- Home
- Community
- ประชานิยม - ประชาคม
- เปิดแผนแก้น้ำฉบับสมบูรณ์ เล็งพื้นที่ฟลัดเวย์ตะวัน′ตก-ออก′
เปิดแผนแก้น้ำฉบับสมบูรณ์ เล็งพื้นที่ฟลัดเวย์ตะวัน′ตก-ออก′
นายสุพจน์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เลขาธิการสํานักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (สบอช.) ได้ให้สัมภาษณ์ถึงแผนปฏิบัติการแก้น้ำท่วมล่าสุดดังต่อไปนี้
สาเหตุที่น้ำท่วมในปี 2554 เนื่องจากมีปริมาณน้ำมากกว่าปกติคือ 4,600 ลบ.ม.ต่อวินาที และมีน้ำจากลุ่มแม่น้ำสะแกกรังอีก 700 ลบ.ม. รวมทั้งหมด 5,300 ลบ.ม. เกินกว่าความสามารถการรับน้ำได้ ประกอบกับน้ำในเขื่อนเต็ม ไม่มีที่ให้น้ำอยู่ จึงทำให้เกิดน้ำท่วมเมือง อย่างไรก็ตาม
พบว่าในช่วงระหว่างปี 2532-2553 มีความเสียหายที่เกิดจากน้ำแล้ง น้ำเสียและน้ำท่วมเป็นจำนวนมาก คือประมาณ 146,276 ล้านบาท แต่พบว่าในปี 2554 เพียงปีเดียวประเทศไทยเสียหายจากเหตุการณ์น้ำท่วมรวม 1,425,544 ล้านบาท ส่งผลให้รัฐบาลต้องลงทุน 3.5 แสนล้านบาท เป็นการลงทุนคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม เพราะนอกจากเป็นการป้องกันปัญหาน้ำท่วมครั้งใหญ่แล้ว ยังสามารถลดทอนความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในช่วงระหว่างปีอีกด้วย
ในการบริหารจัดการน้ำในแผนบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนตามแนวความคิดของคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) ภายใต้กรอบงบประมาณ 1.2 แสนล้านบาท จะใช้งบประมาณจากเงินกู้ตาม พ.ร.ก.การบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท โดยวางแผนก่อสร้างแนวฟลัดเวย์ถาวร 2 เส้นทาง ได้แก่ 1.แนวฟลัดเวย์ฝั่งเจ้าพระยาตะวันตก (ท่าจีน-เจ้าพระยา) ความยาว 314 กิโลเมตร และ 2.แนวฟลัดเวย์เจ้าพระยาตะวันออก (ป่าสัก-เจ้าพระยา) ความยาวประมาณ 322 กิโลเมตร เพื่อป้องกันและบริหารจัดการน้ำตั้งแต่ภาคกลางเป็นต้นไป
มีการศึกษาแนวทางการทำฟลัดเวย์ไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ไม่สามารถเปิดเผยพื้นที่จัดสร้างได้ เนื่องจากบริเวณด้านข้างของฟลัดเวย์ จะพัฒนาให้เป็นพื้นที่ทางเศรษฐกิจ มีสาธารณูปโภคครบวงจร และออกแบบผังเมืองใหม่โดยจะให้เป็นที่อยู่อาศัยสำหรับประชาชนที่ประสบปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก และเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าอยู่ได้ จะทำให้ที่ดินบริเวณดังกล่าวมีราคาสูงขึ้น เกรงว่าจะมีบริษัทหรือบุคคลไปกว้านซื้อที่ดินเพื่อเตรียมรับโครงการนี้
การสร้างฟลัดเวย์จะสร้างถนน 2 เส้นทาง ทั้งฝั่งตะวันตก และฝั่งตะวันออก แต่ละฝั่งจะประกอบด้วย ถนน 2 เส้นที่มีความสูง 2 เมตรจากพื้นราบ แต่ละเส้นจะมีระยะห่างระหว่างกันประมาณ 2 กิโลเมตร เพื่อเป็นทางน้ำผ่าน สามารถระบายน้ำได้ 2,000 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวินาที ความสูงของน้ำประมาณ 1.50 เมตร จะเป็นถนนมาตรฐานเส้นหลักกว้าง 8 เลนหนึ่งเส้น ส่วนถนนอีกฝั่งจะเป็นถนนไว้ใช้บำรุงรักษากว้าง 4-5 เลนอีกหนึ่งเส้น ทั้งสองเส้นสามารถสัญจรได้ตามปกติ และมีคลองชลประทานไหลผ่านทางด้านในสองข้างตลอดแนว ประชาชนที่อาศัยอยู่ทั้งรอบนอกและรอบในของถนนทั้ง 2 เส้นสามารถทำการเกษตรได้ เมื่อน้ำมีปริมาณมากจะขอปล่อยน้ำเข้าโดยใช้ถนนทั้งสองเส้นนี้กั้นน้ำไว้ จนน้ำไหลลงทะเล ใช้ระยะเวลาในการปล่อยน้ำ 2-3 เดือน และจะจ่ายค่าชดเชยให้ ถือเป็นการรอนสิทธิที่สามารถทำได้ ทั้งนี้หากน้ำมีปริมาณไม่มาก ไม่จำเป็นต้องใช้ฟลัดเวย์ประชาชนก็สามารถดำรงชีวิตตามปกติ
หากประชาชนที่มีบ้านเรือนอยู่ในพื้นที่ฟลัดเวย์หรือใน 2 กิโลเมตรด้านใน ไม่ต้องการอาศัยในพื้นที่ดังกล่าว รัฐบาลจะหาที่อยู่ให้ใหม่ และหากไม่ต้องการย้ายที่อยู่ทางกรมโยธาธิการและผังเมือง กำลังอยู่ระหว่างการออกแบบบ้านสามารถชักผนังขึ้นไปชั้นบนได้ เหลือแต่เสาอยู่ข้างล่าง ให้พ้นความลึกของน้ำที่ระดับ 1.50 ม. มีเรือสำหรับเดินทางได้ เมื่อน้ำหมดก็ปล่อยผนังลงมาอยู่ได้เหมือนเดิม เชื่อว่าแทนที่พื้นที่ที่สร้างฟลัดเวย์จะมีราคาลดลง กลับจะมีมูลค่าที่เพิ่มขึ้น
สำหรับขั้นตอนการดำเนินงานสร้างฟลัดเวย์ถาวรนั้น โครงการนี้จะเป็นหนึ่งในโครงการที่เปิดโอกาสให้บริษัทที่ปรึกษายื่นแสดงแบบแนวความคิดพื้นฐาน (conceptual design) ตามมติของที่ประชุมคณะกรรมการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (กนอช.) ร่างประกาศเชิญชวนจะแล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคมนี้ หลังจากนั้นจะนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่ออนุมัติ หลังจากนั้นก็ออกประกาศเชิญชวนต่อไป ทั้งนี้ ภายหลังจากสามารถคัดเลือกบริษัทที่ปรึกษาและผู้ก่อสร้างได้แล้ว คาดว่าฟลัดเวย์ถาวรจะสร้างเสร็จภายใน 2 ปีครึ่ง โดยจะต้องใช้เวลาในการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) รวมทั้งลงพื้นที่ทำความเข้าใจกับประชาชน และจากนั้นจะเป็นขั้นตอนการก่อสร้างจะใช้เวลาประมาณ 1 ปี
ทั้งนี้ จากแผนปฏิบัติการเพื่อป้องกันและบรรเทาปัญหาอุทกภัยระยะยั่งยืน ตามแนวความคิดของคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) มีทั้งสิ้น 8 แผนงาน วงเงินรวมประมาณ 3 แสนล้านบาท ประกอบด้วย 1.การฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าและดิน ฝายแม้ว เป็นต้น เพื่อให้เกิดระบบนิเวศที่สมดุลพื้นที่ดำเนินการประมาณ 10 ล้านไร่ งบประมาณ 1 หมื่นล้านบาท 2.การบริหารจัดการน้ำและอ่างเก็บน้ำหลัก และการสร้างอ่างกักเก็บน้ำอย่างเหมาะสมและยั่งยืน ในพื้นที่ลุ่มน้ำปิง ยม น่าน สะแกกรัง และป่าสัก วงเงินงบประมาณ 5 หมื่นล้านบาท
3.การจัดทำผังการใช้ที่ดิน/การใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำ รวมทั้งการจัดทำพื้นที่ปิดล้อม พื้นที่ชุมชนและเศรษฐกิจหลักของแต่ละจังหวัด และของประเทศ (ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่น้ำท่วมถึง) งบประมาณ 5 หมื่นล้านบาท 4.การปรับปรุงพื้นที่เกษตรชลประทานในพื้นที่โครงการชลประทานพิษณุโลก (เหนือนครสวรรค์) และโครงการเจ้าพระยาใหญ่ (เหนืออยุธยา) ให้เป็นแก้มลิงแม่น้ำเพื่อเก็บกักน้ำหลากชั่วคราวในฤดูน้ำหลากได้ประมาณ 6,000-10,000 ล้าน ลบ.ม. ใช้พื้นที่ประมาณ 2 ล้านไร่ รวมทั้งปรับปรุงให้สามารถเพิ่มผลผลิต เกษตรกรรมและประมง ฯลฯ งบประมาณ 6 หมื่นล้านบาท 5.การปรับปรุงสภาพลำน้ำสายหลักและคันริมแม่น้ำของแม่น้ำสายหลัก คือ ปิง วัง ยม น่าน เจ้าพระยา สะแกกรัง ป่าสัก ท่าจีน ฯลฯ 7 พันล้านบาท
6.การจัดหาทางน้ำหลาก(flood way) และหรือทางผันน้ำ (flood diversion channel) ขนาดไม่น้อยกว่า 1,500 ลบ.ม./วินาที เพื่อรับอัตราการไหลน้ำหลากส่วนเกินจากแม่น้าเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสัก ไปทางฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา หรือฝั่งใดฝั่งหนึ่ง รวมทั้งจัดทำทางหลวง (ระดับประเทศ) ไปพร้อมๆ กัน งบประมาณ 1.2 แสนล้านบาท 7.การปรับปรุงระบบคลังข้อมูล ระบบพยากรณ์และเตือนภัย รวมทั้งการบริหารจัดการน้ำ ทั้งหลากและแห้ง
กรณีต่างๆ 3 พันล้านบาท 8.การปรับปรุงองค์กร (ทำหน้าที่บริหารจัดการน้ำสั่งการ กำกับ ดูแล ติดตาม พร้อมทั้งปรับปรุง/เพิ่มเติมกฎหมาย และกำหนดวิธีการเยียวยาที่เหมาะสม) การมีส่วนร่วมและการประชาสัมพันธ์
จากข้อมูลของกรมทรัพยากรน้ำสำรวจพบว่าพื้นที่เสี่ยงภัยน้ำท่วมฉับพลันและดินถล่ม ที่ลาดเชิงเขาในประเทศไทย แบ่งเป็นหมู่บ้านเสี่ยงภัยสูง 4 พันกว่าหมู่บ้าน ที่ติดตั้งระบบเตือนภัยแล้ว 2,370 หมู่บ้าน ชุมชนเมืองและพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญที่เสี่ยงภัยน้ำท่วมทั้งหมด 32 เมือง 15 กลุ่มพื้นที่ ได้แก่ ปิง น่าน-ยม เชียงราย เจ้าพระยา-ท่าจีน จันทบุรี บางสะพาน โขง มูล สุราษฎร์ธานี ชุมพร นครศรีธรรมราช หาดใหญ่ ยะลา ตะกั่วป่า ตรัง และมีพื้นที่ขาดแคลนน้ำอุปโภค-บริโภค ยังมีหมู่บ้านที่ยังไม่มีระบบประปา 7,479 หมู่บ้าน และมีหมู่บ้านต้องปรับปรุงระบบประปา 21,336 แห่ง
พื้นที่ขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตร เช่น ภาคกลางยังขาดแคลนพอสมควร เพราะปริมาณน้ำในเขื่อนภูมิพลขาดแคลนโดยเฉลี่ย 4 พันล้าน ลบ.ม.ต่อปี หากสามารถดึงน้ำเมยและสาละวินมาเติมเต็มในส่วนที่ขาดได้จะสามารถปลูกข้าวได้อีกรอบ จะเพิ่มจีดีพีให้กับประเทศได้มาก