดคุยสันติภาพ เมื่อ 28 ก.พ.2556 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย
หมายเหตุ : ภาพผ่านการปรับแต่งโดยฝ่ายศิลป์ ทีมข่าวอิศรา