เกษียร เตชะพีระ : ยุบ ร.ร.เล็ก อย่าคิดถึงแต่ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
กรณีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายยุบโรงเรียนขนาดเล็กที่มีจำนวนนักเรียนน้อยมากและที่ด้อยคุณภาพ โดยเฉพาะโรงเรียนที่มีจำนวนนักเรียนน้อยกว่า 60 คน ซึ่งคนหลายฝ่ายในสังคม แสดงความไม่เห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าว เกษียร เตชะพีระ ศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์สเตตัสเฟซบุ๊กของตนเอง (Kasian Tejapira) ถึงเรื่องนี้ ดังนี้
ยุบโรงเรียนเล็ก
การอธิบายขยายความตามหลังของรมว.ศธ. พงศ์เทพ เรื่อง "ยุบโรงเรียนเล็ก" อย่างจำแนกและสำรวจสภาพก่อน ฟังดูสมเหตุสมผลมากขึ้น แทนที่ข่าวหะแรกที่ฟังดู "เหมาเข่ง" แถม "รวมศูนย์" เด็ดขาดลงมาเรียบร้อยแล้วอีกต่างหาก
ในฐานะคนสอนหนังสือ ผมมีข้อห่วงเรื่องนี้อย่างนี้นะครับ
๑) การปรับปรุงระบบการจัดให้บริการการศึกษาของรัฐเพื่อยกระดับคุณภาพให้ดีขึ้นตามหลักวิเคราะห์ต้นทุน/ประโยชน์ที่ได้รับ (cost-benefit analysis) อันเป็นการใช้งบประมาณให้คุ้มค่าย่อมมีเหตุผลอยูในตัวตามหลักอรรถประโยชน์ส่วนรวม (public utility) ที่ถือ "ประโยชน์สุขสูงสุดของคนจำนวนมากที่สุด" เป็นที่ตั้ง
แต่บริการการศึกษาของรัฐแก่พลเมืองไม่ใช่เป็นแค่เรื่องอรรถประโยชน์ส่วนรวมที่ต้องชั่งวัดตัดสินใจบนฐาน cost-benefit analysis เท่านั้น มันยังเป็นเรื่อง สิทธิ ที่พลเมืองพึงมีพึงได้จากรัฐและสังคมด้วย (มาตรา ๔๙ ของรัฐธรรมนูญ บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับการศึกษาไม่น้อยกว่าสิบสองปีที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย....)
ในขณะที่เราไม่ควรเอนเอียงสุดโต่งไปด้านใดด้านหนึ่ง (คิดแต่ต้นทุนการจัดบริการศึกษาจนไม่คำนึงถึงสิทธิของเด็กส่วนน้อย/บางคน หรือในทางกลับกันคิดแต่สิทธิจนไม่คำนึงถึงเงินงบประมาณว่าต้องใช้จ่ายอย่างรัดกุมคุ้มค่า ฯลฯ) การไม่ลืมประเด็นสิทธิ (ซึ่งแปลว่าเด็กมีสิทธิที่จะเรียกร้องเอาได้ และรัฐ-สังคมมีพันธะผูกมัดต้องให้สุดกำลังความสามารถ ต่อให้ไม่คุ้มทุนในทุกกรณีทุกเม็ดบาทก็ตาม - อย่าคิดแต่เศรษฐศาสตร์ด้านเดียวตรงนี้) และมองการจัดการศึกษาในแง่การลงทุนหวังผลแก่บุคคลและสังคมในอนาคตระยะยาวไกล (แทนที่จะมองขาดทุนกำไรเฉพาะหน้าระยะสั้น) เป็นข้อที่ต้องคำนึงถึงด้วย
๒) ในโลกทุนนิยมตลาดเสรีจริงที่เราอยู่นี้ แน่นอนว่า You get what you pay. และเราไม่อาจคาดหวังความเสมอภาคสมบูรณ์ทางการศึกษาได้ แต่ก็เพราะความเป็นจริงและทางเลือกของตลาดเสรีที่สามารถที่จะไม่เสมอภาคสุดกู่อย่างน่ากลัว ขนาดที่เปิดหุบเหวของการไม่ได้ศึกษากว้างออกให้เด็กจากครอบครัวที่ขาดกำลังซื้อและไกลปืนเที่ยงตกหล่นลงไปได้นั้นแหละ ที่เราต้องให้รัฐใช้ทรัพยากรส่วนกลางของสังคมเข้ามาขีดเส้นบริการต่ำสุดที่ประกันว่าเด็กทุกคนในสังคมไม่ว่ายากดีมีจนควรได้และเราควรต้องออกภาษีจ่ายให้ ไม่ว่าครอบครัวของเขาจะ pay ได้หรือไม่หรือมากหรือน้อยแค่ไหนก็ตาม
นั่นแปลว่าจำต้องรักษา public education การศึกษาภาครัฐที่ให้เปล่าอย่างทั่วถึงและมีคุณภาพอย่างสมเหตุผลตามสมควรไว้เป็น "ทางเลือก" หนึ่งที่เปิดให้อยู่เสมอ คนจำนวนมากคงเลือกจ่ายเพิ่มไปโรงเรียนเอกชน คนอีกไม่น้อยคงเลือกจ่ายค่าเดินทางให้ลูกไปเรียนโรงเรียนคุณภาพดีที่ห่างออกไป และคนอีกจำนวนคงเลือก home school สอนลูกเองที่บ้าน นั่นดีมาก แต่ไม่ควรเชิดชูสิ่งเหล่านี้ at the expense of or sacrificing public education อันเป็นทางเลือกพื้นฐานด้วยอารมณ์หมั่นไส้ NGOs หรือวาทกรรมชุมชนง่าย ๆ
๓) พูดตรง ๆ นะครับ กระทรวงศึกษาธิการไม่น่าไว้วางใจให้ทำอะไรที่เหมาเข่งทั้งประเทศและรวมศูนย์จากเบื้องบน มันเละเทะมาหลายครั้งแล้ว ล่าสุดคือ TQF ซึ่งมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ยังตามล้างตามเช็ดเสียเงินทองมหาศาลจัดทำให้มีขึ้นโดยผลที่เป็นกองกระดาษเป็นตัน ๆ ไม่หาย ขณะที่คุณภาพการศึกษาที่เป็นจริงถูกเสียสละไปเพื่อพิธีกรรมดังกล่าว (เชื่อหัวไอ้เรืองซี่ ผมน่ะได้รับการประเมินให้เป็นอาจารย์สอนดีคะแนนสูงสุดในคณะต่อกันหลายปี และเพิ่งได้กีรตยาจารย์ด้านสังคมศาสตร์ของธรรมศาสตร์เมื่อปีที่ผ่านมา ผมบอกได้เลยว่า TQF มีแต่ทำให้คุณภาพการสอนของผมลดลง แล้วมันรวมศูนย์ลงมา เหมาเข่งทั้งประเทศ แบบเดียวกันนี่แหละ) ดังนั้น การสั่งพรืดจากจมูกออกมาว่าให้กวาดล้างยุบปิดอะไรต่อมิอะไรทั้งประเทศแบบรวมศูนย์เนี่ย ผมไม่ไว้วางใจครับ ผมอยากให้มีกระบวนการตรวจสอบสภาพความเป็นจริงและปรึกษาหารือกับเจ้าของพื้นที่ที่เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วยเป็นอย่างต่ำ เพราะเห็นเลอะเทอะเละเทะมาหลายทีแล้ว
ทั้งหมดที่พูดมาไม่ได้แปลว่าไม่ควรเลือกปิดหรือยุบโรงเรียนขนาดเล็กใด ๆ เลย มันเป็นมาตรการทางเลือกและก็อาจมีเหตุผลสมควรที่จะทำ เพียงแต่ขออย่าคิดแต่เชิงอรรถประโยชน์ทางงบประมาณเม็ดเงินหรือคุณภาพการศึกษา (แปลว่าอะไรไม่ทราบ?) โดยไม่คำนึงถึงสิทธิของเด็กที่เป็นบุคคลซึ่งรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญเท่านั้น.
ที่มาภาพ http://bit.ly/ZRxphv