- Home
- Community
- ประชานิยม - ประชาคม
- มองภูมิทัศน์และการเมืองผ่านการพัฒนาชนบทไทย ถึงความจริงในม่านฝุ่นสะท้อนภาคประชาสังคมช่วงเปลี่ยนผ่าน
มองภูมิทัศน์และการเมืองผ่านการพัฒนาชนบทไทย ถึงความจริงในม่านฝุ่นสะท้อนภาคประชาสังคมช่วงเปลี่ยนผ่าน
จากเวทีการเสนอรายงานและการแลกเปลี่ยนภายใต้ "ภูมิทัศน์และการเมืองของการพัฒนาชนบทไทยร่วมสมัย" จัดโดย คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมด้วย ภาควิชาสังคมศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) และกลุ่มจับตาขบวนการประชาสังคม ณ ห้องประชุมประกอบ หุตะสิงห์ อาคารเอนกประสงค์ 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
รัฐฉวยวาทกรรมการพัฒนาทางเลือกเสริมอำนาจตน
ในเวที "ความรู้และการเมืองเรื่องการพัฒนาและชนบทไทย" ดร.กฤษฎา บุญชัย นักวิชาการและนักพัฒนาเอกชนอิสระ ได้อภิปรายในหัวข้อย่อยที่ว่า "ทางเลือก: ยุทธศาสตร์การต่อรองอำนาจทวนกระแส" ที่มองว่า จากกระแสทางเลือกการพัฒนาชนบท จะเกิดขึ้นพร้อมกับการตั้งคำถามต่อแนวคิดการพัฒนาที่ทันสมัย ซึ่งรัฐมักจะใช้เป็นตัวลดทอนอำนาจของประชาชน ก่อนที่จะทำให้เกิดการพัฒนาทางเลือกขึ้นมา แต่จะจำกัดในหมู่บ้านในช่วงแรก ไม่สนใจโครงสร้างทางการเมือง หรือเศรษฐกิจมหภาค จนเกิดผลกระทบต่อฐานทรัพยากร เพิ่มอำนาจระบบตลาดมากขึ้น และผลของการปรับตัว ได้เริ่มก้าวข้ามเส้นแบ่งที่สร้างไว้ และเลือกใช้สิ่งที่เป็นคู่ตรงข้ามกับทางเลือก เช่นระบบตลาด กลไกรัฐ เป็นต้น กลายเป็นอำนาจต่อรองให้กับชุมชน
ในด้านการเมือง รัฐและทุนได้เลือกหยิบฉวยวาทกรรมของขบวนการทางเลือกไปเสริมอำนาจของตน ทำให้พื้นที่สาธารณะหดแคบลง มากกว่านั้นนโยบายการเมืองประชานิยมส่งเสริมให้การพัฒนาแบบรัฐจัดการให้แทน เหนือการสร้างอำนาจให้ท้องถิ่นจัดการตนเอง ทั้งนี้การปรับตัวของขบวนการทางเลือก ควรยกระดับยุทธศาสตร์ทางเลือกเพื่อการต่อรองอำนาจและสร้างความชอบธรรมทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองให้มากขึ้น
การพัฒนาทางเลือกกลายเป็นการพัฒนากระแสหลัก
ดร.อัจฉรา รักยุติธรรม ภาควิชาสังคมศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ที่นำเสนอในหัวข้อ "การพัฒนาทางเลือกกระแสหลัก" เชื่อว่า การแพร่หลายของชุดคำ ไม่ว่าจะเป็นการพึ่งพาตนเอง เกษตรยั่งยืน เศรษฐกิจพอเพียง ฯลฯ ทำให้เข้าใจว่าการพัฒนาดังกล่าวที่เรียกว่า การพัฒนาทางเลือก กลายเป็นการพัฒนากระแสหลักไปแล้ว และเป็นชุดคำผลิตซ้ำ ซึ่งครั้งหนึ่งการพัฒนาทางเลือกเคยเป็นบทวิพากษ์หรือถูกผนวกกับการพัฒนากระแสหลัก และเป็นส่วนหนึ่งจากผลของการปรับบทบาทและความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับองค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) ที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันแนวความคิดว่าด้วยการพัฒนาทางเลือกตลอดหลาย 10 ปี ที่ผ่านมา
กระบวนการดังกล่าว อาจจะดูเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่สามารถตั้งข้อสังเกตได้ว่า การประสานกันของแนวคิดและความร่วมมือระหว่างรัฐกับตัวแทนการพัฒนาทางเลือก อาจเป็นเพียงเทคนิคหนึ่งที่ผลิตซ้ำอุดมการณ์จารีตบางอย่าง ซึ่งไม่ได้สะท้อนว่าการพัฒนาทางเลือกได้บรรลุเป้าหมายในการปรับความสัมพันธ์เชิงอำนาจของกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ อันจะนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรมทางสังคม
ความรู้ทางวัฒนธรรมของชนบทส่งผลต่อการสร้างอัตลักษณ์ทางการเมือง
การศึกษาในหัวข้อ "ย้อนคิดว่าด้วยชีวิตทางการเมืองของชาวบ้าน: การเมืองในชนบทที่มากกว่าการเลือกตั้งและการชุมนุมประท้วง" โดย ดร.จักรกริช สังขมณี อาจารย์ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองว่า มายาคติหนึ่งที่เป็นอุปสรรคสำคัญในการทำความเข้าใจภาวะเปลี่ยนผ่านการเมืองไทยในช่วงปีที่ผ่านมา ก็คือมายาคติว่าด้วยการซื้อสิทธิ์ขายเสียงของคนชนบทในฐานะ ที่ถือว่าเป็นโรคร้ายทำลายการพัฒนาประชาธิปไตยของไทย อีกทั้งวาทกรรมที่จะให้ภาพการซื้อขายเสียงในลักษณะตื้นเขิน อ้างเอาความจน ไม่รู้เท่าทันนักการเมือง และอำนาจในระบบอุปถัมภ์ของคนชนบท สามารถนำไปพื้นฐานในการอธิบายว่าการขายเสียงทำไมเป็นไปอย่างง่ายดายและกว้างขวาง
ส่วนการแสดงออกทางการเมืองของชนบทที่ผ่านมา แบ่งออกเป็น 2 ขั้ว ขั้วหนึ่งมองว่าเป็นกรอบการเมืองระบบผู้แทนเป็นหลัก ขณะที่อีกขั้วมุ่งอธิบายผ่านกรอบการเมืองภาคประชาชน ซึ่งกรอบของผู้แทนนั้น จำนวนไม่น้อยเน้นย้ำถึงความล้าหลัง เป็นปัญหาต่อการพัฒนากระการประชาธิปไตย
ทำให้ระยะหลังการศึกษาชี้ให้เห็นว่าการทำความเข้าใจชนบทจำเป็นต้องอาศัยความรู้ทางวัฒนธรรม การเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ ทำให้เข้าใจว่า การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวส่งผลต่อการสร้างอัตลักษณ์ทางการเมืองของคนชนบท ที่สำคัญ การจำกัดการพิจารณาการเมืองในชนบทอยู่แต่เพียงการเมืองแบบตัวแทนและการเมืองภาคประชาชนนั้นไม่เพียงพอในการสะท้อนภาพชีวิตทางการเมืองของชนบทในทุกวันนี้อีกต่อไป
ส่วนการนำเสนอการศึกษาในหัวข้อ "ความจริงในม่านฝุ่น: มองชนบทไทยและการพัฒนาจากการศึกษาภาคสนาม" ของนักศักศึกษาปริญญาเอก ที่ผ่านการศึกษามา ได้เน้นการวิพากษ์ว่าเป็นการสวนทางกับการพัฒนาของภาครัฐ หรือไม่ก็ ตรงกับความเป็นจริงกับการที่รัฐเข้าไปดูแล ที่มักจะมองว่าเป็นภาพที่สวยหรู ทั้งๆ ที่เป็นแค่การสร้างภาพ โดยมีหัวข้อย่อยในการศึกษาดังนี้
เกษตรอินทรีย์ถูผลิตภายใต้ระบบทุนนิยม
น.ส.เนตรดาว เถาถวิล ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ทำการศึกษาในหัวข้อ "เฮ็ดอยู่ แต่บ่พอกิน คำถามว่าด้วยการพึ่งตนเองของชาวนาระบบเกษตรอินทรีย์ในยุคโลกาภิวัตน์และการพัฒนา" ได้ตั้งคำถามกับแนวคิดการพึ่งตนเองในการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ ในฐานะเครื่องมือการพัฒนาทางเลือก เพื่อหลีกหนีออกจากการเกษตรสมัยใหม่และปัญหาความยากจนของเกษตรรายย่อย โดยมองผ่าน 3 ประการ คือ 1.เกษตรอินทรีย์เป็นหนทางสู่การพึ่งพาตนเองของชาวนาจริงหรือไม่ 2.เกษตรอินทรีย์เป็นทางเลือกของชาวนาที่หลีกหนีจากความสัมพันธ์กับรัฐและตลาดจริงหรือไม่ และ 3.เกษตรอินทรีย์เป็นแนวทางในการแก้ปัญหาความยากจนหรือเป็นแนวทางแก้ปัญหาแบบบูรณาการจริงหรือไม่
ทั้งนี้ได้โต้แย้งว่า เกษตรอินทรีย์ไม่ใช่ระบบการผลิตเพื่อยังชีพที่หันหลังให้ระบบตลาดและต่อต้านทุนนิยมอย่างที่เชื่อกัน ทว่าเป็นการผลิตในระบบทุนนิยมภายใต้การกำกับของรัฐ ด้านหนึ่งการเติบโตของเกษตรอินทรีย์เชื่อมโยงกับนโยบายของรัฐ อีกด้านหนึ่งโยงใยกับตลาด ไม่ว่าจะเป็นตลาดทางเลือก และตลาดเกษตรอินทรีย์สากลที่กำลังขยายตัวมากขึ้น ทำให้เกษตรอินทรีย์เป็นนวัตกรรมในระบบทุนนิยม ความสัมพันธ์ระหว่างทุนกับเกษตรกรเป็นความสัมพันธ์เชิงทุนนิยมไม่ใช่การพึ่งตนเอง นอกจากนี้ยังมีข้อโต้แย้งอีกว่า การพัฒนาของเกษตรอินทรีย์ไม่ได้รับอิทธิพลจากแรงขับภายในชุมชนอย่างเห็นได้ชัด
ความเป็นลูกทุ่งกลายเป็นจินตนาการที่รัฐคาดหวังต่อชนบท
ด้าน น.ส.ทับทิม ทับทิม คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และสาขาภูมิศาสตร์ มหาวิทยาลัยซิดนีย์ ทำศึกษาในหัวข้อ "ลูกทุ่งหรือลูกกรุง? ความเป็นเมืองในชนบท" ที่สะท้อนให้เห็นว่า ภาพจินตนาการเกี่ยวกับความเป็นลูกทุ่งหรือชนบทไทย ที่แทรกอยู่ในความนึกคิดของคนกรุงชนชั้นกลางมาอย่างยาวนาน ในรูปความคิด ค่านิยม ผ่านทางสื่อสาธารณะต่างๆ นั้น กลายเป็นจินตนาการที่รัฐ คนกรุงที่เป็นชนชั้นกลางคาดหวังต่อชนบท และมองว่าชนบทควรอยู่แบบพอเพียงด้วยวิถีชุมชนแบบดั้งเดิม และใช้การพัฒนาแบบทางเลือก จากความคาดหวังต่อชนบทด้วยจินตนาการที่สร้างขึ้นเช่นนี้ เป็นภาพของชนบทที่หยุดนิ่งและไม่เป็นจริง
ทำให้คนกรุงเริ่มหันไปใช้ชีวิตแบบชนบทมากขึ้นเรื่อยๆ และพาเอาความคิดที่เป็นลูกทุ่งเข้ามาจินตนาการด้วย และภาพจินตนาการของความเป็นลูกทุ่งที่คนกรุงมี แท้จริงแล้วไม่ได้จางหายไปจากกลุ่มคนเหล่านั้นเลย แต่ยังคงทำงานอย่างเหนียวแน่นด้วยความเชื่อที่ฝังลึก และถูกอธิบายแบบคนกรุงชั้นกลางมาโดยตลอด
ป่าชุมชนกลายมาเป็น "เครื่องมือทางอำนาจรูปแบบใหม่"
ขณะที่ นายสุรินทร์ อ้นพรม สาขาภูมิศาสตร์ มหาวิทยาลัยซิดนีย์ ได้ทำการศึกษาในหัวข้อ "ป่าชุมชน: เครื่องมือเสริมสร้างความเข้มแข็งหรือเพียงแค่เทคโนโลยีอำนาจชิ้นใหม่" มองว่า การสูญเสียป่าไม้ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดการตั้งคำถามและการวิพากษ์มโนทัศน์การจัดสรรทรัพยากรที่ผูกขาดโดยรัฐว่า เป็นแนวทางที่ไม่น่าจะนำไปสู่การจัดสรรทรัพยากรป่าไม้อย่างยั่งยืนและเป็นธรรม ทำให้ข้อสงสัยดังกล่าวได้นำไปสู่การนำเสนอแนวทางการจัดสรรทรัพยากรทางเลือก
มากกว่านั้น ตนได้มุ่งตั้งคำถามและท้าทายแนวคิดป่าชุมชน โดยต้องการชี้ให้เห็นว่า "นัยกรรมป่าชุมชน" มีขีดจำกัด ดังนั้น ความพยายามแปลงนัยกรรมดังกล่าวไปสู่การปฏิบัติ จึงก่อให้เกิดเงื่อนไขการเข้าถึงทรัพยากรที่จำเป็นต่อการดำรงชีพของชาวบ้าน โดยเฉพาะคนจนที่ยังมีความจำเป็นในการเข้าถึงทรัพยากรป่าไม้ จนทำให้ป่าชุมชนกลายมาเป็น "เครื่องมือทางอำนาจรูปแบบใหม่" ที่คอยควบคุมและจัดการแนวทางควบคุมและจัดการทรัพยากรป่าไม้ ที่มีกรมป่าไม้ดูแลอยู่ มีการตรากฎหมายเพื่อเป็นเครื่องมือในการสร้างความชอบธรรม ขณะเดียวกัน แนวทางป่าชุมชนได้สถาปนาตนเองเป็น "องค์กรชุมชน" ซึ่งมีกฎระเบียบท้องถิ่นเองทำหน้าที่ควบคุมและจัดสรรการใช้ทรัพยากรในท้องถิ่น มีคณะกรรมการป่าชุมชนที่ไม่ต่างจากกรมป่าไม้ขณะดำเนินการอยู่ ชาวบ้านถูกจับตาจากชาวบ้านด้วยกันเองในการทรัพยากร
ระบบทุนนิยมนำมาสู่การเกษตรแบบทำลายธรรมชาติ
อย่างไรก็ตาม น.ส.ชลิตา บัณฑุวงศ์ Department of Anthropology, University of Hawaii at Manoa ได้ศึกษาในหัวข้อ "ออแฆกำปง (ชาวบ้าน) ไม่โรแมนติค: การเกษตรและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติแบบเข้มข้นในเขตจังหวัดชายแดนภาคใต้" ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ความสมบูรณ์ของระบบนิเวศและทรัพยากรธรรมชาติที่ยังคงเหลือในพื้นที่แห่งหนึ่งในจังหวัดชายแดนใต้ และการดำรงชีวิตในภาคการเกษตรบนพื้นฐานทรัพยากรธรรมชาติเป็นหลักนั้น ไม่ได้เป็นสิ่งเดียวกับการพึ่งตนเองหรือการมีชีวิตที่พอเพียง ดังเช่น การปรากฎในภาพโรแมนติคว่าด้วยวิถีชีวิตของผู้คนชุมชนมลายูมุสลิมที่ถูกสร้างและผลิตซ้ำมาอย่างต่อเนื่องโดยกลุ่มหรือองค์กรภาคสังคม ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นประชาสังคม ที่ระบุว่าตลาด ระบบทุนนิยม นโยบายรัฐที่ส่งเสริมการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ เป็นปัจจัยนำมาสู่การทำการเกษตรและการใช้ทรัพยากรที่ทำลายธรรมชาติ และการขาดศักยภาพพึ่งพาตนเอง
ทั้งนี้ได้เสนอว่า ตราบเท่าที่การพยายามปรับตัวของผู้คนในรูปแบบดังกล่าวและประเด็นว่าด้วยโครงสร้างความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่รัฐไทยควรมีต่อชาวมลายูมุสลิมยังไม่ถูกให้ความสำคัญ การดำเนินของภาคประชาสังคมก็จะไม่มีวันเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหาความขัดแย้งและความรุนแรงในเขตชายแดนภาคใต้ดังที่รัฐได้กล่าวอ้าง แต่เป็นเพียงการทำงานเพื่อการดำรงอยู่และการเติบโตของหน่วยงานองค์กรในภาคประชาสังคมเองเป็นหลัก