- Home
- Community
- ประชานิยม - ประชาคม
- ความชอบธรรมในการใช้น้ำป่าสักให้กับโครงการโรงไฟฟ้าหนองแซง สระบุรี
ความชอบธรรมในการใช้น้ำป่าสักให้กับโครงการโรงไฟฟ้าหนองแซง สระบุรี
มีความพยายามถึง 3 ครั้งที่จะลบล้างข้อกล่าวหา "แย่งน้ำทำนา" ให้กับโครงการโรงไฟฟ้าหนองแซง จนสุดท้ายรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมหรืออีไอเอโครงการโรงไฟฟ้าหนองแซงก็ผ่านความเห็นชอบเสมือนเป็นใบรับรองให้โครงการโรงไฟฟ้าหนองแซงก่อ สร้างขึ้นมาได้ บนความกังขา
ในช่วงปี พ.ศ.2550 - 2552 มีความพยายามถึง 3 ครั้งที่จะลบล้างข้อกล่าวหา "แย่งน้ำทำนา" ให้กับโครงการโรงไฟฟ้าหนองแซง จนสุดท้ายรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมหรืออีไอเอโครงการโรงไฟฟ้าหนองแซงก็ผ่านความเห็นชอบจากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ง แวดล้อม(สผ.) และคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้าน โรงไฟฟ้าพลังความร้อน(คชก.) เสมือนเป็นใบรับรองให้โครงการโรงไฟฟ้าหนองแซงก่อสร้างขึ้นมาได้ ท่ามกลางข้อกังขาในเรื่องการแย่งน้ำทำนาซึ่ง สผ. และ คชก. ไม่สามารถคลี่คลายได้
อีไอเอฉบับแรก
ในอีไอเอฉบับแรกที่บริษัทเพาเวอร์เจเนอเรชั่นซัพพลายจำกัด หรือ"เพาเวอร์เจเนอเรชั่น" เจ้าของโครงการโรงไฟฟ้าหนองแซงนำส่งให้ สผ. พิจารณาเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2550 ระบุถึงการใช้น้ำของโครงการโรงไฟฟ้าหนองแซงว่า "น้ำดิบจะได้มาจากการสูบน้ำจากแม่น้ำป่าสักและส่งเข้าสู่พื้นที่โครงการโดยผ่านท่อส่งน้ำขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 26 นิ้ว โดยจุดสูบน้ำจะตั้งอยู่เหนือเขื่อนพระรามหก ประมาณ 200 เมตร ซึ่งเป็นจุดที่สามารถรับน้ำทั้งจากแม่น้ำป่าสักและคลองชัยนาท แนวท่อส่งน้ำจะฝังอยู่ใต้ดินและวางไปตามแนวถนนคันคลองระพีพัฒน์ฝั่งตะวันออก (ฝั่งซ้าย) ประมาณ 16 กิโลเมตร จนถึงพื้นที่โครงการ" (บทที่ 2 รายละเอียดโครงการ หัวข้อ 2.8.3 น้ำดิบและสมดุลน้ำ หน้า 2-40)
และใน บทที่ 4 การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม หัวข้อ 4.4.3.2 การใช้น้ำ ระยะดำเนินการ หน้า 4-58 ระบุว่า "โครงการโรงไฟฟ้าจะมีความต้องการใช้น้ำสูงสุดในกรณีที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง ประมาณ 69,924 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน ส่วนความต้องการใช้น้ำในกรณีใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงจะอยู่ที่ประมาณ 58,754 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน จากข้อมูลของโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาป่าสักใต้ (กรมชลประทาน, 2550) พบว่า แม่น้ำป่าสักมีปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนพระรามหกต่ำสุด ในช่วงระหว่างปี 2545-2550 (ข้อมูลของวันที่ 23 มีนาคม 2548) อยู่ที่อัตรา 4.73 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที หรือประมาณ 408,672 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน (เนื่องจากจุดสูบน้ำของโครงการจะตั้งอยู่เหนือเขื่อนพระรามหก ประมาณ 200 เมตร ดังนั้น ผู้ศึกษาจึงได้ใช้ปริมาณน้ำที่ไหลผ่านเขื่อนพระรามหก ในการประเมินผลกระทบต่อการใช้น้ำ) โดยปริมาณน้ำที่โครงการจะสูบมาใช้คิดเป็นร้อยละ 17 และ 14 ของปริมาณน้ำที่ไหลผ่านเขื่อนพระรามหก เมื่อใช้น้ำมันและก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ตามลำดับ"ตามตารางการเปรียบเทียบอัตราความต้องการใช้น้ำฯ
ตาราง การเปรียบเทียบอัตราความต้องการใช้น้ำของโครงการจากการใช้ก๊าซธรรมชาติและ น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงในช่วงฤดูฝนและฤดูแล้ง (หน่วยเป็น ลูกบาศก์เมตรต่อวัน)
อัตราการไหลของน้ำในแม่น้ำป่าสักระดับต่ำสุดเท่ากับ 408,672 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน |
ฤดูฝน |
ฤดูแล้ง |
||
ใช้ก๊าซธรรมชาติ |
ใช้น้ำมันดีเซล |
ใช้ก๊าซธรรมชาติ |
ใช้น้ำมันดีเซล |
|
ปริมาณน้ำที่จะสูบจากแม่น้ำป่าสัก (I) |
58,754 |
69,924 |
58,754 |
69,924 |
ปริมาณน้ำที่จะปล่อยทิ้งกลับสู่แหล่งน้ำ* (E) |
14,983 |
18,537 |
14,983 |
18,537 |
ปริมาณน้ำที่หายไป (I-E) |
43,771 |
51,387 |
43,771 |
51,387 |
ร้อยละของปริมาณน้ำที่สูบมาใช้ |
14% |
17% |
14% |
17% |
ร้อยละของปริมาณน้ำที่หายไป |
11% |
13% |
11% |
13% |
หมายเหตุ: * โครงการจะระบายน้ำทิ้งที่ผ่านการบำบัดแล้วลงสู่คลองระพีพัฒน์ ซึ่งเป็นลำน้ำสาขาที่แยกออกมาจากแม่น้ำป่าสัก
สผ.ได้ทำหนังสือตอบกลับเจ้าของโครงการโรงไฟฟ้าหนองแซงเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2550 ว่าได้ตรวจสอบอีไอเอในเบื้องต้นแล้วเห็นว่ายังมีข้อมูลไม่ครบถ้วนและไม่ชัดเจน โดยขอให้เพาเวอร์เจเนอเรชั่นพิจารณาดำเนินการตามประเด็นผลการตรวจสอบเบื้องต้นฯ และนำเสนอต่อ สผ. เพื่อพิจารณาตามขั้นตอนของกฎหมายสิ่งแวดล้อมใหม่ โดยมีประเด็นเกี่ยวกับการใช้น้ำจากแม่น้ำป่าสัก ดังนี้
"ข้อ 3. แสดงข้อมูลปริมาณ การใช้ประโยชน์และความพอเพียงของน้ำต้นทุนจากลุ่มน้ำป่าสัก ซึ่งเป็นแหล่งน้ำใช้ของโครงการ และพิจารณาเทคโนโลยีหรือแนวทางที่สามารถลดปริมาณการใช้น้ำของโครงการ การใช้น้ำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และการนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ (recycle) ให้มากที่สุด และเนื่องจากโครงการมีการสูบน้ำจากแม่น้ำป่าสัก และมีการปล่อยน้ำลงสู่คลองระพีพัฒน์ ให้พิจารณาทางเลือกของโครงการในกรณีที่ไม่มีการระบายน้ำทิ้งออกจากพื้นที่ โครงการ หรือการนำน้ำทิ้งมาปรับปรุงคุณภาพเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ในโครงการให้มากที่ สุด เพื่อลดข้อวิตกกังวลเกี่ยวกับปริมาณการใช้น้ำจากแม่น้ำป่าสักและการระบายน้ำ ทิ้งลงคลองระพีพัฒน์ รวมทั้งแสดงเอกสารและเงื่อนไขการอนุญาตให้สูบน้ำและปล่อยน้ำทิ้งของโครงการ จากหน่วยงานที่รับผิดชอบ พร้อมทั้งปรับปรุงสมดุลมวลน้ำของโครงการให้ชัดเจน"
อีไอเอฉบับที่สอง
ต่อมาเพาเวอร์เจเนอเรชั่นได้นำส่งอีไอเอฉบับแก้ไข/เพิ่มเติมให้กับ สผ. เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2551 โดย มีการอำพรางหรือบิดเบือนตัวเลขการใช้น้ำจากแม่น้ำป่าสักเพื่อให้เกิดความ เข้าใจผิดว่าโครงการโรงไฟฟ้าหนองแซงไม่เกี่ยวข้องต่อการขาดน้ำทำนาของ เกษตรกรในประเด็นสำคัญ ดังนี้
(1) มีการระบุต้นทุนน้ำใช้ของโครงการโรงไฟฟ้าหนองแซงมาจากสองแหล่ง ได้แก่ คลองชัยนาท-ป่าสัก (จากประตูระบายน้ำเริงราง) และแม่น้ำป่าสัก (จากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) ตามผังแสดงการบริหารจัดการน้ำจากลุ่มน้ำป่าสัก โดยจุดสูบน้ำของโครงการโรงไฟฟ้าหนองแซงจะอยู่บริเวณเหนือเขื่อนพระรามหกและ เหนือประตูระบายน้ำพระนารายณ์ ซึ่งเป็นจุดที่สามารถรับน้ำทั้งจากแม่น้ำป่าสักและน้ำจากคลองชัยนาท-ป่าสัก ได้
ปริมาณน้ำต้นทุนที่ไหลผ่านประตูระบายน้ำเริงรางมีค่าเฉลี่ย 2,191.9 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี อีกส่วนหนึ่งได้จากแม่น้ำป่าสัก (จากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) เขื่อนแห่งนี้เริ่มก่อสร้างในปี พ.ศ.2537 และเปิดใช้งานเมื่อปี พ.ศ.2542 มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อบรรเทาปัญหาอุทกภัย และการจัดสรรน้ำให้กับพื้นที่เกษตรกรรม อ่างเก็บน้ำสามารถกักเก็บน้ำได้สูงสุดประมาณ 960 ล้านลูกบาศก์เมตร ในช่วงฤดูฝนจะมีปริมาณน้ำที่ไหลเข้าเขื่อนอยู่ที่ประมาณ 1,895 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี และในช่วงฤดูแล้งประมาณ 266 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ทั้งนี้จะมีการกักเก็บน้ำไว้ภายในอ่างเก็บน้ำประมาณหนึ่งในสามของปริมาณน้ำที่ไหลเข้าเขื่อน
ดังนั้น ต้นทุนน้ำทั้งสองแหล่ง = 2,191.9 + 1,441* ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี
รวม = 3,632.9 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี
[*ต้นทุนน้ำจากแม่น้ำป่าสักคิดจากปริมาณน้ำที่ไหลเข้าเขื่อนป่าสักฯในฤดูฝนและฤดูแล้ง (1,895 + 266) เท่ากับ 2,161 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ลบด้วยปริมาณน้ำที่กักเก็บไว้ภายในอ่างเก็บน้ำประมาณ 1 ใน 3 ของปริมาณน้ำที่ไหลเข้าเขื่อนป่าสักฯ คือ 720 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี (2,161 - 720) เหลือ 1,441 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี]
มีการอำพรางตัวเลขการใช้น้ำโดยแยกส่วนข้อมูลตัวเลขการใช้น้ำเพื่อทำให้การปะ ติดปะต่อข้อมูลเรื่องการใช้น้ำไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ หรือหากไม่ได้สังเกตอย่างละเอียดถี่ถ้วนก็จะไม่ฉงนสงสัยแต่ประการใด กล่าวคือ ในผังแสดงการจัดสรรน้ำในลุ่มน้ำป่าสัก ได้ระบุตัวเลขการใช้น้ำในลุ่มน้ำป่าสัก ตั้งแต่ Demand 1-6 เท่ากับ 1,330,410 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน หรือ 485,599,650 ลูกบาศก์เมตรต่อปี เมื่อเทียบกับต้นทุนน้ำที่มีปีละ 3,632.9 ล้านลูกบาศก์เมตร จึงยังเหลือน้ำอีกมากถึงปีละ 3,147.30 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยไม่กล่าวถึงตัวเลขปริมาณการใช้น้ำของโครงการทุ่งเจ้าพระยาฝั่งตะวันออกตอนล่าง (Demand 7) ซึ่งก็คือน้ำในแม่น้ำป่าสักหน้าเขื่อนพระรามหกที่ต้องผันเข้าสู่ประตูระบาย น้ำพระนารายณ์เพื่อเข้าสู่คลองระพีพัฒน์ ตามโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาป่าสักใต้ นั่นเอง จึงเห็นได้ว่าอีไอ เอฉบับนี้จงใจบิดเบือนตัวเลขการใช้น้ำในลุ่มน้ำป่าสักเพื่อทำให้เข้าใจผิด ได้ว่าปริมาณน้ำจากลุ่มน้ำป่าสักมีเพียงพอสำหรับโครงการโรงไฟฟ้าหนองแซงที่ กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต
แต่กลับระบุตัวเลขความต้องการใช้น้ำของโครงการทุ่งเจ้าพระยาฝั่งตะวันออกตอนล่าง(Demand 7) เอาไว้ในตารางความต้องการใช้น้ำจากลุ่มน้ำป่าสักฯ ซึ่งอยู่ในหน้าถัดไปของอีไอเอฉบับเดียวกันแทน
ตารางความต้องการใช้น้ำจากลุ่มน้ำป่าสัก (รวมความต้องการใช้ในปัจจุบัน+การคาดการณ์ความต้องการใช้ในอนาคตจากโครงการต่าง ๆ)
กิจกรรมที่มีความต้องการใช้น้ำจากลุ่มน้ำป่าสัก |
ความต้องการใช้น้ำ (ล้าน ลบ.ม./ปี) |
||
ค่าต่ำสุด |
ค่าเฉลี่ย |
ค่าสูงสุด |
|
โครงการชลประทาน |
|
|
|
- โครงการจัดหาน้ำเพื่อการเกษตร จังหวัดลพบุรี (Demand 1) |
28.2 |
28.2 |
28.2 |
- โครงการสูบน้ำพัฒนานิคม (Demand 2) |
149.4 |
149.4 |
149.4 |
- โครงการสูบน้ำพัฒนานิคม-แก่งคอย (Demand 2) |
|||
- โครงการสูบน้ำแก่งคอย-บ้านหมอ (Demand 2) |
|||
- โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาคลองเพรียว-เสาไห้ (Demand 5) |
191.3 |
222.3 |
251.6 |
- โครงการทุ่งเจ้าพระยาฝั่งตะวันออกตอนล่าง (Demand 7) |
3,257.27 |
3,887.67 |
4,467.45 |
- การใช้น้ำในภาคครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรม (Demand 3) |
47.3 |
47.3 |
47.3 |
- โรงไฟฟ้าแก่งคอย (Demand 4) |
19.9 |
19.9 |
19.9 |
- โครงการโรงไฟฟ้าหนองแซง (Demand 6) |
20.2 |
20.2 |
20.2 |
รวม |
3,713.57 |
4,374.97 |
4,984.05 |
เมื่อรวมตัวเลขความต้องการใช้น้ำของโครงการทุ่งเจ้าพระยาฝั่งตะวันออกตอนล่าง (Demand 7) คิดที่ค่าเฉลี่ย 3,887.67 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี จะเห็นได้ว่าความต้องการใช้น้ำจากลุ่มน้ำป่าสักทั้งหมด (Demand 1-7) เท่ากับ 4,374.97 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ซึ่งเป็นการใช้น้ำเกินไปจากน้ำต้นทุนที่มีเพียงปีละประมาณ 3,632.9 ล้านลูกบาศก์เมตร ถึง 742.07 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ทีเดียว
(2) ในประเด็นต่อเนื่องจากข้อ (1) อีไอเอฉบับนี้ได้หยิบยกตัวเลขปริมาณน้ำในแม่น้ำป่าสักโดยเฉลี่ยในแต่ละเดือน ณ จุดสูบน้ำของโครงการโรงไฟฟ้าหนองแซงขึ้นมาอ้างว่าปริมาณความต้องการใช้น้ำของโครงการโรงไฟฟ้าหนองแซงคิดเป็นเพียงร้อยละ 1.09 ของปริมาณน้ำในแม่น้ำป่าสัก ณ จุดสูบ เท่านั้น เมื่อพิจารณาว่าปริมาณน้ำในแม่น้ำป่าสักโดยเฉลี่ยในแต่ละเดือน มีค่าอยู่ในช่วง 24.9 ล้านลูกบาศก์เมตร (ค่าต่ำสุดอยู่ในช่วงเดือนธันวาคม) และ 459.5 ล้าน ลูกบาศก์เมตร (ค่าสูงสุดอยู่ในช่วงเดือนกันยายน) โดยผลการเปรียบเทียบปริมาณความต้องการใช้น้ำของโครงการกับปริมาณน้ำในแหล่ง น้ำที่จุดสูบ ดังตารางการเปรียบเทียบปริมาณความต้องการใช้น้ำฯ
ตารางการเปรียบเทียบปริมาณความต้องการใช้น้ำของโครงการกับปริมาณน้ำในแหล่งน้ำที่จุดสูบน้ำ
เดือน |
ปริมาณน้ำในแหล่งน้ำโดยเฉลี่ยที่จุดสูบน้ำ (ล้าน ลบ.ม.) |
ปริมาณความต้องการใช้น้ำของโครงการ (ล้าน ลบ.ม.) |
ความต้องการใช้น้ำของโครงการเป็นร้อยละเมื่อเทียบกับปริมาณน้ำที่จุดสูบ (%) |
มกราคม |
45.6 |
1.71 |
3.75 |
กุมภาพันธ์ |
51.1 |
1.55 |
3.03 |
มีนาคม |
151.3 |
1.71 |
1.13 |
เมษายน |
149.2 |
1.66 |
1.11 |
พฤษภาคม |
124.8 |
1.71 |
1.37 |
มิถุนายน |
68.2 |
1.66 |
2.43 |
กรกฎาคม |
94.5 |
1.71 |
1.81 |
สิงหาคม |
174.2 |
1.71 |
0.98 |
กันยายน |
459.5 |
1.66 |
0.36 |
ตุลาคม |
447.3 |
1.71 |
0.38 |
พฤศจิกายน |
60.9 |
1.66 |
2.72 |
ธันวาคม |
24.9 |
1.71 |
6.89 |
รวม |
1,851.4 |
20.2 |
1.0 |
ซึ่งในอีไอเออ้างต่อไปว่า "จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้น (ตารางการเปรียบเทียบปริมาณความต้องการใช้น้ำฯ) จึงไม่คาดว่าปริมาณน้ำที่โครงการจะสูบมาใช้ จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการจัดสรรน้ำภายในลุ่มน้ำป่าสักในปัจจุบัน อีกทั้งการใช้น้ำจากโครงการต้องได้รับการอนุญาตจากกรมชลประทานด้วย"
ประเด็นที่ต้องพิจารณาก็คืออีไอเอฉบับนี้ได้หยิบยกเอาตัวเลขปริมาณน้ำในแม่น้ำป่าสัก ณ จุดสูบ มาอธิบายปริมาณความต้องการใช้น้ำของโครงการโรงไฟฟ้าหนองแซงที่คิดเป็นเพียง ร้อยละ 1.09 ของปริมาณน้ำในแม่น้ำป่าสัก ณ จุดสูบ เพื่อสร้างความชอบธรรมว่า น้ำ ในลุ่มน้ำป่าสักมีเพียงพอสำหรับโครงการโรงไฟฟ้าหนองแซง และนำมาใช้ในโครงการเพียงนิดเดียวเท่านั้นเอง ไม่ถือว่าเป็นการแย่งชิงน้ำจากประชาชนในภาคเกษตรกรรม ภาคอุตสาหกรรม ภาคครัวเรือน และภาคส่วนอื่น ๆ ที่ใช้น้ำอยู่ในปัจจุบันแต่อย่างใด โดยจงใจละเว้นความเป็นจริงที่สำคัญข้อหนึ่งไปว่า น้ำที่ได้จากคลองชัยนาท-ป่าสัก และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เมื่อไหลลงมาที่แม่น้ำป่าสักตอนล่างแล้วจะมีภาระหรือความรับผิดชอบที่สำคัญ ที่สุดประการแรกคือการเพิ่มน้ำให้เขื่อนพระรามหกเพื่อผันน้ำเข้าสู่คลองระพี พัฒน์ และโครงการทุ่งเจ้าพระยาฝั่งตะวันออกตอนล่าง สำหรับใช้ในภาคเกษตรกรรมที่ใช้น้ำอยู่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะพื้นที่ส่วนใหญ่ร้อยละ 91.6 ในรัศมี 5 กิโลเมตร จากที่ตั้งโครงการโรงไฟฟ้าหนองแซงจะเป็นพื้นที่ปลูกข้าวในเขตชลประทาน
การจงใจบิดเบือนข้อมูลดังกล่าวอาจทำให้มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนต่อการใช้น้ำใน ลุ่มน้ำป่าสักว่ามีน้ำเพียงพอสำหรับโครงการโรงไฟฟ้าหนองแซง โดยโครงการโรงไฟฟ้าหนองแซงเลือกวิธีทำท่อสูบน้ำความยาว 16 กิโลเมตร เพื่อสูบน้ำจากแม่น้ำป่าสักเข้าสู่พื้นที่โครงการโรงไฟฟ้าหนองแซงแทนที่จะ สูบน้ำจากคลองระพีพัฒน์หรือคลองห้วยบ่าโดยตรงที่อยู่ใกล้พื้นที่โครงการ มากกว่า (และสิ้นเปลืองงบประมาณน้อยกว่า) เพื่อแสดงเจตนาให้เกิดความเข้าใจผิดว่าบริษัทเจ้าของโครงการไม่ได้แย่งชิง น้ำจากเกษตรกรที่ใช้น้ำจากเขื่อนพระรามหก/คลองระพีพัฒน์ หรือโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาป่าสักใต้/โครงการทุ่งเจ้าพระยาฝั่งตะวันออก ตอนล่างโดยตรง แต่ใช้น้ำจากลุ่มน้ำป่าสักทั้งหมดที่มีใช้อยู่ในปัจจุบัน
ซึ่่งการเลือกสูบน้ำที่แม่น้ำป่าสักก็เพื่อต้องการใช้ตัวเลขปริมาณน้ำในลุ่มน้ำ ป่าสักทั้งลุ่มมาอธิบายกิจกรรมการใช้น้ำของบริษัทเจ้าของโครงการที่คิดเป็น ส่วนน้อยนิดเดียว เพียงแค่ 20.2 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี หรือ 1.09 % เท่า นั้น จากน้ำในแม่น้ำป่าสัก ณ จุดสูบ ซึ่งเท่ากับว่าเป็นการโยนภาระให้กับคณะกรรมการลุ่มน้ำ/หน่วยงานที่เกี่ยว ข้องในการบริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำป่าสักทั้งลุ่ม ว่าจะต้องจัดหาน้ำมาให้กับโครงการโรงไฟฟ้าหนองแซงให้ได้เพราะตัวเลขความต้อง การใช้น้ำของบริษัทอยู่ในระดับต่ำมากเมื่อเทียบกับน้ำในลุ่มน้ำป่าสักทั้ง หมดที่มีใช้อยู่ในปัจจุบัน แต่ถ้าเลือกสูบน้ำจากคลองระพีพัฒน์หรือคลองห้วยบ่าจะทำให้ตัวเลขการใช้น้ำ ของบริษัทสูงมากเมื่อเทียบกับน้ำที่มีอยู่ในคลองระพีพัฒน์หรือคลองห้วยบ่า
แต่เมื่ออีไอเอฉบับนี้ใช้ตัวเลขปริมาณน้ำทั้งลุ่มน้ำป่าสักมาอธิบายการใช้น้ำ ของโครงการนี้ แต่กลับไม่สามารถอธิบายการบริหารจัดการน้ำทั้งลุ่มน้ำป่าสักให้เห็นได้ เพื่อจะชี้ให้เห็นได้ว่าการขาดแคลนน้ำในลุ่มน้ำป่าสักปีละประมาณ 742.07 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปีนั้นมีภาคส่วนใดที่ขาดแคลนน้ำบ้างในปัจจุบัน และจะบริหารจัดการน้ำในลุ่มน้ำป่าสักเพื่อจัดสรรน้ำสำหรับกิจกรรมหรือ โครงการใหม่ ๆ ในอนาคตได้อย่างไรที่จะไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้น้ำที่มีอยู่ในปัจจุบัน หรือส่งผลกระทบให้น้อยที่สุดต่อภาคส่วนต่าง ๆ ในอนาคต หรือเกลี่ยผลกระทบในภาคส่วนต่าง ๆ ให้เท่าเทียมกัน/เกิดความสมดุลกันได้ในอนาคตอย่างไร
มิหนำซ้ำยังละเว้นอย่างจงใจไม่อธิบายการใช้น้ำของเขื่อนพระรามหก/คลองระพี พัฒน์ หรือโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาป่าสักใต้/โครงการทุ่งเจ้าพระยาฝั่งตะวันออก ตอนล่าง ซึ่งเป็นการใช้น้ำในพื้นที่เกษตรกรรมกว่าร้อยละ 91.6 ที่ตั้งอยู่โดยรอบพื้นที่โครงการโรงไฟฟ้าหนองแซงโดยตรง แต่กลับอธิบายบิดเบือนไปว่า "พื้นที่ศึกษา (ในรัศมี 5 กิโลเมตร จากที่ตั้งโครงการ) ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่โครงการชลประทานขนาดกลาง คือ โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาคลองเพรียว-เสาไห้ จังหวัดสระบุรี" เท่านั้น ซึ่งในความเป็นจริงพื้นที่โดยรอบโครงการโรงไฟฟ้าหนองแซงในรัศมี 5 กิโลเมตร อยู่ในความรับผิดชอบส่งน้ำเพื่อการชลประทานทั้ง 2 โครงการ คือ โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาป่าสักใต้และโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาคลองเพรียว-เสาไห้ ในฤดูแล้งเป็นช่วงที่น้ำในแม่น้ำป่าสักขาดน้ำ ในรายงาน ผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยคณะอนุกรรมการสิทธิในทรัพยากรน้ำ ชายฝั่ง แร่ และสิ่งแวดล้อม ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เรื่อง สิทธิชุมชน กรณีโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมในพื้นที่ตำบลหนองกบ อำเภอหนองแซง จังหวัดสระบุรี สำนักชลประทานที่ 10 สระบุรี ได้ระบุว่า "ในช่วงฤดูฝนจะมีปริมาณน้ำท่าในแม่น้ำป่าสักมากเพียงพอ แต่ในช่วงฤดูแล้งตั้งแต่เดือนมกราคม - มิถุนายน (180 วัน) ปริมาณน้ำในแม่น้ำป่าสักมีจำนวนจำกัด และในบางปีปริมาณน้ำน้อย ทำให้เกิดผลกระทบต่อการใช้น้ำของกิจกรรมต่าง ๆ ในช่วงฤดูแล้ง เช่น การอุปโภค บริโภค การประปา การเกษตร เป็นต้น"
แม้ว่าบริษัทเจ้าของโครงการนี้จะออกแบบให้สามารถนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ถึงประมาณ 5.5 รอบก็ตาม แต่น้ำที่กักเก็บไว้ประมาณ 1,600,000 ลูกบาศก์เมตรในบ่อกักเก็บน้ำนั้น เมื่อคิดคำนวณแล้วจะสามารถใช้ได้เพียงประมาณ 90 วัน (3 เดือนเท่านั้น) ดังนั้น จะมีช่วงฤดูแล้งที่โครงการนี้จะต้องขาดน้ำอย่างแน่นอนอีกประมาณ 3 เดือน นั่นเท่ากับว่าจะเกิดการแย่งชิงน้ำระหว่างโครงการโรงไฟฟ้าหนองแซงกับชาวบ้านที่ทำนาอย่างแน่นอน เพราะชาวบ้านแถบนี้ทำนา 5 ครั้งในรอบ 2 ปี
หากดูตัวเลขการใช้น้ำในลุ่มน้ำป่าสักแล้ว จะมีโรงไฟฟ้าอยู่ 3 โครงการ ที่เดินเครื่องแล้ว คือ โรงไฟฟ้าแก่งคอย 1 ของ บริษัท กัลฟ์ โคเจนเนอเรชั่น จำกัด ขนาดกำลังผลิต 107 เมกะวัตต์ ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง และได้เริ่มจ่ายกระแสไฟฟ้าเข้าระบบตั้งแต่เดือนกันยายน 2541 โรงไฟฟ้าแก่งคอย 2 ของ บริษัท กัลฟ์ เพาเวอร์ เจเนอเรชั่น ซัพพลาย จำกัด ขนาดกำลังผลิต 1,468 เมกะวัตต์ ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ได้เริ่มจ่ายกระแสไฟฟ้า Unit 1 ประมาณ 768 เมกะวัตต์ เข้าสู่ระบบตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2550 และโรงไฟฟ้าหนองแค ของ บริษัท หนองแค เจนเนอเรชั่น จำกัด ขนาดกำลังผลิต 126 เมกะวัตต์ ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ได้เริ่มเดินระบบตั้งแต่เดือนตุลาคม 2543 และอีก 1 โครงการ ที่ยังไม่ได้ก่อสร้าง คือ โครงการโรงไฟฟ้าหนองแซง ถ้ากล่าวเฉพาะโรงไฟฟ้าแก่งคอย 2 และ โครงการโรงไฟฟ้าหนองแซง ซึ่งมีเจ้าของเดียวกันคือบริษัท อิเล็คตริก พาวเวอร์ ดีเวลล็อปเม้นท์ จำกัด หรือ J-Power (บริษัทจากประเทศญี่ปุ่น) จะใช้น้ำจากแม่น้ำป่าสักปีละ 19.9 ล้านลูกบาศก์เมตร/ปี และ 20.2 ล้านลูกบาศก์เมตร/ปี ตามลำดับ รวมกันทั้งหมดเท่ากับ 40.1 ล้านลูกบาศก์เมตร/ปี จะคิดเป็นพื้นที่นาที่ต้องสูญเสียไปจากการขาดแคลนน้ำประมาณ 33,417 ไร่ และหากคิดเฉพาะการใช้น้ำของโครงการโรงไฟฟ้าหนองแซงจะมีที่นาที่สูญเสียไปจากการขาดแคลนน้ำประมาณ 16,833 ไร่ หรือคิดเป็นผลผลิตข้าวที่สูญเสียไปเฉพาะในส่วนของการใช้น้ำจากโครงการโรงไฟฟ้าหนองแซงประมาณ 13,466 ตันข้าวเปลือก
นั่นคือตัวเลขพื้นที่นาข้าวในลุ่มน้ำป่าสักตอนล่างตั้งแต่ใต้เขื่อนป่าสักฯ ลงมาจรดเขื่อนพระรามหกที่ต้องสูญเสียพื้นที่นาข้าวและผลผลิตข้าวไปจากการใช้ น้ำของโครงการโรงไฟฟ้าหนองแซง แต่ถ้าหากคิดเฉพาะเจาะจงลงไปในพื้นที่นา ข้าวของชาวนาในเขต อ.หนองแซง จ.สระบุรี และ อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา ที่ใช้น้ำทำนาจากคลองระพีพัฒน์และคลองเพรียว-เสาไห้เป็นหลักที่จะต้องสูญ เสียไปจากการใช้น้ำของโครงการโรงไฟฟ้าหนองแซง อาจจะนำตัวเลขการขาดแคลนน้ำในช่วง 3 เดือน หรือ 90 วัน ของฤดูแล้งมาแสดงให้เห็น นั่นคือโครงการนี้เมื่อใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลักจะใช้น้ำประมาณวันละ 55,342 ลูกบาศก์เมตร ในระยะเวลา 90 วัน จะใช้น้ำทั้งสิ้น 4,980,780 ลูกบาศก์เมตร คิดเป็นพื้นที่นาข้าวและผลผลิตข้าวในเขตอำเภอหนองแซงและภาชีที่ต้องสูญเสียไปจากการใช้น้ำของโครงการโรงไฟฟ้าหนองแซงในช่วงฤดูแล้ง 3 เดือน (90 วัน) ประมาณ 4,151 ไร่ และ 3,321 ตันข้าวเปลือก ตามลำดับ
ในท้ายที่สุด จากการถกเถียงในประเด็นการแย่งน้ำทำนาจากการใช้น้ำของโครงการโรงไฟฟ้า หนองแซง ซึ่งเป็นทั้งข้อสงสัย ข้อคิดเห็น ข้อร้องเรียนและข้อกล่าวหา ที่ชาวบ้านในเขตอำเภอหนองแซงและภาชีได้รวมกลุ่มกันขึ้นเป็น "เครือข่ายอนุรักษ์วิถีเกษตรกรรมหนองแซง-ภาชี" เพื่อ ทำหนังสือยื่นข้อเรียกร้องต่าง ๆ ไปยังหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง บริษัทเจ้าของโครงการ บริษัทที่ปรึกษารับทำอีไอเอและสื่อมวลชน ได้ทำให้ สผ. และ คชก. ไม่เห็นชอบกับอีไอเอฉบับนี้ เพราะเห็นว่าข้อมูลรายละเอียดในหลายส่วนยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ โดยเฉพาะในเรื่องการใช้น้ำของโครงการนี้ที่ให้เสนอรายละเอียดสภาพปัจจุบัน ของแม่น้ำป่าสัก ทั้งปริมาณอัตราการไหล คุณภาพน้ำ การใช้ประโยชน์ของกิจกรรม
การใช้น้ำ ประเมินผลกระทบต่อปริมาณการใช้น้ำจากแม่น้ำป่าสัก และนำเสนอมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม เพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินโครงการจะไม่กระทบต่อปริมาณน้ำของแม่น้ำป่าสักใน ช่วงเกิดวิกฤตการณ์ขาดแคลนน้ำ รวมทั้งให้นำเสนอความเห็น เอกสารหรือเงื่อนไขการอนุญาตให้สูบน้ำจากหน่วยงานผู้อนุญาตประกอบไว้ในอีไอเอ
อีไอเอฉบับที่สาม
โครงการโรงไฟฟ้าหนองแซงในอีไอเอฉบับที่สาม ได้ลดปริมาณการใช้น้ำจากแม่น้ำป่าสักลง เหลือเพียงวันละ 46,932 ลูกบาศก์เมตร หรือ 1.41 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อเดือน หรือ 17 ล้าน ลูกบาศก์เมตรต่อปี โดยทำการสูบน้ำจากแม่น้ำป่าสักเหนือเขื่อนพระรามหก เพื่อนำมาใช้สำหรับกระบวนการผลิต ใช้เป็นน้ำหล่อเย็น และใช้ประโยชน์อื่น ๆ ภายในโรงไฟฟ้า โดยอธิบายการใช้น้ำเป็น 3 ช่วง คือ
ช่วงที่หนึ่ง - ฤดูฝน ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงเดือนพฤศจิกายน เขื่อนพระรามหกระบายน้ำผ่านประตูระบายน้ำของเขื่อนลงด้านท้ายน้ำของเขื่อน เฉลี่ย 27.17 - 642.20 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อเดือน และระบายน้ำผันไปใช้ในด้านเกษตรกรรมผ่านคลองระพีพัฒน์ประมาณ 147.9 - 230.42 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อเดือน ความต้องการใช้น้ำทำการเกษตรกรรมจากคลองระพีพัฒน์ประมาณ 40 - 162 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อเดือน และน้ำอุปโภค-บริโภค และอุตสาหกรรมอีก 1.883 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อเดือน โครงการนี้สูบน้ำจากแม่น้ำป่าสัก 1.41 ล้าน ลูกบาศก์เมตรต่อเดือน จะเห็นได้ว่าเฉพาะน้ำส่วนเกินที่จะต้องระบายน้ำผ่านประตูระบายน้ำของเขื่อน พระรามหก โครงการนี้สามารถสูบน้ำนำไปใช้ได้
ช่วงที่สอง - สำหรับในเดือนแรกของฤดูฝน (พฤษภาคม) และต้นฤดูแล้ง (ธันวาคม) ปริมาณความต้องการน้ำของโรงไฟฟ้า มีค่าประมาณร้อยละ 5.6 ของปริมาณน้ำที่ชลประทานปล่อยทิ้งลงสู่แม่น้ำป่าสักท้ายเขื่อนพระรามหก ซึ่งยังถือว่ามีผลกระทบน้อยสำหรับน้ำที่ปล่อยทิ้งท้ายเขื่อนพระรามหก แต่ไม่ได้มีผลกระทบกับน้ำที่ส่งเข้าคลองส่งน้ำสายใหญ่ระพีพัฒน์เลย
ช่วงที่สาม - ส่วนในช่วงฤดูแล้ง (มกราคม - เมษายน) ปริมาณน้ำเกือบทั้งหมดเหนือเขื่อนพระรามหกถูกผันเข้าคลองส่งน้ำสายใหญ่ระพี พัฒน์เพื่อใช้สำหรับการชลประทาน แต่อย่างไรก็ตาม จากการวิเคราะห์ดุลมวลน้ำพบว่า ปริมาณน้ำใช้ของโครงการฯ มีค่าประมาณไม่ถึงร้อยละ 1 ของน้ำเพื่อการชลประทาน โดยโครงการฯ ได้ทำเรื่องการขออนุญาตใช้น้ำจากทางน้ำชลประทานกับกรมชลประทานและจะสร้างบ่อ สำหรับสำรองน้ำดิบขนาด 1,600,000 ลูกบาศก์เมตร เพื่อสำรองน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง ซึ่งเป็นปริมาณที่โครงการฯ สามารถนำมาใช้ในการผลิตได้นาน 39 วัน โดยไม่ต้องสูบน้ำจากภายนอก ถ้าเกิดปัญหาการขาดแคลนน้ำขึ้นมา กรมชลประทานมีสิทธิ์สั่งให้โครงการฯ หยุดสูบน้ำ เมื่อพิจารณาว่ามีการขาดแคลนน้ำในฤดูแล้งที่จะมีผลกระทบต่อประชาชน ดังนั้น การใช้น้ำของโครงการนี้จึงไม่มีผลกระทบต่อพื้นที่การเกษตรที่มีอยู่ในปัจจุบัน
ประเด็นสำคัญก็คือในช่วงฤดูแล้ง 4 เดือน (มกราคม - เมษายน) หรือ 120 วัน บ่อสำรองน้ำดิบขนาด 1,600,000 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นปริมาณที่โครงการนี้สามารถนำมาใช้ในการผลิตได้นาน 39 วัน โดยไม่ต้องสูบน้ำจากภายนอก แต่ยังเหลือวันที่ขาดแคลนน้ำใช้ในการผลิตอีก 81 วัน คิดเป็นปริมาณน้ำที่ขาดแคลนเท่ากับ 3,801,492 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งคิดเป็นพื้นที่นาที่ไม่สามารถผลิตข้าวได้ 3,168 ไร่ หรือคิดเป็นผลผลิตข้าวที่สูญเสียไป 2,534 ตันข้าวเปลือก
สาระสำคัญมากในอีไอเอฉบับนี้ก็คือมีการยอมรับว่าน้ำที่ใช้ในกระบวนการผลิตของ โครงการโรงไฟฟ้าหนองแซงเป็นน้ำที่เขื่อนพระรามหกใช้สำหรับผันเข้าคลองระพี พัฒน์เพื่อใช้ในการเกษตร แต่ ละเลยการอธิบายการใช้น้ำของโครงการนี้ในส่วนของน้ำที่ต้องผันเข้าคลองระพี พัฒน์ในช่วงฤดูแล้งว่าจะนำมาซึ่งความสูญเสียพื้นที่นาข้าวและผลผลิตข้าว จำนวนเท่าไหร่ และจะมีความรับผิดชอบต่อความสูญเสียนี้อย่างไร
แต่กลับยกตัวเลขปริมาณการใช้น้ำของโครงการนี้ที่มีค่าประมาณไม่ถึงร้อยละ 1 ขึ้นมาเพื่อสร้างความชอบธรรมว่าเป็นตัวเลขเพียงน้อยนิดที่ไม่มีผลกระทบต่อพื้นที่การเกษตรที่ใช้น้ำคลองระพีพัฒน์แต่อย่างใด
ถึงที่สุด สผ. และ คชก. กลับพิจารณาให้ความเห็นชอบอีไอเอฉบับที่สามนี้ไปอย่างง่ายดาย อาจจะเป็นด้วยแรงบีบบังคับจากกระบวนการสัญญาสัมปทานระหว่างภาครัฐกับภาค ธุรกิจการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างโรงไฟฟ้าแห่งนี้ ทั้ง ๆ ที่อีไอเอฉบับนี้ไม่สามารถอธิบายความรับผิดชอบใด ๆ ที่โครงการโรงไฟฟ้าหนองแซงได้แย่งน้ำจากคลองระพีพัฒน์ที่ใช้สำหรับการเกษตร ไป มิหนำซ้ำอีไอเอฉบับนี้ยังไม่สามารถแสดงเอกสารและเงื่อนไขการอนุญาตให้สูบน้ำ จากแม่น้ำป่าสักและปล่อยน้ำทิ้งของโครงการลงคลองระพีพัฒน์จากหน่วยงานที่รับ ผิดชอบ เช่น กรมชลประทาน ตามที่ สผ. และ คชก. เรียกร้องไว้เมื่อคราวพิจารณาไม่เห็นชอบอีไอเอฉบับที่สองได้
ที่มา : http://prachatham.com/detail.htm?code=n1_27082010_01