- Home
- Community
- ประชานิยม - ประชาคม
- สมดุลอาหารและพลังงาน บนฐานทรัพยากรธรรมชาติยั่งยืน
สมดุลอาหารและพลังงาน บนฐานทรัพยากรธรรมชาติยั่งยืน
ไทยเป็นผู้ส่งออกอาหารสำคัญของโลก แต่คนกว่า 10 ล้านยังขาดความมั่นคงทางอาหาร หมายถึงสภาวะที่ทุกได้รับอาหารเพียงพอ มีโภชนาการ โดยที่เกษตรกรรายย่อยและชุมชนท้องถิ่นสามารถพึ่งตนเองด้านปัจจัยการผลิต มีการกระจายอาหารไปยังผู้บริโภคอย่างยั่งยืน ประชาชนมีส่วนร่วมกำหนดนโยบายอาหาร
บทวิเคราะห์
1) ประเทศไทยไม่ได้มีปัญหาการผลิตอาหารไม่เพียงพอ แต่มีความไม่เป็นธรรมของระบบอาหาร
คือเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับ 1 ของโลก ส่งออกสินค้าประมงอันดับ 3 ส่งออกกุ้งอันดับ 1 ส่งออกทูน่ากระป๋องและทูน่าแปรรูปอันดับ 1 ส่งออกไก่แปรรูปอันดับ 1 ส่งออกสับปะรดกระป๋องและสับปะรดแปรรูปอันดับ 1 และไทยเป็นผู้ส่งออกข้าวโพดหวานแปรรูปอันดับ 3 ของโลก โดยเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่ส่งออกอาหารทั้งหมด ประเทศไทยอยู่อันดับ 7 ของโลก
แต่ขณะที่เป็นผู้ส่งออกอาหารสำคัญของโลก ประชาชนของประเทศจำนวนมากยังขาดความมั่นคงทางอาหาร ข้อมูล FAO และ WFP พ.ศ. 2547-2549 พบว่ามี 10.7 ล้านคนหรือร้อยละ 17 ของประชากรทั้งหมด สำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐานรายงานว่าเด็กนักเรียนในสภาวะทุโภชนาการสูงถึง 7.3 % ปัญหา ซับซ้อนกว่านั้นคือประชาชนและเด็กจำนวนมากทั้งในเมืองและชนบทมีปัญหาการบริโภคเกิน เช่น ชุมชนชนบทมีปัญหาการขาดแคลนธาตุเหล็กและโปรตีน แต่กลับมีค่าใช้จ่ายอาหารถุงที่มีปัญหาทางโภชนาการ อาหารขยะ อันเป็นผลมาจากระบบโฆษณาที่ไร้การควบคุม
2) ปัญหาความไม่เป็นธรรมในระบบอาหารเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง
ปัญหาการถือครองที่ดิน หนี้สิน การเข้าถึงทรัพยากรของเกษตรกรและชุมชน นับตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นมามีเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนกับกองทุนฟื้นฟูประมาณ 300,000-400,000 ราย มูลค่าหนี้มากกว่า 100,000 ล้านบาท จำนวนนี้มี 100,000 ราย ที่ที่ดินและทรัพย์สินกำลังถูกขายทอดตลาด จากการสำรวจของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรพบว่าเกษตรกร 59.73 ต้องเช่าที่ดินทำกิน โดยภาคเหนือและภาคกลางถือครองที่ดินทำกินในสัดส่วนต่ำมากเพียง 24.7% และ 30% ตามลำดับ ในขณะที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้มีตัวเลขการถือครองที่ดินใกล้เคียงกันคือ 46.97 % และ 48.24 % ตามลำดับ ปัญหาที่ดิน ความล้มเหลวทางการเกษตร กลไกการตลาดไม่เป็นธรรม จะเป็นความขัดแย้งทางการเมืองที่แหลมคมมากขึ้นทุกขณะ
เกษตรกรและคนยากจนยังขาดการมีส่วนร่วมและตัดสินใจทางนโยบายอย่างชัดเจน นโยบายที่สำคัญเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศ เช่น การทำเอฟทีเอกับประเทศจีนและออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ ทำให้เกษตรกรรายย่อยหลายสาขาต้องสูญเสียอาชีพ ขณะที่อุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมใหญ่บางกลุ่มกลับได้รับประโยชน์ น่าสนใจว่าปัญหาความไม่เป็นธรรมที่เกี่ยวกับโครงสร้างเหล่านี้กลับถูกละเลยไม่ได้รับการกล่าวถึงในขบวนการเคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา
3) การพึ่งพาเมล็ดพันธุ์และปัจจัยการผลิตทางการเกษตร
ประเทศไทยมีฐานทรัพยากรพันธุกรรมที่หลากหลายพัฒนาขึ้นจากความสามารถเกษตรกรและชุมชนท้องถิ่น เห็นได้จากข้าวหอมมะลิและไม้ผลเมืองร้อนพันธุ์ดีของโลก ได้มาจากนวัตกรรมชุมชนเกษตรกรรม บางส่วนมาจากภาคการวิจัยสาธารณะ(ข้าวโพดพันธุ์สุวรรณ 1 ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของอุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์ในไทย) แต่ปัจจุบันตลาดเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดกลับอยู่ในมือบริษัทใหญ่ไม่กี่แห่ง
แนวโน้มพัฒนาการเมล็ดพันธุ์ซึ่งถูกผลักดันโดยบริษัทใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าวลูกผสมและพืชดัดแปลงพันธุกรรม กำลังทำให้เกิดการผูกขาดเมล็ดพันธุ์ซึ่งเป็นฐานรากระบบอาหาร นำไปสู่ต้นทุนการผลิตที่แพงขึ้น การผูกขาดและการยึดครองทรัพยากรชีวภาพโดยบรรษัทข้ามชาติ เช่น ข้าวลูกผสมซึ่งชาวนาไม่สามารถเก็บรักษาพันธุ์ไปปลูกต่อได้ บริษัทเมล็ดพันธุ์โฆษณาว่าสามารถให้ผลผลิต 1,500 กก/ไร่ (จริงๆให้ผลผลิตเพียง 958 กก/ไร่) ราคาเมล็ดพันธุ์สูงถึงกิโลกรัมละ 1,200-1,500 บาท ขณะที่คุณภาพข้าวแย่กว่าข้าวทั่วไปที่ปลูกในภาคกลาง หากรัฐบาลไทยเปลี่ยนแปลงการปลูกข้าวไปสู่แบบแผนการผลิตดังกล่าว จะต้องกันพื้นที่ 30% ของพื้นที่นาทั้งหมดเพื่อทำแปลงผลิตเมล็ดพันธุ์ของบริษัท เพราะการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวลูกผสม(F1)ให้ผลผลิตที่เป็นเมล็ดพันธุ์เพียง 300-350 กิโลกรัม/ไร่ (เมื่อเทียบกับการผลิตเมล็ดพันธุ์ผสมเปิดซึ่งให้ผลผลิต 1,000 กก/ไร่) นี่คือการโอนอำนาจและแย่งชิงที่ดินและพันธุกรรมให้ไปอยู่ในมือบริษัท
การส่งเสริมให้บริษัทไบเออร์เข้ามาลงทุนผลิตเมล็ดพันธุ์ลูกผสมเป็นความผิดพลาดของรัฐบาล แม้ว่าเมื่อเร็วๆนี้คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้ระงับการส่งเสริมการลงทุนในสาขาการผลิตเมล็ดพันธุ์พืชไว้ชั่วคราวแล้วก็ตาม อย่างไรก็ตามปัญหาการเปิดเสรีการลงทุนและการส่งเสริมการลงทุนเป็นเรื่องใหญ่มาก
พืชดัดแปลงพันธุกรรมจะนำไปสู่การผูกขาดครอบครองทางพันธุกรรมอย่างไรนั้น ยกตัวอย่างมะละกอจีเอ็มโอ แม้อ้างว่าทำโดยนักวิจัยไทย แต่เมื่อผลการวิจัยแล้วเสร็จและมีการปลูกเชิงพาณิชย์แล้วมีการส่งออกเกิน 1 ล้านเหรียญสหรัฐนั้น ร่างความตกลง MOU ระบุว่าต้องจ่ายค่าตอบแทน 35% ของมูลค่าการส่งออกให้มหาวิทยาลัยคอร์แนลเจ้าของสิทธิบัตร ทั้งๆที่มะละกอแขกดำ แขกนวล และไวรัสใบด่างจุดวงแหวนซึ่งใช้เป็นฐานพันธุกรรมการพัฒนาพืชดัดแปลงพันธุกรรมดังกล่าวเป็นทรัพยากรชีวภาพของไทย
4) ความเชื่อมโยงระหว่างการผลิตพืชอาหารและการใช้พลังงาน
นอกเหนือจากรายงานที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติวิเคราะห์ไว้ มีประเด็นที่ควรพิจารณาคือการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลและผลิตภัณฑ์เกี่ยวข้องในระบบผลิตอาหารในรูปของปุ๋ยและสารเคมีกำจัดศัตรูพืช เช่น การผลิตปุ๋ยไนโตรเจนหรือปุ๋ยยูเรียต้องใช้วัตถุดิบจากเชื้อเพลิงฟอสซิลโดยตรง ปุ๋ยไนโตรเจน 1 กิโลกรัมใช้ดีเซล 1.4-4.8 ลิตร รวมทั้งแกสธรรมชาติในกระบวนการผลิต ต้นทุนผลิตพืชของไทยเป็นปุ๋ยและสารเคมีเกษตรถึง 34% ค่าใช้จ่ายเรื่องปุ๋ยเทียบกับราคาผลผลิตแล้วสูงกว่าหลายประเทศเอเชีย
สรุปคือ 1)การผลิตทางเกษตรปัจจุบันของไทยพึ่งพิงเชื้อเพลิงฟอสซิล 2)แม้พยายามผลิตน้ำมันจากพืชทดแทนน้ำมันฟอสซิล แต่หากไม่เปลี่ยนแบบแผนการผลิตจากเคมีวิถีเป็นชีววิถีก็ต้องพึ่งพาฟอสซิลอยู่ดี
ข้อเสนอ
1) ประเทศไทยต้องปฏิรูปที่ดินและขจัดปัญหาหนี้สินเกษตรกรโดยเร็วที่สุด
หากรัฐบาลและกลไกรัฐไม่ดำเนินการ ปัญหาโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่เป็นธรรมนี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ใน 10-15 ปีข้างหน้า ขณะนี้ปัญหาเชิงโครงสร้างของไทยคล้ายกลุ่มประเทศลาตินอเมริกาในหลายลักษณะ เช่น การล่มสลายของเกษตรกรรายย่อย คนยากจนจากชนบทที่อาศัยในเขตเมือง การขยายตัวของระบบการเกษตรของบริษัทยักษ์ใหญ่ หากไม่มีการจำกัดการถือครองที่ดินและไม่มีการกระจายการถือครองที่ดิน ปล่อยให้บรรษัทขนาดใหญ่เข้ามาถือครองที่ดินมากๆ หรือการจัดการปัญหาหนี้สินชาวนาล้มเหลว ประชาชนจะลุกขึ้นมาปฏิรูปประเทศเอง แน่นอนว่าการกระจายการถือครองที่ดินนั้นเป็นแค่บทเริ่มต้นของการปฏิรูประบบเกษตร เพราะเมื่อใดที่แบบแผนการผลิตและปัจจัยการผลิตถูกครอบงำโดยบรรษัท ที่ดินในมือของเกษตรกรก็จะหลุดลอยไปในที่สุด
2) เปลี่ยนแบบแผนการผลิตไปสู่วิถีการผลิตแบบชีวภาพหรือชีววิถี
เกษตรกรรมเชิงเดี่ยวที่มีต้นทุนการผลิตจากปุ๋ยเคมีและพึ่งพาการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชในปริมาณมากนั้น เป็นต้นเหตุสำคัญของการขาดทุน ปัญหาสิ่งแวดล้อม และสุขอนามัยของเกษตรกรและผู้บริโภค
จำเป็นต้องเปลี่ยนระบบการผลิตที่พึ่งพาน้ำไปพึ่งพาฐานทรัพยากรชีวภาพ ฟื้นฟูพัฒนาพันธุ์พืชท้องถิ่น จุลินทรีย์ ควบคุมแมลงโดยสมุนไพรและชีววิธี วิธีการเหล่านี้ได้ถูกพิสูจน์และขยายผลออกไประดับหนึ่ง แต่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากกลไกรัฐ เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสถาบันกระแสหลักอื่น
เช่น ประสบการณ์เครือข่ายโรงเรียนชาวนามูลนิธิข้าวขวัญ จ.สุพรรณบุรี ที่ปลูกข้าวแบบชีววิถีได้ผลผลิตข้าวเฉลี่ยกว่า 1,200 กิโลกรัม/ไร่ โดยไม่ใช้ปุ๋ยเคมี ประสบการณ์ของพ่อแดง หาทวี ชาวนา อ.สว่างวีรวงศ์ จ.อุบลราชธานี ที่คัดเลือกพันธุ์ข้าวเอง ฟื้นฟูระบบนิเวศ ใช้แนวทางชีววิถี ได้ผลผลิตมากกว่า 2,000 กิโลกรัม/ไร่ โดยมีต้นทุนไม่ถึง 500 บาท/ไร่ กระบวนการพัฒนาแนวนี้ได้พัฒนาขึ้นจากผู้นำชาวบ้าน ขบวนองค์กรพัฒนาเอกชน และนักวิชาการนอกระบบกลุ่มเล็กๆ แต่ถูกละเลยจากกลไกรัฐมาตลอด 2 ทศวรรษ
ที่สำคัญคือการวิจัยและพัฒนาพันธุกรรมของชาวบ้านมิได้เน้นแค่ผลผลิต แต่ดูเรื่องคุณภาพ รสชาติ และโภชนาการด้วย เรื่องนี้ก้าวหน้ากว่าการวิจัยของสถาบันกระแสหลักต่างๆซึ่งส่วนใหญ่เน้นแต่การผลิตเชิงปริมาณ แผนงานฐานทรัพยากรอาหารส่งพันธุ์ข้าวพื้นเมืองที่ชาวบ้านอนุรักษ์ไว้ไปตรวจคุณค่าทางโภชนาการ ล้วนแล้วแต่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่าข้าวที่ส่งเสริมกันปลูกโดยหน่วยงานรัฐ
3) สนับสนุนส่งเสริมให้เกิดการวิจัยพัฒนาเมล็ดพันธุ์โดยเกษตรกรและ วิสาหกิจชุมชนเป็นแนวทางหลักของยุทธศาสตร์พัฒนาพันธุ์
ความอ่อนแอของสถาบันการวิจัยและพัฒนาพันธุ์พืชของรัฐ 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมา เช่น สถาบันวิจัยเกี่ยวกับข้าวโพดเคยสนับสนุนการผลิตเมล็ดพันธุ์กว่า 90% แก่เกษตรกร บัดนี้ทำหน้าที่เพียงแหล่งสนับสนุนเชื้อพันธุกรรมหรือคอยทดสอบเมล็ดพันธุ์ให้บริษัทต่างๆ การวิจัยพันธุ์ข้าวมีการปรับตัวอยู่บ้างที่เริ่มให้ความสนใจฟื้นฟูพันธุ์ข้าวท้องถิ่นแต่อาจช้าและไม่ทันการณ์เมื่อเปรียบเทียบกับการปรับกลยุทธการพัฒนาพันธุ์ข้าวของเวียดนามที่ได้สร้างกระบวนการวิจัยพันธุ์ข้าวที่ให้กลุ่มชาวนาต่างๆมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง
การผูกขาดการวิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าวและการผลิตไว้กับศูนย์วิจัยและข้าราชการ นอกจากทำให้การวิจัยสาธารณะอ่อนแอลง ยังทำให้การลงทุนที่เกี่ยวข้องถูกผ่องถ่ายให้บรรษัทเมล็ดพันธุ์ขนาดใหญ่และข้ามชาติมากกว่าให้เกษตรกร วิสาหกิจชุมชน ผู้ประกอบการท้องถิ่น ขณะนี้เกิดเครือข่ายเกษตรกรนับพันคนรวมทั้งวิสาหกิจชุมชนจำนวนมากเริ่มวิจัยผลิตเมล็ดพันธุ์พืช เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นนอกกลไกรัฐ และอาจเป็นความหวังของการสร้างความมั่นคงทางอาหารอย่างแท้จริงจากฐานราก นอกจากศูนย์วิจัยและผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวของชาวนาซึ่งก่อตัวขึ้นกระจายในหลายจังหวัด ยังมีตัวอย่างกลุ่มวิสาหกิจชุมชนในเชียงใหม่ 2 กลุ่มซึ่งสามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดลูกผสมซึ่งพัฒนาด้วยตนเองกว่า 10 ปี และสามารถแข่งขันกับบริษัทเมล็ดพันธุ์ยักษ์ใหญ่ภาคเหนือ แต่กลับถูกขัดขวางโดยกลไกทางกฎหมายและนโยบายซึ่งเอื้อเฟื้อบริษัทยักษ์ใหญ่
4) การส่งเสริมวิถีการผลิตอาหารเพื่อการบริโภคเองในไร่นาและครอบครัว
หลังวิกฤติอาหารโลกปี 2550-2551 เราเห็นแนวโน้มสำคัญคือการผลิตเพื่อบริโภคเอง จากการสำรวจของ National Gardener Association ปี 2009 ระบุว่าชาวอเมริกันถึง 37% ปลูกมะเขือเทศ แตงกวา และถั่วไว้กินเอง จากสถิติเพียง19% เมื่อปี 2008 ขณะที่ไทยซึ่งเป็นประเทศเกษตรกรรมนั้นครอบครัวเกษตรกรเพียง 30% เท่านั้นที่พึ่งพาอาหารที่ผลิตได้จากฟาร์ม เกษตรกรภาคใต้เพียง 6% ที่พึ่งพาอาหารจากไร่นาของตนเอง
ค่าใช้จ่ายด้านอาหารของครอบครัวส่วนใหญ่เป็นสัดส่วนถึง 50% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด ดังนั้นการสนับสนุนให้ผลิตอาหารกินเองเป็นเรื่องใหญ่ นักเศรษฐศาสตร์ต้องบอกให้ได้ว่าการผลิตไว้กินเองนั้นดีอย่างไรในสถานการณ์ที่จะเกิดวิกฤติอาหาร ต้องวางแผนและผลักดันระบบและกลไกที่เอื้ออำนวยให้คนผลิตเพื่อบริโภคเอง หน่วยงานรัฐและภาควิชาการไม่ควรปล่อยให้ระบบการผลิตและกระจายอาหารถูก ผูกขาดโดยผู้ผลิตรายใหญ่ไม่กี่รายเหมือนที่กำลังเป็นอยู่
5) ความจำเป็นที่จะต้องจัดทำรายงานว่าด้วยเรื่องการพึ่งพาตนเองด้านอาหาร
รายงานสถานะการพึ่งพาตนเองด้านอาหารทั้งระดับประเทศและระดับครอบครัวหรือชุมชน เพื่อเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนนโยบายด้านความมั่นคงและการพึ่งพาตนเองด้านอาหาร เราควรเรียนรู้ในประเด็นนี้จากรัฐบาลญี่ปุ่นซึ่งมีการดำเนินการมาหลายปีแล้ว เพื่อยกระดับเป้าหมายการพึ่งพาตนเองด้านอาหาร
รัฐบาลและสังคมไทยต้องใช้เรื่องนี้เป็นเครื่องมือวางแผนรับมือกับผลกระทบจากการเปิดเสรีการค้าระหว่างประเทศ และผลกระทบอื่นๆไม่เช่นนั้นแล้วการผลิตทางการเกษตรหลายสาขาต้องเลิกไปด้วยเหตุผลที่ไม่อาจแข่งขันได้ในเรื่องราคาและต้นทุนจากสินค้าเกษตรของประเทศที่เรามีความตกลงการค้า
สรุปความ
ประเทศไทยต้องสร้างสมดุลระหว่างการผลิตอาหารและการแปรพืชและพื้นที่เกษตรกรรมไปสู่การพึ่งพาตนเองด้านพลังงาน แต่ “อาหารต้องมาก่อนเสมอ” หมายถึงการพึ่งพาตนเองด้านอาหารของครอบครัวและชุมชนด้วย นัยของความมั่นคงทางอาหาร ไม่ใช่นิยามของเอฟเอโอที่บัญญัติแคบๆ แต่ต้องมองมิติของอิสรภาพและการพึ่งพาตนเองของชุมชนและประเทศเป็นสำคัญ ความมั่นคงทางอาหารจึงหมายถึง
“สภาวะที่ประชาชนทุกคนมีสิทธิและได้รับอาหารที่เพียงพอ มีโภชนาการ และปลอดภัย โดยที่เกษตรกรรายย่อย ชาวประมง และชุมชนท้องถิ่นมีสิทธิในการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากทรัพยากร ธรรมชาติ ความหลากหลายทางชีวภาพ สามารถพึ่งพาตนเองในด้านปัจจัยการผลิต ตั้งแต่ระดับชุมชนจนถึงระดับชาติในระดับสูง มีระบบการผลิต และการกระจายอาหารไปสู่ผู้บริโภคอย่างยั่งยืน เกื้อกูล และเป็นธรรม ประชาชนมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายในทุกระดับ รวมทั้งสามารถสืบทอดวัฒนธรรมอาหาร และวิถีชีวิตของท้องถิ่นที่เกื้อกูลต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมได้อย่างมั่นคง” .
ที่มา : http://www.biothai.net/node/5073