logo isranews

logo small 2

พล.ต.อ.สมยศ ซัด“เมียชัจจ์ กุลดิลก”ปั้นเงินกู้ 232 ล้าน

เขียนวันที่
วันพฤหัสบดี ที่ 17 มกราคม 2556 เวลา 20:00 น.
เขียนโดย
isranews

เปิดคำให้การ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อุทธรณ์คดีชิงหุ้น บ.แอสเซ็ท มิลเลี่ยน 101 ล้าน ซัด “วิมลรัตน์”เมีย“ชัจจ์ กุลดิลก”ส่อร่วมมือ“สุริยา”ปั้นเงินกู้ 232 ล้าน หลังไม่พบในบัญชีทรัพย์สิน ป.ป.ช. 

 

พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รองผู้บัญชาการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า ไม่มีการกู้ยืมเงินระหว่างนางวิมลรัตน์ กุลดิลก ภรรยาพล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กับ นายสุริยา ลาภวิสุทธิสิน จำนวน 232 ล้านบาท ตามคำให้การของนางวิมลรัตน์และพล.ต.ท.ชัจจ์ ต่อศาลแพ่ง หาก แต่นางวิมลรัตน์ได้สร้างพยานหลักฐานอันเป็นเท็จขึ้นมาเพื่อหวังผลทางคดีเท่านั้น 

คำให้การดังกล่าวเป็นประเด็นหนึ่งที่ พล.ต.อ.สมยศ ใช้ต่อสู้ในชั้นศาลอุทธรณ์ ในคดีที่นางวิมลรัตน์ กุลดิลก ได้ยื่นฟ้องนายสุริยา ลาภวิสุทธิสิน (ต่อมาได้ถอนฟ้อง) นายธรรมนูญ ทองลือ พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง (ยศขณะนั้น) กับพวกรวม 10 คน เป็นจำเลยต่อศาลแพ่ง เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2553 เพื่อขอให้เพิกถอนการโอนหุ้น บริษัท แอสเซ็ท มิลเลี่ยน จำกัด มูลค่า 101,996,000 บาท ระหว่างนายธรรมนูญ กับ พล.ต.ท.สมยศ (คดีหมายเลขดำที่ 830/2553) ซึ่งนางวิมลรัตน์อ้างว่าหุ้นที่ถือครองในชื่อนายธรรมนูญแท้ที่จริงเป็นหุ้นที่นายสุริยาชำระหนี้เงินกู้ 232 ล้านบาท ปรากฏว่าศาลพิพากษาได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2554 ให้นางวิมลรัตน์ได้กรรมสิทธิ์ในหุ้นพิพาทดังกล่าว (คดีหมายเลขแดงที่ 3998/2554)

(อ่านประกอบ เปิดคำพิพากษาศาลสั่ง พล.ต.อ.สมยศ-พวก คืนหุ้น“เมียชัจจ์”101 ล้านhttp://www.isranews.org/investigate/item/18755-คำพิพากษา.html)

สำนักข่าวอิศรา www.isrsnews.org สรุปสาระสำคัญในประเด็นนี้มานำเสนอดังนี้

พล.ต.อ.สมยศระบุว่า เมื่อพิจารณาถึงจำนวนยอดหนี้ที่โจทก์ (นางวิมลรัตน์) กล่าวอ้างว่านางวิมลรัตน์ เป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 1 (นายสุริยา ลาภวิสุทธิสิน) ซึ่งมีจำนวนเงินถึง 232 ล้านบาทนั้น ในชั้นพิจารณากลับปรากฏว่า นางวิมลรัตน์มิได้นำสืบพยานหลักฐานการเป็นเจ้าหนี้ดังกล่าวให้ปรากฏต่อศาลได้เลย

ทั้งที่นางวิมลรัตน์กล่าวอ้างว่า เป็นหนี้ที่นายสุริยาเช็คมาแลกเงินสด และหนี้ที่นายสุริยาได้มาซื้อเครื่องเพชรพลอยจากร้านเพชรของนางวิมลรัตน์ รวมหนี้สินทุกรายการเป็นเงินสูงถึง 232 ล้านบาท

แต่ในชั้นพิจารณานางวิมลรัตน์กลับไม่มีหลักฐานการกู้ยืมเงินหรือการรับเงินหรือเช็คของนายสุริยาหรือใบเสร็จการซื้อเครื่องเพชรมาแสดงต่อศาลแม้แต่ฉบับเดียว ทั้งที่นางวิมลรัตน์ยืนยันต่อศาลว่าเอกสารหลักฐานที่แสดงว่านายสุริยาเป็นหนี้จำนวน 232 ล้านบาทอยู่ที่บ้านของนางวิมลรัตน์

ประกอบกับนางวิมลรัตน์มิได้นำตัวนายสุริยามาเบิกความเป็นพยานเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง แต่ในทางตรงกันข้าม นางวิมลรัตน์กลับยื่นถอนฟ้องนายสุริยาจากจำเลยที่ 1 ทั้งที่นายสุริยาขาดนัดยื่นคำให้การ พฤติการณ์ของนางวิมลรัตน์ดังกล่าวจึงส่อชัดว่าไม่ไดด้เป็นเจ้าหนี้นายสุริยา จำนวน 232 ล้านบาทจริง

การที่นางวิมลรัตน์กล่าวอ้างว่าเป็นเจ้าหนี้นายสุริยาสูงถึง 232 ล้านบาทโดยปราศจากหลักฐานการกู้ยืมเงินหรือหลักฐานมูลหนี้มาแสดงต่อศาลจึงเห็นชัดว่า เป็นเพียงการสมอ้างสร้างหลักฐานเท็จเพื่อใช้ประโยชน์ในฟ้องคดีนี้ โดยที่ไม่มีมูลหนี้กันจริง กล่าวอ้างเอามูลหนี้จำนวนดังกล่าวมาเป็นมูลเหตุในการฟ้องคดี ครั้นเมื่อศาลรับฟ้องและมีการพิจารณาคดีกันแล้วโจทก์ก็ถอนฟ้องนายสุริยา จำเลยที่ 1 ทั้งที่ไม่มีเหตุผลให้ต้องถอนฟ้อง เนื่องจากนายสุริยายังชำระหนี้ให้แก่โจทก์ไม่ครบถ้วนตามที่นางวิมลรัตน์กล่าวอ้าง

พล.ต.อ.สมยศและจำเลยกล่าวอีกว่า ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงเวลาดังกล่าว พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก สามีโจทก์ ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2551 และได้พ้นตำแหน่งเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2551 พล.ต.ท.ชัจจ์มีหน้าที่ต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ของตนเอง ภรรยา และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ

พล.ต.ท.ชัจจ์ก็ทราบเรื่องนายสุริยาเป็นลูกหนี้นางวิมลรัตน์ภรรยาเป็นอย่างดีเพราะนางวิมลรัตน์นำสืบอ้างว่า พล.ต.ท.ชัจจ์มีส่วนร่วมในการเจรจาเรื่องหนี้สินโดย พล.ต.ท.ชัจจ์และนางวิมลรัตน์ได้ร่วมกันนำเงินของตนเองมาให้นายสุริยากู้ยืมอีกด้วย

แต่เมื่อทนายความของนายธรรมนูญ ทองลือ จำเลยที่ 2 ขอให้ศาลออกหมายเรียกบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของพล.ต.ท.ชัจจ์จากคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อพิสูจน์ว่านางวิมลรัตน์เป็นเจ้าหนี้นายสุริยาจริงหรือไม่ ข้อเท็จจริงกลับปรากฏว่า พล.ต.ท.ชัจจ์ไม่ได้ระบุว่ามีเงินให้กู้ จำนวน 232 ล้านบาทตามที่อ้างในบัญชีทรัพย์สิน ทั้ง 3 ครั้ง และพล.ต.ท.ชัจจ์ก็ไม่มาเบิกความเป็นพยานต่อศาล และนางวิมลรัตน์ได้แถลงตัด พล.ต.ท.ชัจจ์จากการเป็นพยานโดยปราศจากเหตุผล

จึงเป็นข้อพิรุธประการสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่า หนี้สินจำนวน 232 ล้านบาทไม่มีอยู่จริง หากแต่เป็นหนี้ที่เกิดขึ้นจากการสมยอมและ/หรือสร้างพยานหลักฐานเท็จเพื่อประโยชน์ในการฟ้องคดีเท่านั้น จึงขอให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาหยิบยกเอาปัญหาข้อเท็จจริงและปัญหาข้อกฎหมายในประเด็นนี้มาวินิจฉัยให้เป็นคุณต่อจำเลยในชั้นอุทธรณ์ด้วย

(อ่านประกอบ ผ่าปมขัดแย้งคดีโอนหุ้น 101 ล้าน “ชัจจ์-สุริยา-สมยศ” เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด? http://www.isranews.org/investigate/item/18016-ชัจจ์-สุริยา-สมยศ.html)
(อ่านประกอบ เปิดรายชื่อผู้ถือหุ้น“แอสเซ็ท มิลเลี่ยน”ชนวนแตกหัก“ชัจจ์-สมยศ-สุริยา” http://www.isranews.org/investigate/item/18258-three-man.html
(อ่านประกอบ “สมยศ”ซัด“ชัจจ์”ส่อซุกเมีย-เงินปล่อยกู้ 232 ล้าน ชงประธาน ป.ป.ช.สอบแจ้งเท็จ? http://www.isranews.org/investigate/item/18059-“สมยศ”ซัด“ชัจจ์”ส่อซุกเมีย-เงินปล่อยกู้-232-ล้าน-ชงประธาน-ป-ป-ช-สอบแจ้งเท็จ.html)
(อ่านประกอบ แลกคนละหมัด!เมีย“ชัจจ์”เล่านาที“สมยศ”พาตำรวจ 30 คนบุกยึด“เวิลด์แก๊ส” http://www.isranews.org/investigate/item/18073-แลกคนละหมัด-เล่านาที.html)
(อ่านประกอบ กลุ่ม พล.ต.อ.สมยศฟ้องอาญา“เมียชัจจ์-พวก”2 คดีรวด ซัดปลอมใบโอนหุ้น 101 ล้าน http://www.isranews.org/investigate/investigative-01/item/18287-สมยศฟ้องอาญา-เมียชัจจ์.html)
(อ่านประกอบ อัยการสั่งไม่ฟ้อง พล.ต.อ.สมยศ-พวก คดีปลอมเอกสารโอนหุ้น 101 ล้าน http://www.isranews.org/ข่าว/item/18844-คดีปลอมเอกสาร.html)