- Home
- Community
- กระแสชุมชน
- ทรัพยากร-สิ่งแวดล้อม
- องค์กรฝ่าวิกฤตน้ำ แนะสื่อทบทวนบทบาท - ชู วชช.แกนหลักสื่อภัยพิบัติ
องค์กรฝ่าวิกฤตน้ำ แนะสื่อทบทวนบทบาท - ชู วชช.แกนหลักสื่อภัยพิบัติ
วิศวกรรมสถานฯ จัดเวทีถกบทเรียนน้ำท่วม กราดรัฐบริหารล้มเหลวตั้งแต่การสื่อสาร แนะสื่อทบทวนบทบาทไม่ใช่นักสงเคราะห์แต่ต้องสะท้อนปัญหาจากพื้นที่ ชูวิทยุชุมชนเป็นแกนสื่อสารในภาวะวิกฤต
วันที่ 14 ธ.ค.54 คณะกรรมการเฉพาะกิจแก้ไขปัญหาน้ำท่วม สมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย (วสท.) ร่วมกับ 10 องค์กรฝ่าวิกฤตน้ำท่วม จัดเสวนา “บทเรียนจากน้ำท่วม...ประเทศไทยควรบริหารจัดการน้ำอย่างไร” ที่ วสท. โดย อ.สุภาภรณ์โพธิ์แก้ว คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึง “บทบาทของสื่อในสถานการณ์ภัยพิบัติ” ว่ามี 2 ชุดความคิดดั้งเดิม 1.การบริหารจัดการข้อมูลข่าวสารในภาวะวิกฤต โดยเฉพาะภาครัฐเข้าไปกำกับทิศทางเผยแพร่ออกไปจากศูนย์กลางให้มากที่สุด
โมเดลนี้ใช้ในสถานการณ์ปัจจุบันโดยตั้งศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย แต่พิสูจน์แล้วว่าล้มเหลว ข่าวสารสับสน ผู้ประสบภัยที่ควรได้รับข้อมูลให้มากที่สุดเร็วที่สุด กลับถูกปิดบังข้อเท็จจริง ทำให้เกิดความเสียหายมากมาย 2.นักสื่อสารมวลชนต้องทำงานภายใต้นโยบายองค์กรข่าว บางองค์กรยังอยู่ภายใต้การกำกับของรัฐ ส่งผลให้มีการบิดเบือนข้อมูลได้ รวมทั้งยังขาดการเชื่อมโยงข้อมูลภาคประชาชนด้วย
“มหาอุทกภัยครั้งนี้ได้ค้นพบการทำงานสื่อมวลชนที่น่าสนใจ ได้แก่ 1.การเติบโตอย่างมากในการผลิตข่าวสาร 2.ความสามารถในการเข้าถึงข้อมูล 3.การนำข้อมูลไปใช้จริง ภาครัฐไม่ควรตั้งเพียงหน่วยงานแถลงข่าว แต่ควรโมนิเตอร์ปัญหาและมองสื่อมวลชนเป็นพันธมิตรร่วมในการสื่อสารไปยังประชาชน โดยเฉพาะแหล่งข้อมูลจากเครือข่ายสังคมออนไลน์” อ.สุภาภรณ์ กล่าว
นายเรืองวิทย์ โชติวิทย์ธานินท์ จาก วสท. กล่าวว่า ปัจจุบันมีการใช้ภาษาต่างประเทศรายงานข่าวสลับกับภาษาไทย ก่อให้เกิดความสับสน ต้องการให้สื่อมวลชนเดินรอยตามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในด้านการใช้ภาษาไทย เพื่อสื่อสารเข้าถึงภาคประชาชนมากขึ้นและเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมทางภาษาอีกด้วย
นายสมเกียรติ จันทรสีมา สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส กล่าวว่าน้ำท่วมที่ผ่านมาเห็นบทบาทของสื่อมวลชนเน้นการช่วยเหลือโดยแจกของ รับบริจาคเงิน เสมือนเป็นนักสังคมสงเคราะห์ เสนอว่าสื่อมวลชนควรหันกลับมาทบทวนบทบาทของตนเองว่าควรทำอะไรมากน้อยเพียงใด เช่น เดิมสื่อส่วนใหญ่มองประชาชนเป็นผู้ชมเท่านั้น แต่เมื่อสื่อได้เข้าถึงผู้ประสบภัย ทิศทางการรายงานข่าวก็จะเปลี่ยนไปและสะท้อนปัญหาได้มากขึ้น รวมทั้งการกระตุ้นให้คนไทยอาจตื่นตัวและช่วยเหลือตนเองได้
นายชุมพล สายหยุด วิทยุท้องถิ่นสมุทรสาคร คลื่น93.75 กล่าวว่าวิทยุชุมชนเป็นสื่อที่ใกล้ชิดและมีบทบาทต่อภาคประชาชนมาก เช่น สมุทรสาครมีสมาชิกเครือข่าย 30 คลื่น ร่วมมือกับหน่วยงานจังหวัดทั้งภาครัฐและเอกชนป้องกันภัยพิบัติ โดยวิทยุชุมชนมีหน้าที่ประสานให้ความรู้ผ่านเวทีเสวนาและเครือข่ายสังคมออนไลน์ ขณะที่ภาครัฐมีหน้าที่วางแผนการจัดการ ภาคประชาชนมีหน้าที่ลงมือปฏิบัติ เช่น ขุดลอกคลอง วางกระสอบทราย ซึ่งหากมีการแบ่งหน้าที่กันอย่างเป็นระบบ จะสามารถพ้นวิกฤตได้
ด้าน ผศ.ดร.คมสัน มาลีสี ตัวแทนชุมชนลาดกระบัง กล่าวถึง “มิติใหม่ในการจัดการน้ำโดยการมีส่วนร่วมของประชาชน” ว่าลาดกระบังโมเดลเกิดจากพื้นที่ถูกประกาศเป็นเขตสีแดงเสี่ยงน้ำท่วมตั้งแต่ต้น ต.ค. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าลาดกระบังส่งนักศึกษาสำรวจภูมิประเทศตั้งแต่คลองรังสิต คลองหกวาสายล่าง คลองแสนแสบถึงทะเล เพื่อเป็นข้อมูลจัดการน้ำ ระดมชุมชนขุดลอกลำคลองเพื่อเปิดทางน้ำผ่านและร่วมเฝ้าระวังวัดระดับน้ำ แล้วส่งข้อมูลกลับมาวิเคราะห์สถานการณ์เพื่อกระจายข่าวสารให้ชาวบ้านรับรู้ นอกจากนี้ยังมีการฟื้นฟูโดยตั้งศูนย์พักพิงผู้ประสบภัย มีการวางแผนผลักดันน้ำเสียและกำจัดขยะหลังน้ำลด
“ชุมชนจะรอรัฐบาลอย่างเดียวไม่ได้ แต่ละฝ่ายต่างมีหน้าที่ต้องทำ แต่ชุมชนต้องช่วยเหลือตนเองด้วย เพราะคงไม่มีใครเข้าใจพื้นที่เท่ากับชาวบ้านเอง” ผศ.ดร.คมสัน กล่าว
ขณะที่ นายสนิท ศรีสุระ ตัวแทนชุมชนเมืองเอก กล่าวว่าชุมชนเมืองเอกได้จัดประชุมกันเพื่อรับรู้ข้อมูลข่าวสารและวิธีการป้องกันภัยน้ำท่วม โดยเผยแพร่ทางเครือข่ายสังคมออนไลน์ เฟซบุ๊ก อีเมล์ เอสเอ็มเอส รวมทั้งป้ายบอกข่าว มีการระดมทุนกันซื้อเรือลาดตระเวนและน้ำมันสำหรับหน่วยเวรยามในชุมชน และยังประสานงานภาครัฐและเอกชน อาทิ บริษัทในเครือซีเมนต์ไทย ที่มาแนะนำกระบวนการคัดแยกขยะ
“การแก้ปัญหาน้ำท่วมอย่างยั่งยืนต้องแก้ที่ต้นเหตุ โดยชุมชนบริหารจัดการกันเอง ซึ่งจะสำเร็จผลได้ต่อเมื่อไม่มีการแทรกแซงจากการเมือง ทั้งระดับท้องถิ่นและระดับชาติ” นายสนิทกล่าว .